ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 218

ตอนที่ 218 มีอารมณ์ความรู้สึก

เมื่อแม่ทัพคนนั้นพูดจบ ทหารสองคนก็มารวบตัวนางเอาไว้ มือของนางถูกมัด มันไม่เหมือนการปฏิบัติต่อองค์หญิงเลย

“ปล่อยข้านะ ข้าเดินเองได้” โล่หวินหลานพยายามดิ้น นางพยายามทำเสียงให้คล้ายอาลั่วหลันมากที่สุด

ทหารสองคนนั่นเหมือนจะไม่ได้กลัวนางเลย อีกทั้งยังหัวเราะด้วย “องค์หญิง ท่านจะเดินเองจะเดินไปไหนหรอ? เรารับไม่ไหวแน่หากท่านหนีไปอีก”

โล่หวินหลานเถียงพวกเขาไม่ได้เลย ตอนนี้เส้นทางข้างหน้าดูเหมือนแสงสว่าง นางเองก็หาทางของนางเจอแล้ว หากเป็นไปได้ นางจะฉวยโอกาสนี้ ทำความเข้าใจที่มาที่ไปของพวกเขา ใช้แผนซ้อนแผน หลอกใช้ฐานะของพวกเขาเข้าเมืองหลวง เข้าใกล้โม่ฉีหมิง

แต่ว่า จากการท่าทีของพวกเขา มันทำให้โล่หวินหลานไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่

ถึงแม้จะเป็นองค์หญิงที่ต้องแต่งงาน แต่ว่านางควรจะได้รับเกียรติมากกว่านี้

“พวกเจ้าปฏิบัติกับองค์หญิงแบบนี้หรอ? หากข้าทูลเสด็จพ่อ พวกเจ้าตายไม่มีที่ฝังแน่” โล่หวินหลานพูดด้วยความโมโห

ด้านหนึ่งนางอยากให้พวกเขาปล่อยนาง อีกด้านหนึ่งอยากจะลองหยั่งเชิงท่าทีของพวกเขาที่มีต่อ “อาลั่วหลัน”

เสียงหัวเราะดังมาจากทหารคนนั้น เหมือนกับว่าสิ่งที่นางพูดคือเรื่องที่น่าขำที่สุดที่เคยฟังมา

ชุดเกราะของพวกเขาสั่นแรงมาก มองจากด้านหลังก็มองออก ว่าเขาหัวเราะอย่างหนัก

“ขำอะไร? ถ้ายังหัวเราอีกข้าจะตัดลิ้นเจ้าซะ” โล่หวินหลานพูดด้วยความโกรธ

เชือกที่มัดมือของนางเอาไว้เหมือนจะตึงขึ้น พวกเขาหยุดหัวเราะ ควันจากความอุ่นลอยอยู่ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น

“องค์หญิง ข้าว่าท่านดูแลลิ้นตัวเองให้ดีก่อนไหม หากฝ่าบาทรักท่านจริง เขาจะส่งท่านแต่งไปแคว้นโม่ฉีหรอ?” ทหารอีกคนส่ายหน้า เหมือนกำลังบอกว่าเรื่องง่ายๆแค่นี้เขายังมองออกเลย ทำไมองค์หญิงถึงมองไม่ออก?

ดูเหมือนว่าอาลั่วหลันจะไม่ใช่องค์หญิงที่ได้รับการโปรดปรานมากนัก หากว่านางเป็นที่โปรดปรานอาจจะไม่ถูกส่งมาแต่งงานไกลถึงแคว้นโม่ฉี เพื่อความสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้น ให้นางเสียสละ ต่อให้จะเป็นการทำลายความสุขทั้งชีวิตของนางก็ตาม

นางถอนหายใจ ข้างหน้าเป็นขบวนยาว ขบวนที่มีแต่คนสวมชุดเกราะสีดำไม่รู้ว่าหยุดเดินเมื่อไหร่ พวกเขาเดินกลับไปยังที่ของพวกเขา คนที่พวกเขาเรียกว่าแม่ทัพ เขาลงจากม้า แล้วถือหมวกเดินเข้าไปในกระโจม

เพราะเมื่อครู่ฝนตกหนัก เหล่าทหารเลยตั้งค่าย เตรียมนอนพักที่นี่หนึ่งคืน พรุ่งนี้ค่อยเดินทางเข้าเมืองหลวง

แม่ทัพคนนั้นเข้าไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินออกมา

“ฟ้าใกล้มืดแล้ว วันนี้เราจะค้างที่นี่กันหนึ่งคืน พรุ่งนี้ค่อยเข้าเมืองหลวง” แม่ทัพคนนั้นออกคำสั่ง แค่คำพูดคำเดียว ไม่มีใครไม่ฟังคำสั่งของเขา

พูดจบ เขาก็มองแล้วเดินมาหาโล่หวินหลาน คนสวมชุดเกราะดำยืนตัวยืดตรง เขาเดินมายืนห่างจากโล่หวินหลานไม่กี่ก้าว

“ขอให้องค์หญิงทรงรีบพักผ่อนด้วย พรุ่งนี้เราจะเข้าเมืองหลวงกันแต่เช้า เราจะทำการเขียนฎีกาถวายให้ฮ่องเต้โม่ฉี เล่าสถานการณ์ของเรา” คิดไม่ถึงว่าเขาจะใส่ใจองค์หญิงแบบนี้ ไม่เหมือนกับทหารเมื่อกี้ที่ไม่เคารพนาง แต่จะทำอะไรก็มาแจ้งในนางรับรู้ก่อน

“ท่านแม่ทัพจะทำอะไร ก็ทำเถอะ” โล่หวินหลานพยายามพูดเสียงให้เบาที่สุด เพื่อปกปิดเสียงแกล้งทำเป็นไอ เหมือนจะเป็นหวัด

ไม่ผิดจากที่คิด แม่ทัพคนนี้เห็นโล่หวินหลานไอ เขาก็ขมวดคิ้ว สายตาของเขาเหมือนจะเป็นห่วงองค์หญิงมาก เขาทั้งปวดใจ เขาทั้งตำหนิ สายตาที่สับสนทำให้โล่หวินหลานสะดุ้ง เขามองผ่านผ้าคลุมเห็นไม่ชัด แต่ก็ไม่น่าจะผิดพลาด

“องค์หญิงเป็นหวัดหรอ? ทำไมเสียงถึงได้แหบแบบนี้?” แม่ทัพคนนั้นอดไม่ได้ที่จะโมโห เขาหันไปมองทหาร แล้วพูดด้วยความโมโหว่า “หมอหลวงที่ตามมาด้วยอยู่ไหน? ไปตามมาเดี๋ยวนี้”

คำพูดแล้วก็ท่าทางแบบนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่แม่ทัพคนหนึ่งควรมีกับองค์หญิง อีกทั้งยังเป็นองค์หญิงที่กำลังจะแต่งงาน

“ท่านแม่ทัพ แค่เป็นหวัด ไม่เป็นไร ไม่ต้องตามหมอให้วุ่นวายหรอก ข้ากลับไปพักเดี๋ยวก็หาย” โล่หวินหลานพยายามจะหยั่งเชิงแม่ทัพคนนี้ ถึงจะไม่รู้ว่าปกติแล้วอาลั่วหลันพูดจายังไงกับเขา แต่ว่าในเวลานี้ไม่มีเวลามานั่งคิดแบบนั้น

พูดจบ โล่หวินหลานก็แกล้งปิดปากแล้วไออีกสองที เสียงไอมันดังเข้าหูของแม่ทัพแต่มันดังมากกว่าที่ได้ยินอีกสิบเท่า

“ห้ามพูดเหลวไหล จะไม่รักษาได้ยังไง? ต่อให้ไม่หนัก ข้าจะรักษาเจ้าให้หาย” แม่ทัพคนนั้นพูดจบ ก็หยุดไปเหมือนนึกขึ้นมาได้ว่าเขาร้อนใจเกินไปทำให้พูดอะไรออกมาไป แล้วรีบอธิบายว่า “องค์หญิง ความหมายของข้าคือ พรุ่งนี้ท่านจะต้องเข้าเมืองหลวงไปแต่งงาน หากเป็นหวัด เกรงว่าฮ่องเต้โม่ฉีอาจจะกล่าวโทษได้ว่าเราดูแลท่านไม่ดี ทำให้แคว้นเจิ้งโจวของเราเสียหน้า”

ในตอนนี้เองหมอหลวงก็รีบวิ่งมาพร้อมกล่องยาน้อยๆของเขา

เมื่อหมอหลวงสองคนคำนับเรียบร้อยแล้ว โล่หวินหลานก็พยักหน้าให้กับแม่ทัพ “ในเมื่อท่านแม่ทัพคิดแบบนี้ ให้หมอหลวงตรวจดูหน่อยก็ได้”

พูดจบ สาวใช้สองคนก็มาพยุงโล่หวินหลานเข้ากระโจมไป

ภายในกระโจมใหญ่มาก ถึงแม้จะเรียบง่าย แต่มีของใช้ทุกอย่างครบ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ซึ่งรู้ทันทีว่านี่เป็นกลิ่นของผู้หญิง ที่นี่น่าจะเป็นห้องขององค์หญิง

สาวใช้สองคนพาโล่หวินหลานมาที่เตียง แล้วให้นางกึ่งนอนอยู่บนเตียง สาวใช้ที่อายุมากหน่อยยื่นมือจะไปเปิดผ้าคลุมหน้าของนาง ขณะที่นางกำลังจะยื่นมือมาจับผ้า ก็ได้ยินเสียงแหบๆพูดขึ้นมาว่า

“ข้าสั่งให้เจ้าถอดผ้าคลุมออกแล้วหรอ?”

สาวใช้มือค้างอยู่กลางอากาศ นางหันไปมองแม่ทัพที่ยืนอยู่ด้านหลัง จนกระทั่งเขาส่งสัญญาณให้ “ขออภัยเพคะองค์หญิง ข้าน้อยดง่เขลา ต่อไปไม่กล้าแล้ว”

“ออกไป ไม่มีคำสั่งของข้าพวกเจ้าก็ไม่ต้องมารับใช้ข้าอีก” โล่หวินหลานเบือนหน้าหนี

“เอ่อ ......” สาวใช้คนนั้นคิดไม่ถึงว่าโล่หวินหลานจะสั่งไม่ให้นางมารับใช้ สายตาของนางมองไปที่แม่ทัพอีกครั้ง เหมือนกำลังร้องขอความเห็นจากเขา

ทั้งสองหน้ากัน โล่หวินหลานไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นเพราะอะไร สาวใช้สองคนนี้จะต้องไม่ใช่สาวใช้ที่ดูแลนางตลอดเวลาแน่ น่าจะเป็นคนที่แม่ทัพส่งมาเฝ้าเจ้าตาดูนางเอาไว้

สิ่งที่นางต้องการคือแบบนี้ เพราะนางไม่ใช่อาลั่วหลัน จะให้มาสวมผ้าคลุมตลอดเวลาคงไม่ได้ ก่อนที่จะเข้าเมืองหลวง นางจะให้คนอื่นรู้ฐานะที่แท้จริงไม่ได้เด็ดขาด ต้องปกปิดให้แนบเนียน

“องค์หญิง ข้างกายท่านควรมีคนคอยดูแล หากว่าพวกนางไม่อยู่ข้างท่าน ท่านจะใช้ชีวิตยังไง?” แม่ทัพจ้องไปที่สาวใช้สองคน เหมือนกับตำหนิว่าเรื่องแค่นี้ก็ทำไม่ได้

“ชีวิตข้าข้าจัดการเองได้ ไม่ต้องให้คนอื่นมาคอยจัดการให้ อีกทั้งข้าไม่ชอบสาวใช้ที่ล่วงเกินข้า ไม่อย่างนั้นวันใดวันหนึ่งเกิดขึ้นมาเหยียบหัวข้าแล้วจะทำยังไง” โล่หวินหลานประชด สายตาของนางไม่พอใจ

แม่ทัพไม่เห็นสีหน้าของนาง แต่ก็สัมผัสได้ว่านางกำลังโกรธ นางเหมือนไม่ใช่อาลั่วหลันคนเดิม นางดูเย็นชา แต่ว่าความทะเล้นความดื้อยังคงมีอยู่

ไม่ว่านางจะพูดอะไร เขาไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เขาเองก็ไม่ใจดำพอที่จะปฏิเสธ เมื่อนึกถึงว่าหลังจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป ก็จะเหมือนอยู่คนละโลกแล้ว อีกทั้งคงจะไม่ได้เจอกันอีก เขาก็อยากเอาโลกทั้งใบมาให้นาง อย่าว่าแต่แค่คำขอเล็กแบบนี้เลย

“องค์หญิง หากว่าท่านไม่ชอบพวกนางสองคน ข้าจะหาคนใหม่มาให้ท่าน”

โล่หวินหลานขมวดคิ้ว “ไม่ต้อง ข้าอยากอยู่คนเดียว ข้าต้องการเมื่อไหร่จะบอกเจ้าเอง”

เมื่อเป็นแบบนี้ แม่ทัพเองก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก ทำได้แค่จ้องไปที่สาวใช้สองคนนั่น แล้วโบกมือให้พวกนางออกไป

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจองค์หญิงก็แล้วกัน” แม่ทัพพูด

หลังจากนั้นหมอหลวงก็ทำการตรวจชีพจรของนาง เพื่อให้สมจริง โล่หวินหลานตั้งใจปิดชีพจรตัวเอง เพื่อให้หมอหลวงเข้าใจผิดว่านางไม่สบาย แล้วอาการก็หนักมากด้วย

หมอหลวงสามคนตรวจชีพจรสามครั้ง จากนั้นก็เขียนผลลงบนกระดาษ แล้วยื่นให้แม่ทัพดู

แม่ทัพดูอย่างละเอียด จากนั้นก็พยักหน้า แล้วยื่นกระดาษไปให้หมอหลวง “ไปจัดยามา”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ หมอหลวงเหมือนจะเครียดมาก พวกเขาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เหมือนขนลุกไปทั้งตัว

“ทำไมถึงได้มีอาการอึดอัดใจได้? องค์หญิง ท่านนอนไม่หลับทุกคืนเลยหรอ?” แม่ทัพมองไปที่โล่หวินหลาน

ในกระโจมตอนนี้เหลือแค่พวกเขาสองคน ภายในเงียบมาก ขอแค่เอียงหูฟัง ก็ได้ยินว่าเสียงลมหายใจของแม่ทัพ

ชายหญิงอยู่กันสองต่อสองจะทำให้คนพูดลับหลังได้ อีกทั้งยังเป็นแม่ทัพที่คุ้มกันมาส่งองค์หญิงที่กำลังจะไปแต่งงาน

โล่หวินหลานหันตัวกลับมา สีหน้าไร้ความรู้สึก ท่าทางดูแข็งกร้าว “ท่านแม่ทัพ หมอหลวงตรวจชีพจรแล้ว หากท่านไม่มีอะไรอย่างอื่นอีกเชิญไปทำงานเถอะ”

หากโล่หวินหลานไม่ได้เห็นท่าทีของแม่ทัพที่มีต่ออาลั่วหลัน นางคงไม่รีบไล่เขาออกไปแบบนี้ อะไรที่ไม่เป็นไปไม่ได้แบบนี้ โล่หวินหลานไม่ค่อยอยากจะยุ่งเท่าไหร่

ที่ทั้งคู่ได้เจอหน้าคุยกัน มันเป็นเรื่องบังเอิญ

แม่ทัพคนนั้นเหมือนจะรู้ทัน สายตาของเขาที่มองมาที่โล่หวินหลาน เหมือนกำลังจะมองทะลุผ้าคลุมมองใบหน้าที่แท้จริงของนาง แต่ว่าโล่หวินหลานฉลาด รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร ก็เลยหันหลังแล้วนอนลง ห่มผ้าคลุมทั้งตัว

เห็นนางปฏิเสธแบบนี้ มันเป็นอะไรที่แม่ทัพคุ้นเคย เหมือนที่ผ่านมา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

เขาถอนหายใจ แล้วเดินออกจากกระโจมไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก