ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 224

ตอนที่ 224 ใกล้เพียงเอื้อมมือ

นางมองไปข้างอย่างใจเต้นระส่ำระสายรู้สึกไม่ปลอดภัย ความคิดของอาบั่วหลันถูกโล่หวินหลานคาดเดาได้หมด นางรู้ดีว่าผู้หญิงใจร้ายจิตใจโหดเหี้ยมหมายถึงใคร เมื่อตอนที่คุยกับจื่อเอ่อนางได้หลอกถามจนจับต้นชนปลายถูก นางรู้สึกสงสารชีวิตของอาลั่วหลันมาก แต่นี่เป็นสิ่งหลบเลี่ยงไม่ได้โชคชะตาได้ลิขิตไว้แล้ว

“ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เป็าหมายสูงสุดของการดำรงชีวิต” อาลั่วหลัน หวังว่าเจ้าจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ในสักวันหนึ่ง ไม่มีโซ่ตรวนอีกในชาตินี้

โล่หวินหลานถอนหายใจยาวพลางขมวดคิ้ว

อากาศในฤดูหนาวจะเย็นเร็วกว่าปกติ พึ่งเข้ามาถึงภายในพระตำหนักพูดคุยได้เพียงไม่นาน บรรยากาศภายนอกก็เริ่มมืดลง ก้อนเมฆสีดำคอยปกปิดทั่วผืนฟ้า ทำให้ก้อนเมฆขาวๆบนท้องฟ้าเริ่มมีหมอกหนาขึ้น

นี่ก็คือบรรยากาศยามค่ำคืนในฤดูหนาวของเมืองหลวง

เป็นอากาศที่โล่หวินหลานคุ้นเคยที่สุด ทุกครั้งก่อนฟ้ามืดตะวันลับ นางมักจะนั่งอยู่บนระเบียงภายในห้องชื่นชมหิมะตก ด้านหนึ่งก็คอยรอการจัดการเรื่องของโม่ฉีหมิง

แต่โม่ฉีหมิงที่ได้เห็นสภาพของนางในตอนนี้ ก็มักจะปวดใจและโมโหทุกครั้งและจีบมือของนางยัดเข้าไปในเสื้อของตนเองเพื่อให้ความอบอุ่น และดุนางว่าเด็กโง่

เพียงแต่ ความอบอุ่นที่เหลือจากเมื่อก่อนนั้น มลายหายไปหมดอย่างไร้เยื้อใย เหลือเพียงความทรงจำ

“องค์หญิง พวกเราเป็นคนที่รัชทายาทสั่งให้มาดูแลปรนนิบัติท่านเพคะ” เสียงดังลอดเข้าในหูประหนึ่งเสียงนกขมิ้นเจื้อยแจ้วดังขึ้นมาจากนอกประตู

คิดไม่ถึงว่ารัชทายาทจะมือเร็วขนาดนี้โล่หวินหลานกระแอมในลำคอเบาๆ “เข้ามา”

สาวใช้สิบกว่าคนสวมชุดแบบเดียวขึ้นในมือถือสิ่งของสีสันหลากหลายเข้ามาจากประตู สิ่งที่เด่นสะดุดตาที่สุดคงจะเป็นอัญมณีสีเงินทอง เพราะฝาของกล่องถูกเปิดออก เพราะฉะนั้นจึงมีแสงระยิบระยับเปล่งประกายออกมา

“องค์หญิง เครื่องประดับบรรณาการเหล่านี้ฮ่องเต้ให้พวกหม่อมข้านำมาถวายเพคะ กล่าวว่าองค์หญิงมาจากไกลบ้านไกลเมือง เหนื่อยลำบากมาไกล” นางในเหล่านี้วางถาดเครื่องบรรณาการไว้บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย วางจัดเรียงจนเต็มไปหมด นางในจึงวางถาดไว้บนขอบเตียง

มองดูเครื่องบรรณาการเหล่านี้โล่หวินหลานยิ้มเย็น ไม่รู้ว่าฮ่องเต้เจียเฉิงต้องการแสดงพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ หรืออยากจะอยากแสดงให้องค์หญิงที่มาจากต่างบ้านต่างเมืองเห็นว่าแคว้นโม่ฉีของพวกเขาร่ำรวยเงินทองเพียงใด

“ไปขอบพระทัยข้าแทนฮ่องเต้ด้วย”โล่หวินหลานพูดขึ้นอย่างเรียบๆ

“องค์หญิง งานเลี้ยงตอนค่ำใกล้จะเริ่มแล้วเพคะ ให้หม่อมข้าช่วยท่านแต่งตัวเถิดนะเพคะ สะดวกท่านไปร่วมงาน” นางในที่นำมาคนแรกอายุไม่น้อยแล้ว มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นนางในเก่า พูดพลางเดินเข้ามาข้างหน้าเตรียมจะหวีผมให้โล่หวินหลาน

แต่ว่า นางยังไม่ทันเดินไปข้างหน้าของโล่หวินหลาน ก็ถูกนางปฏิเสธทันควัน

“พวกท่านลำบากแล้ว พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ ที่ข้ามีสาวใช้ดูแลอยู่สองคนก็เพียงพอแล้ว”โล่หวินหลานไม่ได้ขึ้นเสียงเท่าไหร่นัก

น้ำเสียงที่ไม่แข็งไม่อ่อนของนางทำให้นางในหน้าเสียไปเลย ไม่ได้รู้นิสัยส่วนตัวขององค์หญิงแคว้นเซิ่งโจวด้วยว่าเป็นอย่างไร นี่ก็ทำให้นางรู้สึกลำบากใจไม่รู้ว่ากลับไปจะรายงานอย่างไร

แต่ว่า ดูท่าทางขององค์หญิงคนนี้แล้ว ไม่เหมือนลูกพลับที่อ่อนนุ่ม จะบีบคั้นอย่างไรก็ได้ นางในคิดการคำนวณสถานการณ์อยู่เพียงครู่ ยังมีโอกาสอีกมาก

“ได้เพคะ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญองค์หญิงแต่งตัวตามอัธยาศัยในเพคะ หม่อมข้าขอตัวกลับก่อน”แล้วจึงพาเหล่านางในออกไปด้วยสีหน้าไม่ดี เหล่านางในที่เห็นอย่างนั้นก็พากันกลับตามหลังไป

ประตูค่อยๆปิดลงไป

“ช่วยข้าเปลี่ยนชุดที หวีผมด้วยนะ”น้ำเสียงของโล่หวินหลานมีความอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด

ฟังเสียงของนางแล้ว ตอนนี้หมิงซีรู้สึกร้อนใจและเกลียด ที่เวลาอย่างนี้ เขาเหมือนกับของตกแต่ง ช่วยอะไรไม่ได้เลย เขาเพียงแค่รู้สึกเป็นห่วงนาง

สาวใช้ที่จื่อเอ่อจัดไว้ไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบเร่งลงมือช่วยโล่หวินหลานทำผมทันที พลางถาม “องค์หญิงเพคะ ท่านอยากทำผมอย่างไรเพคะ?”

วันนี้เป็นวันแรกที่องค์เหอเซ่อเข้าวังครั้งแรก ห่วงว่าน่าจะมีองค์ชายหลายองค์ ถึงแม้ว่านางจะเป็นตัวปลอม แต่ก็จะให้แคว้นเซิ่งโจวขายหน้าไม่ได้ อย่างน้อยก็ห้ามไม่ให้องค์ชายทั้งหลายรู้สึกว่าองค์หญิงขายหน้าของแคว้นเซิ่งโจวได้

“ถ้าอย่างนั้นก็ทำทรงองค์หญิงเหอเซ่อแล้วกัน เสื้อผ้าก็อย่าใส่ให้มันหรูหรานัก เอาเรียบง่ายแต่ยังคงความเป็นเจ้าหญิงนะ”โล่หวินหลานเหอมองเข้าไปในกระจกที่มีเงาของตนเองสะท้อนออกมา เลิกคิ้วขึ้น เหมือนว่าจะแต่งออกมาอย่างไรกก็ไม่เกี่ยวกับนางทั้งนั้น

สาวใช้สองคนรับคำสั่งเสร็จ ก็เริ่มลงมือทำผมให้โล่หวินหลาน

อันดับแรกใช้น้ำมันกุหลาบเล็กน้อยลูบไปที่ผมเบาๆ ทำให้เส้นผมมีกลิ่นหอมอ่อนๆโชยออกมา แล้วจึงทำผมให้คงที่ มือของพวกนางวุ่นอยู่บนหัวของโล่หวินหลานไม่หยุด ประสานกันไหลลื่นอย่างงูเล็กที่กำลังเลื้อยไปมาอยู่บนหัวของนาง หยิบปิ่นเครื่องประดับปักไปที่หัวของนางไม่หยุด ทรงผมที่เรียบง่ายแต่มีความสง่าผ่าเผย

สุดท้าย ปิ่นปักผมสีเขียวอ่อนสองอันปักสอดเข้ามาในผมของนาง ผ้าขาวบางสีขาวถูกมัดลอดผ่านท้ายทอยของนาง มีกลิ่นอ่อนๆดั่งหยกบริสุทธิ์โชยออกมาจากร่างบางของโล่หวินหลาน ช่างเหมือนกับนางฟ้านางสวรรค์ที่ทะลุผ่านก้อนเมฆลงมาโลกมนุษย์

“องค์หญิง ท่านช่างงดงามนัก”สาวใช้นางหัวเราะคิกคักชื่นชมความงามของโล่หวินหลาน

ทำผมทรงองค์หญิงเหอเซ่อทำให้นางดูเหมือนคนต่างบ้านต่างเมือง หากไม่ได้สังเกตดูดีๆ ยังไงก็ดูไม่ออกจริงๆว่านางเป็นคนของแคว้นโม่ฉี

ในกระจกมองไม่เห็นอะไรโล่หวินหลานจึงลุกยืนขึ้น บนร่างบางมีกระโปรงลากยาวถึงพื้นทำให้นางไม่คุ้นชินนัก นางค่อยๆยกกระโปรงขึ้นเล็กน้อย ด้านบนเป็นชุดสีเขียวทะเลสาบ ด้านล่างมีกระโปรงสีขาวคลุมอยู่ ด้านนอกมีเสื้อคลุมกันลมหนังเสือดาว ทำให้ทั้งตัวของนางงามสง่าบริสุทธิ์

โล่หวินหลานพอใจกับการแต่งตัวอย่างนี้ มีแค่การเดินเหินง่ายต่อการเหยียบกระโปรงตนเอง ฉะนั้นเวลาเดินต้องถกกระโปรงขึ้นเล็กน้อย

“องค์หญิงเพคะ ฮ่องเต้ให้คนส่งสารมาว่า ขอเชิญท่านและท่านแม่ทัพจื่อเอ่อไปพบที่บัลลังก์ฉือถิงเสวยกายหารเพคะ” คนที่อยู่ด้านนอกเคาะประตูเรียกอย่างมีมารยาท แล้วจึงตามด้วยเสียงใสของสตรีดังขึ้น

“ข้ารู้แล้ว”โล่หวินหลานพูดเสร็จ ก็เปลี่ยนเป็นเสียงต่ำลง แล้วจึงใช้เสียงที่ได้ยินกันแค่สามคนคุยกับหมิงซีและอาลั่วหลัน “พวกเจ้าก็ไม่ต้องไปแล้วนะ รอฟังข่าวจากข้า”

“เจ้าก็ระวังตัวเองด้วยนะ อย่าทำให้ความแตกล่ะ”หมิงซีก็พูดเสียงเบาเหมือนกันตอบกลับไป

สาวใช้ทั้งสองก็รู้งานรีบเดินไปที่ประตู เห็นโล่หวินหลานพูดจบ ก็เปิดประตูออก พยุงโล่หวินหลานเดินออกไปยังทางทิศตะวันออกของสวนหลวง

บัลลังก์ฉือถิงในสวนหลวงมีการแสดงร้องรำอยู่ก่อนแล้ว เสียงเพลงดังขึ้นไม่หยุด มีเสียงของผู้หญิงร้องเพลงกับเสียงดนตรีดังลอดมาเป็นระยะ คิดไว้ว่าตอนนี้ต้องกำลังคึกคักกันอยู่เป็นแน่

คนหลายคนเดินผ่านสวนดอกไม้ที่อากาศหนาว พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นบัลลังค์ฉือถิงบนสุดของสวนดอกไม้ ตอนนี้สิ่งที่กำลังแสดงอยู่ชุดนาจาทะเลเดือด

โล่หวินหลานใจเต้นตึกตักไม่หยุด ไม่ใช่เพราะสถานการณ์ตรงหน้า แต่เป็นเดี๋ยวต้องพบกับโม่ฉีหมิงแล้ว

ไม่พบกันนาน คนที่ไกลกันคนละโลกจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง มันจะเร็วกะทันหันไปหรือไม่

“องค์หญิง ขึ้นบันไดเถิด ท่านระวังหน่อยนะเพคะ”สาวใช้ข้างเตือนขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน

บันไดเพียงไม่กี่ขั้นราวกับทางก้าวขึ้นสวรรค์ช่างก้าวอย่างยากลำบากโล่หวินหลานกลั้นหายใจ อีกด้านหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีเงามืดหนึ่งบังร่างนางจนมิดทำให้แสงสว่างอันน้อยนิดข้างหน้าของนางหายไป

โล่หวินหลานเงยหน้าดู จื่อเอ่อมายืนข้างกายนางอย่างไม่พูดไม่กล่าว สายตาของเขามีความสงสัย พยายามปลอบตนเอง รัชทายาทให้คนมาคอยจับตาดูพวกเขา สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร

บันไดก้าวจนถึงขั้นสุดท้ายโล่หวินหลานไม่ได้ตั้งใจมองโม่ฉีหมิงว่าอยู่หรือไม่ แต่กลับกันกับไปทำความเคารพฮ่องเต้เจียเฉิงก่อน

“อาลั่วหลันแห่งแคว้นเซิ่งโจว(จื่อเอ่อ) ขอคารวะฮ่องเต้โม่ฉี ขอพระองค์อายุพันปี พันๆ ปี”

อาลั่วหลันกับจื่อเอ่อพูดขึ้นพร้อมกันสองมือคารวะไปยังฮ่องเต้เจียเฉิง เสียงของชายหนุ่มทุ้มดังมีเสียงของหญิงสาวดังแทรกประสานขึ้นมา ทำให้ฮ่องเต้เจียเฉิงรู้สึกแปลกใจ

“รีบลุกขึ้นเถิด ใครก็ได้รีบไปจัดหาที่หาทางให้องค์หญิงเหอเซ่อกับแม่ทัพจื่อเอ่อ คำสั่งข้า”เสียงของฮ่องเต้เจียเฉิงไม่มีความเข้มขรึมเมื่อแต่ก่อน คิดไม่ถึงว่าเวลาแค่หนึ่งปี ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปไม่เหมือนเมื่อก่อน

มีคนนำทางพวกเขาไปนั่งประจำที่ หลังจากที่โล่หวินหลานนั่งลงแล้ว ถึงจะค่อยๆเงยหน้าสังเกตมองดูฮ่องเต้เจียเฉิงอย่างเงียบๆ

ความเปรียบเทียบเขาเมื่อปีที่แล้ว เปลี่ยนไปมากจริงๆโล่หวินหลานรู้สึกแปลกใจมาก หนึ่งปีกว่ามานี้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน ทำไมสุขภาพของฮ่องเต้เจียเฉิงถึงได้เลวร้ายลงอย่างนี้ล่ะ

“ได้ยินมานานแล้วว่าฮ่องเต้โม่ฉีทรงพระปรีชาสามารถ ทรงงานตัดสินใจเด็ดขาด มาได้เห็นวันนี้ เป็นไปอย่างที่คนเล่าขานจริงๆ”จื่อเอ่อสองมือคารวะ ชื่นชมพระปรีชาสามารถของฮ่องเต้เจียเฉิงอย่างหน้าไม่เปลี่ยนสี

แต่ว่าอาศัยที่โล่หวินหลานรู้จักฮ่องเต้เจียเฉิงมา เขาไม่ชอบให้ผู้อื่นพูดจายกยอสรรเสริญ แต่มาวันนี้เขาไม่ได้แสดงอาการโกรธหรือสีหน้าเคร่งขรึมแต่อย่างใด

“ท่านชมเกินไปแล้ว เราอายุก็มากแล้ว ยังไงก็สู้คนอายุน้อยอย่างพวกท่านไม่ได้หรอก เราได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านมานานแล้ว มาวันนี้ เป็นอย่างคำเล่าลือจริงๆ”ฮ่องเต้เจียเฉิงหัวเราะ ใช้มือลูบเคราเบาๆ ไม่ว่าเขาจะทำท่าทางอะไรก็ตาม บวกกับชุดลายปักมังกร ราวกับมังกรผงาด

การแสดงชุดนาจาเทพอภินิหารได้แสดงถึงฉากที่สนุกที่สุด ต่างดึงดูดสายตาของผู้ชมทั้งหมดรวมกันอยู่บนเวที จื่อเอ่อถอนหายฬจโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด แล้วจึงมองตามลงไปยังเวทีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของบัลลังก์ฉือถิง

ศาลาที่อยู่เยื้องต่ำลงเล็กน้อยถูกดอกของต้นบ๊วยห้อมล้อมอยู่ทั้งสวนดอกไม้ ดอกบ๊วยแดงบ๊วยขาวต่างแข่งกันเบ่งบานอยู่รอบสวนหลวง ห้อมล้อมบริเวณรอบศาลาสีขาวดั่งหยกขาว เรียงรายอยู่เต็มสองข้างทางของศาลา

โล่หวินหลานเงยหน้ามองหาร่างของโม่ฉีหมิง แต่ที่นั่งของเหล่าบรรดาท่านอ๋องต่างไม่มีเงาของเขาปรากฏแม้แต่น้อย พอคิดได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขารึป่าว?

“องค์หญิงเหอเซ่อ สุขภาพร่างกายของพ่อเจ้าเป็นอย่างไร?”ตอนนี้ ฮ่องเต้เจียเฉิงหันหน้าถามไปทางโล่หวินหลาน

ทั้งๆที่เป็นศัตรูกัน แต่ก็ยังจะแสดงท่าทีเหมือนเป็นมิตรที่ดีต่อกัน เหอเซ่อมองไปยังฮ่องเต้เจียเฉิงที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ไม่ตอบก็ไม่ได้“เสด็จพ่อสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีเพคะ ขอบพระทัยความห่วงใยของฮ่องเต้”

มาวันนี้นางเป็นองค์หญิงเหอเซ่อที่มาเพื่อเข้าพิธีอภิเษกสมรส ผู้คนต่างรู้ดีว่าโม่ฉีหมิงคือคู่ครองของนาง แต่ค่ำคืนที่สำคัญที่สุดโม่ฉีหมิงกลับไม่ปรากฏตัว ช่างเสียมารยาท

ข้างๆหูของโล่หวินหลานมีเสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นเป็นระยะ

กำลังพูดคุยว่าเรื่องระหว่างชางหมิงเจว์กับนาง ว่าโม่ฉีหมิงยังคงรักหมิงหวังเฟยอย่างสุดหัวใจ ไม่มีวันแต่งกับนางแน่นอน ยังพูดว่าตนเองไม่สามารถเปรียบกับโล่หวินหลานแต่ก่อนได้ ทีนี้ทำเอาโล่หวินหลานถึงกับงงไปเลย

นางอยู่ที่นี่ นางยังอยู่ดีมีสุข

“วันนี้ ลูกชายคนที่สี่ของเราเป็นหวัด ไม่สบาย มาเข้าวังไม่ได้ แต่ว่าตอนนี้เรายังไม่ได้คิดว่าเจ้าจะแต่งกับใคร แต่ว่าเราลูกชายมากมาย จะหาคู่ครองให้เจ้าอย่างแน่นอน”ตอนนี้โล่หวินหลานรู้สึกตกใจ นางอ้าปากข้างปากแทบอมไข่ไก่ได้ทั้งใบ คิดไม่ถึงว่ายังไม่ได้เตรียมการว่าจะให้นางแต่งกับใคร

หรือประกาศนั่นจะเป็นเรื่องโกหก?

“ฮ่องเต้ ความจริงข้าแต่งกับใครก็ได้ทั้งนั้น ข้าเพียงหวังแค่ว่าแคว้นโม่ฉีกับแคว้นเซิ่งโจวจะสงบสุขได้ ไม่สู้รบทำให้ประชาชนเดือดร้อน”โล่หวินหลานพูดกล่าวเสียงขรึม แต่สองมือกลับกำมัดแน่นทำให้เล็บจิกเข้าไปในเนื้อ เลือดแทบจะไหลออกมาตามรอยจิกของนาง

คิดไม่ถึงว่าเป็นถึงองค์หญิง แม้กระทั่งเลือกคู่ครองยังไม่มีอำนาจตัดสินใจ อีกทั้งเรื่องการอภิเษกสมรสยังเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขนาดนี้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก