ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 233

พระชายาอ๋องหลัวลุกขึ้นยืน นางสวมชุดสีชมพูอ่อน ด้านนอกก็คลุมผ้าคลุมตัวหนาสีชมพู ใบหน้าของนางช่างงดงามและฉลาดเฉลียว แก้มทั้งสองของนางเป็นสีชมพูระเรื่อ มองดูแล้วยังเด็กนัก

คงเป็นเพราะไม่เคยทำการแสดงต่อหน้าฮ่องเต้เจียเฉิงและผู้คนมากมาย ณ เวลานี้นางจึงเขินอายยิ่งนัก มือและเท้าของนางดูเกร็งไปหมด แต่นางก็เต้นตามจังหวะของเครื่องดนตรีที่ทำจากไม้ไผ่

"หม่อมฉันแสดงได้ไม่ดีนักเพคะ" พระชายาอ๋องหลัวพูดขึ้นอย่างมีมารยาทนางเอ่ยกับฮ่องเต้เจียเฉิง

ฮ่องเต้เจียเฉิงรู้สึกดีกับพระชายาอ๋องหลัวที่อายุน้อยคนนี้นัก เขาหัวเราะล้า แล้วรับสั่งกับจ้าวกงกง“เจ้าไปหยิบกระโปรงมัดหมี่นั้นมาให้พระชายาอ๋องหลัวที"

จ้าวกงกงเมื่อได้ยินดังนั้นก็ตกใจเล็กน้อย กระโปรงมัดหมี่นั้นเป็นกระโปรงที่สมัยพระพันปีทรงพระเยาว์เคยสวมตอนเต้นรำ และได้นำไปเก็บเอาไว้ ซึ่งไม่ได้มีการแตะต้องมาหลายปีแล้ว วันนี้ฮ่องเต้กลับให้มอบเป็นของขวัญแด่พระชายาอ๋องหลัว เห็นทีฮ่องเต้คงพอพระทัยยิ่งนัก

จ้าวกงกงไม่กล้าถาม เขารีบไปหยิบมา

หลัวอ๋องและพระชายาอ๋องหลัวเองก็ดีใจยิ่งนัก ทั้งสองสบตากันแล้วยิ้ม ความรักความพวกเขาช่างเป็นความรักที่บริสุทธิ์ของหนุ่มสาว

"พระชายาอ๋องหลัว กระโปรงมัดหมี่นั่นเจ้าต้องรักษาให้ดี นี่เป็นน้ำพระทัยของฮ่องเต้ เจ้าต้องจำขึ้นใจ" ฮองเฮาเย่เอ่ยขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย เพื่อไม่ให้พวกเขาดีใจจนลืมตัว

พระชายาอ๋องหลัวรับคำมา

การที่ได้รับความเอ็นดูจากฮ่องเต้นั้น นางก็ดีใจมากแล้ว นางจะโลภมากได้อย่างไร?

"หม่อมฉันจะจำให้ขึ้นใจเพคะ" พระชายาอ๋องหลัวตอบ

พระชายาคนอื่นเมื่อเห็นสิ่งที่พระชายาอ๋องหลัวได้รับนั้น ก็อยากได้ความรักความเอ็นดูจากฮ่องเต้เช่นเดียวกัน แต่การแสดงที่เหลือนั้น กลับไม่มีใครได้รับคำชมจากฮ่องเต้เลย

ทุกคนต่างแสดงด้วยความคาดหวัง แต่ลงเวทีมาด้วยความสิ้นหวัง นอกจากได้รับการปรบมือจากผู้ชมแล้ว ก็ไม่ได้รับสิ่งใดตอบแทน

โล่หวินหลานมองดูหลัวอ๋องและพระชายาอ๋องหลัวอย่างเงียบๆ ในใจของนางพอจะเข้าใจฮ่องเต้เจียเฉิงแล้ว พวกเขาทั้งสองยังเด็ก ไม่รู้ว่าในวังหลวงนั้นน่ากลัวเพียงได้ การที่ได้รับกระโปรงมัดหมี่ของพระพันปีนั้น สามารถคุ้มครองพวกเขาไปครึ่งอายุขัยแล้ว

ในฐานะฮ่องเต้นั้น เขาเป็นคนที่มองโลกออก และเข้าใจโลก

ในฐานะพ่อ เขาก็เป็นเพียงพ่อที่รักและเป็นห่วงลูกคนเล็กก็เท่านั้น และเขาต้องการที่จะปก

ทางด้านเย่เซียวหลัวนั้นก็ได้เริ่มดีดพิณกู่เจิง บทเพลงที่นางดีดนั้นเป็นเพลงตามหารักที่กำลังนิยมที่สุดในตอนนี้ ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องของความรักที่เติบโตมาด้วยกัน พวกเขามีความรักในการแสดง จนสู้ทนเข้ามาร่ายรำทำเพลงในเมือง ระหว่างที่พวกเขามาทำงานที่โรงเตี้ยมนั่น ชายนั่นก็ได้เกี้ยวพราราสีกับหญิงอื่น จนคนรักที่เติบโตมาด้วยกันรู้เข้า นางจึงอุ้มเอาพิณกู่เจิงหนีจากเมืองหลวงไป ชายหนุ่มผู้นั้นเมื่อเสียหญิงที่รักไปจึงรู้ใจของตนเอง เขาทิ้งหญิงที่พึ่งรู้จักไป จากนั้นก็ไปตามหาคนรักเก่าของตน

เวลาผ่านไปนานแสนนาน ไม่อาจรู้ได้ว่าชายหนุ่มหาหญิงสาวคนนั้นพบหรือไม่ แต่เรื่องราวของพวกเขาถูกเขียนเป็นบทเพลงตามหารัก

จากนั้นบทเพลงตามหารักก็มีการใส่ท่วงทำนอง จนกลายเป็นบทเพลงที่คุ้นหูอย่างเช่นตอนนี้

วันนี้ การที่เย่เซียวหลัวบรรเลงเพลงนี้ นางก็มีเหตุผลของตนเอง

หนึ่ง เพื่อต้องการให้เวินอ๋องรับรู้ความรู้สึกของนางจากบทเพลงนี้ สอง เพื่อให้คนที่ฟังเพลงนี้นั้นปรื้มใจ

นิ้วเรียวยาวของนางบรรเลงอยู่บนพิณกู่เจิง เสียงอันไพเราะถูกดีดออกมา ซึ่งไพเราะเสนาะหูยิ่งนัก

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ความสามารถในการบรรเลงเพลงของนางนั้นได้พัฒนายิ่งนัก คล้ายเวทีแห่งนี้ถูกสร้างมาเพื่อนาง

นางดำดิ่งอยู่ในท่วงทำนองเพลง ไม่มีการไหวตรึง คล้ายตอนนี้นางและพิณกู่เจิงได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกันเสียแล้ว

ในที่สุด บทเพลงนี้ก็จบลง

เสียงปรบมือดังสนั่น

"หลัวเอ่อเล่นพิณกู่เจิงได้ดีขึ้นมากกว่าเดิมแล้ว จนดึงดูดคนฟังเข้าไปในบทเพลงเลยทีเดียว!” ฮองเฮาเย่เอ่ยชมนางยิ้มแล้วมองไปที่เย่เซียวหลัว

จากนั้นก็มองไปทางฮ่องเต้เจียเฉิง เย่เซียวหลัวเป็นหลานของนาง ในเมื่อพระชายาอ๋องหลัวยังได้รับของกำนัล แล้วเย่เซียวหลัวจะแพ้พระชายาอ๋องหลัวได้อย่างไร

"ฮ่องเต้ หลัวเอ่อทรงตั้งใจเล่นพิณกู่เจิงยิ่งนัก บทเพลงที่นางบรรเลงก็ไพเราะ ท่านไม่ควรมอบรางวัลให้แก่นางหน่อยหรือ?" ฮองเฮาเย่เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้เจียเฉิงไม่ได้เอ่ยคำใด นางจึงพูดขึ้น

ฮ่องเต้เจียเฉิงไม่คิดจะให้อะไรนางแต่แรกแล้ว เย่เซียวหลัวเป็นถึงพระชายาของเวินอ๋อง และนางยังเป็นคนตระกูลเย่อีกด้วย ถึงแม้ว่าตระกูลเย่จะไม่มีอำนาจ แต่หากมีตระกูลเย่วันหนึ่ง ก็เป็นภัยต่อเชื้อพระวงค์วันหนึ่ง

ดังนั้น เขามิอาจให้ตบรางวัลนางเด็ดขาด

แต่ฮองเฮาเย่ก็เอ่ยปากเช่นนี้แล้ว ทำให้ฮ่องเต้เจียเฉิงนั้นยากที่จะตัดสินใจ

เขามองไปทางเย่เซียวหลัว ที่ตอนนี้มองมาทางฮ่องเต้เจียเฉิง อย่างได้ใจ

"ฮองเฮาพูดถูก ห้องหนังสือของข้ามีภาพวาดเซียนธาราอยู่พอดี งั้นข้าก็ตบรางวัลภาพนั้นส่งให้พระชายาเวินอ๋อง" ฮ่องเต้เจียเฉิงพูดจบ ก็พายมือให้จ้าวกงกงไปจัดการ

สีหน้าของฮองเฮาเย่และเย่เซียวหลัวเปลี่ยนไปทันที ถึงแม้ว่าภาพนั้นฮ่องเต้จะเป็นคนวาดด้วยองค์เอง แต่นั่นก็ไม่ได้มีค่ากว่ากระโปรงมัดหมี่ที่พระพันปีเคยสวมใส่ แล้วนางจะพอใจได้อย่างไร?

"ฮ่องเต้เพคะ ในท้องพระโรงมิใช่มีของที่แคว้น......" ฮองเฮาเย่ต้องการให้ฮ่องเต้มอบของสิ่งนั้นกับเย่เซียวหลัว จึงเอ่ยของกำนัลที่แคว้นอื่นมอบให้ แต่นางยังไม่ทันพูดจบ ฮ่องเต้ก็เข้าใจทุกอย่างทันที

สายตาเย็นชาจ้องเขม็งไปที่ฮองเฮาเย่แววตาคู่นั้นมีความจริงจังยิ่งนัก

"ข้าว่าฮองเฮาของเริ่มประชวรแล้ว คงเป็นเพราะไข้หวัดที่ยังไม่ให้ดี ฮองเฮาคงยังประชวรอยู่ เจ้ารีบกลับไปพักเถอะ" ฮ่องเต้เจียเฉิงพูดขึ้นแล้วมองไปที่นาง

นี่คงเป็นความหมายของการโลภมากลาภหาย

โล่หวินหลานแค่มองจากทางไกล ก็รู้เลยว่าตอนนี้สีหน้าของฮองเฮาเย่ต้องแย่แค่ไหน

เมื่อสักครู่ยังเป็นฮองเฮาที่แสนใจดี ตอนนี้กลายเป็นเทพไม่มีบ้าน ถ้าใครโดนฮ่องเต้รับสั่งเช่นนี้แล้ว ก็คงไม่อาจแก้ตัวได้

สีหน้าของฮองเฮาเย่มีประมาณห้าสี คล้ายกับดอกไม้ที่ถูกย้อมด้วยสีเขียว จนสุดท้ายเริ่มช้ำ

เพียงแค่นางเอ่ยปาก ก็เกือบเอาหัวตัวเองเป็นประกัน

เป็นถึงแม่แห่งแผ่นดิน แต่กลับถูกไล่ให้กลับไปรักษาอาการป่วย หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป นางจะยังอยากเป็นฮองเฮาอยู่หรือไม่? ความเสียหน้านี้ นางยังจะเอายางอายหรือไม่?

"ฮ่องเต้......" ฮองเฮาเย่เรียกฮ่องเต้เสียงเบา หวังให้เขาคลายกริ้วลงบ้าง

แต่ความกริ้วของฮ่องเต้เจียเฉิงนั้นไม่ลดลงแม้แต่น้อย เขามองไปที่นางอย่างโมโห

"ไปพักได้แล้ว" พูดจบฮ่องเต้ก็ยกสุราขึ้นดื่ม

ตนเองเป็นถึงฮองเฮา แต่กลับไม่รู้ว่าควรวางตัวอย่างไร เขารู้ดีแก่ใจว่าฮองเฮาทำร้ายคนไปเท่าไหร่ รังแกนางสนมไปกี่คน เขารู้ทุกอย่าง

แต่เขาแค่ไม่พูดก็เท่านั้น วันนี้นางกลับใจกล้าที่จะบงการฮ่องเต้ คราวหน้านางไม่ขึ้นมานั่งตำแหน่งนี้แทน?

บรรยากาศในงานเริ่มมาคุ ถึงแม้ว่าจะมีไฟมากมายถูกจุดเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจช่วยให้ใครอุ่นใจได้เลย

"ขอพระทัยเพคะ หม่อมฉันทูลลา" ฮองเฮาเย่เอ่ยขึ้น

นางค่อยๆก้าวถอยหลัง

นางรู้ดีว่าฮ่องเต้เป็นคนอย่างไร นับหนึ่งเป็นหนึ่งไม่เปลี่ยนเป็นสองเด็ดขาด ไม่อาจให้ทรายอยู่ในตาได้

แววตาขององค์รัชทายาทไม่แสดงอารมณ์ใดๆ คล้ายกับเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นไม่เกี่ยวกับเขา เขายกแก้วสุราของตนเองขึ้นมา จากนั้นก็แกว่งไปมา

ไม่นาน จ้าวกงกงก็ได้หยิบภาพวาดนั้นมา แล้วมองให้เย่เซียวหลัว

เมื่อเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับฮองเฮาแล้วนั้น เย่เซียวหลัวจึงรับภาพวาดนั้นมาแต่โดยดี

"ขอพระทัยเพคะท่านพ่อ การที่ได้รับภาพวาดที่เสด็จพ่อวาดเองกับมือ หม่อมฉันช่างมีบุญวาสนายิ่งนัก" สิ่งที่นางพูดนั้นคล้ายฟังดูไม่คล้ายการแสแสร้ง แต่คล้ายกับการขอบคุณผู้เป็นพ่อของตน

เพราะสิ่งที่ฮองเฮาทำนั้น ทำให้ฮ่องเต้เจียเฉิงอารมณ์ขุ่นมัว แต่พอได้ยินสิ่งที่เย่เซียวหลัวพูดนั้น เขาก็อารมณ์ดีขึ้น

"เจ้าชอบก็ดีแล้ว เอาไปเถอะ" ฮ่องเต้เจียเฉิงเอ่ย

สองปีที่ผ่านมานั้นสุขภาพของเขาแย่ลง สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือการที่องค์ชายทำร้ายกัน จนไม่อาจที่จะสั่งสอนได้

ตอนนี้เขาพอจะหยุดใครได้ ก็จะหยุดใครก่อน มิเช่นนั้น จุดจบคงยากที่จะคาดเดา

เย่เซียวหลัวกัดฟันแน่นจนตัวสั่นค่อยๆเดินลงจากเวที

สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่นาง ซี่งสิ่งที่เย่เซียวหลัวเห็นนั้นเป็นการหัวเราะเยาะ สงสาร สมน้ำหน้า......

สีหน้าของทุกคน ทำให้รอยยิ้มของนางค่อยๆหายไป

ตอนที่นางกลับมานั่งนั้น ตัวของนางราวกับแผ่รังสีอำมหิตออกมา ช่างน่ากลัวยิ่งนัก

"การแสดงถัดไปขอเชิญองค์หญิงเหอซื่อของเราจัดแสดง องค์หญิงเหอซื่อเป็นองค์หญิงที่เป็นที่รักของเจ้าของแคว้นเซิ่งโจว นางต้องมีความสามารถมากมายแน่นอน วันนี้ถือเป็นบุญตาของเราทุกคน" ต้วนกุ้ยเฟยเอ่ยขึ้นแล้วมองไปทางองค์หญิงเหอซื่อ

เห็นสิ่งที่ฮองเฮาเย่โดนแล้วนั้น ตัวนางเองก็ไม่กล้าพูดอะไรมากมาย

แต่ในตำหนักแห่งนี้ นอกจากฮองเฮาเย่แล้ว ก็นางที่มีตำแหน่งสูงสุด หากนางไม่พูดสิ่งใด แล้วนางจะคู่ควรเป็นต้วนกุ้ยเฟยได้อย่างไร?

ชั่วพลิบตา โล่หวินหลานก็กลายเป็นจุดสนใจของทุกคน

การที่ถูกเรียกว่าองค์หญิงเหอซื่อนั้นทำให้นางรู้สึกมีความสุขและเศร้าในคราวเดียวกัน

สิ่งที่เศร้านั้นก็เพราะ นางจะถูกปองร้ายหรือคิดไม่ดีไม่จบสิ้น สิ่งที่สุขนั้นก็เพราะ นางสามารถพบเจอกับโม่ฉีหมิง หากไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง นางก็จะได้อภิเษกกับเขาด้วย

บางทีเขาและนางอาจจะมาเริ่มต้นกันใหม่อีกคร้ง

"องค์หญิงเหอซื่อ ท่านช่วยเร่งมือเข้าหน่อยได้หรือไม่ ทุกคนกำลังรอท่านอยู่ หรือท่านไม่มีบทเพลงดีๆในการแสดง?" เย่เซียวหลัวยิ้มร้าย มองมาที่โล่หวินหลานไม่หยุด

"พระชายาเวินอ๋องคงพูดสิ่งใดผิดไป หม่อมฉันเพียงเห็นว่านักดนตรีกำลังพักดื่มน้ำกันอยู่ พวกเขาคงเหนื่อยกันแล้ว หม่อมฉันเพียงอยากให้เวลาพวกเขาพักดื่มน้ำก็เท่านั้น เพราะอย่างไรเสีย พวกเขาก็เป็นคน ท่านก็คิดเหมือนหม่อมฉันใช่หรือไม่พระชายาเวินอ๋อง" โล่หวินหลานหัวเราะ

สิ่งที่นางพูดนั้น ทุกคำล้วนแต่แทงใจของเย่เซียวหลัว

เย่เซียวหลัวคือคนที่ไม่คิดถึงจิตใจผู้อื่น คิดถึงแต่ตนเอง แต่โล่หวินหลานนั้นคอยเป็นห่วงทุกคน

นางไม่ทำร้ายใคร และไม่ระบายอารมณ์กับบ่าวไพร่ด้วย

"เจ้า เจ้าใส่ความข้า!ทั้งๆที่เจ้าไม่อยากทำการแสดง เจ้าทำการแสดงไม่เป็น!” สีหน้าของเย่เซียวหลัวนั้นเกรี้ยวกราด นางชี้นิ้วมาที่โล่หวินหลาน

โล่หวินหลานปรายตามองนาง แล้วหันไปหานักดนตรี เพื่อสื่อความหมายให้พวกเขาเริ่มเล่นดนตรีได้

นักดนตรีเหล่านั้นรู้สึกซึ้งใจโล่หวินหลานนัก พวกเขารีบดื่มน้ำ แล้วเริ่มบรรเลงเพลง เสียงดนตรีดังขึ้นอย่างครื้นเครงในยามค่ำคืนอีกครั้ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก