ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 247

ตอนที่ 247 ข้อเท้าทั้งสองข้าง

“ฮ่องเต้เจ้าค่ะ คนที่ตกลงบนพื้นหิมะนั้นมีทั้งรุนแรงหรือไม่รุนแรง ถ้าขี่ในเร็วเกินไป ตอนตกอยากท่อนขาอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ถ้าขี่ด้วยความเร็วที่ช้า ตอนที่ตกลงอาจจะบาดเจ็บไม่มาก ยังไงหมอหลวงไม่สามารถรักษาได้ นั่นให้กระหม่อมได้ลองดูได้หรือไม่” โล่หวินหลานพูดขึ้น

ถ้าตามความชำนาญในการวิเคราะห์ของนาง ฮ่องเต้เจียเฉิงน่าจะเชื่อฟังคำพูดของนาง

ไม่เคยคิดเลยว่า ต้วนกุ้ยเฟยก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้น “เจ้าหญิงเหอซื่อเป็นแขกที่มาจากที่แดนไกล จะให้แขกที่มาจากที่อื่นช่วยรักษาพระรัชโอรสได้เยี่ยงไร? ไม่เพียงแต่ไม่สมเหตุสมผล ถ้าพูดออกไปให้ชาวบ้านก็คงอับอายน่าดู ถึงเวลานั้นมันก็คงไม่ง่ายเยี่ยงนี้ ฮ่องเต้ ท่านว่าใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

ฮ่องเต้เจียเฉิงคิดอะไรบางอย่างในใจ ยังไงโล่หวินหลานก็ยังไม่ได้แต่งงานกับรัชโอรสคนไหน แต่กลับเป็นหญิงสาวที่ไปรักษาพระรัขทายาท ก็คงไม่เหมาะสมจริงๆ

ฮองเฮาเย่ส่ายหัวไปด้วยยิ้มไปด้วย บ่าวที่อยู่ข้างๆนางก็ช่วยนางเอาขี้เถ้าจากตะเกียงบนมือออก “ฮ่องเต้เจ้าคะ ชีวิตคนมันสำคัญยิ่งนัก ตอนนี้องค์หญิงเหอซื่อเป็นหมอ ไม่ได้อยู่ในฐานะองค์หญิง อีกอย่างถ้าอ๋องหลัวเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ไม่ใช่ว่าจะทำให้ยิ่งเจ็บปวดใจมากกว่าหรือ?”

ทุกคนต่างก็คิดอะไรไม่เหมือนกัน ฮองเฮาเย่กับต้วนกุ้ยเฟยเหมือนกำลังทำสงคราม ต่างก็พูดอะไรที่ต่างกัน ก็คือจะไม่ยอมให้ฝ่ายตรงข้ามชนะ

สุดท้ายก็ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฮ่องเต้เจียเฉิง คำพูดของเขากับผลที่ได้รับจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

ถึงแม้ทั้งสองจะพูดจนคอแห้งก็ตาม แต่มันก็ไม่มีประโยชน์

รัชโอรสที่อยู่ข้างล่างก็ไม่มีใครเอ่ยปากพูด สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปยังโล่หวินหลาน นึกไม่ถึงจริงๆว่านางมีวิชาการแพทย์

“ฮองเฮาพูดก็ถูก ยังไงมันคือชีวิตของท่านอ๋องหลัว ข้าก็ไม่หวังว่าบุตรของตนจะไม่สมบูรณ์และกลายเป็นคนพิการ องค์หญิงเหอซื่อ นั่นก็ต้องรบกวนเจ้าหน่อยแล้ว” สุดท้ายฮ่องเต้เจียเฉิงก็แพ้ตนเองที่ยังคงรักใคร่อ๋องหลัว

ต้วนกุ้ยเฟยเปลี่ยนสีหน้าทันที สีหน้าที่ดูแย่นั่นหันไปจ้องมองฮองเฮาเย่ ในใจรู้ตัวดีว่าแพ้ให้กับนางแล้ว และรู้สึกไม่พอใจ

เย่เซียวหลัวพยักหน้า และมีบ่าวที่พานางไปที่ห้องของอ๋องหลัว

ห้องของอ๋องหลัวอยู่ห่างจากพระตำหนักหลักไม่ไกลนัก เดินไปสักพัก ผ่านทางแยกทางเดินเล็กๆไม่กี่ทางก็ถึงแล้ว

บ่าวพานางเดินเข้าไปในห้องของอ๋องหลัว หลังฉากกั้นแผงใหญ่มีอ๋องหลัวนอนพิงอยู่ เขาเจ็บจนเกือบจะสลบไปหลายรอบ หมอหลวงที่อยู่ข้างๆก็นั่งอยู่อย่างขี้เกียจ เหมือนมีข้อสรุปแล้ว เลยกำลังรอหมอหลวงหลี่กลับมา

“เหล่าหมอหลวงต่างก็ลำบากเกินไป รบกวนพวกท่านหลีกทางหน่อยเจ้าค่ะ ข้าจะวัดชีพจรให้อ๋องหลัว” โล่หวินหลานเข้าไปในห้อง และยืนอยู่กลางฉากแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงเบาๆ

“เจ้า เจ้าเป็นใคร?” หมอหลวงค่อยๆลุกขึ้นมา หมอหลวงที่อยู่ในนั้นที่ดูจะอายุประมาณวัยกลางคนถามขึ้น

“ข้าคือองค์หญิงแห่งแคว้นเซิ่งโจว และได้รับคำบัญญัติจากฮ่องเต้ให้มารักษาเจ้า ถ้าหมอหลวงทุกท่านไม่มีธุระใดๆ ก็เชิญออกไปก่อน และถอยก่อนเจ้าค่ะ เดี๋ยวมันจะกระทบโดนข้า” โล่หวินหลานพูดขึ้นอย่างไม่เกรงใจ รอยยิ้มของนางดูเย็นชามากๆ

หญิงสาวที่มาจากไหน ทำไมถึงช่างกล้าขนาดนี้?

เหล่าหมอหลวงนั้นต่างก็จับจ้องไปยังโล่หวินหลาน หนึ่งในนั้นก็ถามขึ้นอย่างแปลกใจ “เจ้ามีวิชาทางการแพทย์หรือ? เจ้าบอกว่าฮ่องเต้เป็นคนสั่งเจ้ามาที่นี่ ไหนล่ะพระราชบัญญัติ?”

พวกเขาต่างก็ไม่มีใครเชื่อกันหมด หญิงสาวผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่จะมีความสามารถในการรักษาคนได้เยี่ยงใด

นอกจากตอนนั้นที่มีพระชายาหมิงอ๋องแล้ว พวกเขาไม่เคยเห็นหญิงสาวผู้ใดมีความสามารถที่เหนือกว่าพวกเขาในที่นั่น

ตอนนั้นตอนพระชายาหมิงอ๋องทำให้คนอื่นนับถือจริงๆ แค่เสียดายที่จากไปแต่ยังสาว บนโลกใบนี้คงไม่มีใครที่เก่งขนาดนี้

“ฮ่องเต้บัญญัติด้วยปากเปล่า”

หมอหลวงต่างก็หัวเราะเยาะ “ใช้ปากเปล่าจะมีประโยชน์เยี่ยงไร? สิ่งที่พวกข้าต้องการคือพระราชโองการ ถ้าไม่มี พวกข้าจะไม่ยอม”

พวกเขายืนกอดอกไว้ และจ้องมองโล่หวินหลานไว้ สีหน้าของพวกเขาสื่อให้เห็นว่าไม่เชื่อในคำพูดของนาง

นางเริ่มทำคิ้วตก สีหน้าที่ยิ้มแย้มก็เริ่มหายไป คิ้วของนางขมวดขึ้นเป็นปม ทั้งตัวของนางแข็งและเย็นชาเหมือนหิมะที่หนาวเย็น

“พวกท่านต้องการพระราชโองการใช่หรือไม่?” โล่หวินหลานยิ้มแห้งๆเบาๆ “เชิญพวกท่านกลับไปที่ราชวัง ไปอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ก็ทูลไปเลยว่าเหล่าบรรดาหมอหลวงที่อยู่ในห้องของหลัวอ๋องไม่เชื่อข้า อยากจะทูลขอพระราชโองการจากฮ่องเต้เพื่อให้ข้าได้ทำการรักษา ทูลขอให้ฮ่องเต้เขียนพระราชบัญญัติขึ้นมาใหม่ โปรดจดจำไว้ ว่าต้องทูลทุกคำพูดที่ข้าบอกให้แก่ฮ่องเต้

พอโล่หวินหลานพูดจบ นางก็กระตุกคิ้วขึ้นมองเหล่าหมอหลวง คิ้วของนางเหมือนกำลังยิ้มเยาะเย้ย “พวกท่านพอใจหรือยัง?”

เหล่าหมอหลวงนั้นก็ได้หยุดชะงักและกำลังวัดค่า สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดอะไรใดๆ พอคิดไตร่ตรองดูแล้วค่อยพูดขึ้น “ช้าก่อน ยังไงฮ่องเต้บัญชาให้เจ้ามานี่ นั่นเจ้าก็ไปทำการรักษาเถอะ ถ้ามันเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น พวกข้าจะไม่รับผิดชอบใดๆ”

ลูบหนวดของตนเองเบาๆและจ้องมองไปยังโล่หวินหลาน พวกเขาต่างก็ถอยไปอยู่ข้างๆ ให้นางเข้าไปในฉากกั้นนั่น

หลัวอ๋องที่นอนอยู่ข้างในห่มผ้าบางๆไว้ ถ่านไฟที่อยู่ข้างๆก็พออุ่นพอสมควร ทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยกลิ่นของถ่านไฟ ขาทั้งสองข้างของเขาได้โผล่มาจากข้างนอก และมองออกเลยว่าตำแหน่งของกระดูกบกพร่องไขข้อทั้งสองข้างของเขาพลิกได้รุนแรงมาก

ใบหน้าของเขานั้นขาวซี้ด ไม่มีสีอื่นใดเลย ตาของเขาปิดสนิท ดูออกเลยว่าเขากำลังสลบไป

คนที่มาทำเรื่องแย่ๆและสร้างปัญหาทิ้งไว้แล้วแก้ไม่ได้ ยังจะอยู่ข้างนอกเร่ร่อนไปวันๆอย่างสบายใจ เมื่อครู่ยาที่ใช้ในการรักษาอ๋องหลัวก็กองไว้บนพื้น และยังไม่ได้เก็บกวาด

ตอนนั้นยังมีเย่หวินที่เป็นผู้ช่วยของตนเอง ตอนนี้ไม่มีแล้ว หมิงซีที่อยู่ในวังไม่ได้ออกมา ตอนนี้ก็คงต้องพึ่งตัวเองไปก่อน

พอเก็บของข้างๆเรียบร้อยแล้ว โล่หวินหลานก็หาที่ๆจะใช้งานได้ และเรียกบ่าวที่อยู่ข้างนอกเข้าไปเป็นผู้ช่วยอย่างกะทันหัน

“องค์หญิงเจ้าค่ะ มีอะไรที่จะให้บ่าวช่วยไหมเจ้าคะ?” บ่าวคนนี้ก็ดูฉลาดหลากแหลม

“เจ้าไปทำความสะอาดของที่ไม่ใช่แล้วให้สะอาด และไปยกน้ำร้อนที่สะอาดๆมาหนึ่งกะละมัง และเอาน้ำมาหนึ่งถ้วย และเติมเกลือและน้ำตาลไปอย่าละครึ่งช้อน” โล่หวินหลานสั่งถึง

ถึงแม้บ่าวจะรู้สึกแปลกใจ และไม่ได้จดจำคำพูดที่โล่หวินหลานพูดเลย ไม่พูดอะไรแล้วเดินไปเลย

นึกไม่ถึงเลยว่าเหล่าหมอหลวงจะแอบฟังทั้งสองคุยกันอยู่ข้างนอก จนกว่าบ่าวผู้นั้นจะออกมา พวกเขาได้แต่รีบเดินจากไปแบบเร่งรีบ

พวกหมอหลวงต่างก็ปาดเหงื่อตนเองที่อยู่บนหน้าผาก แล้วมองหน้าซึ่งกันและกัน ไม่รู้ว่าต้องไปแอบดูต่ออีกไหม

“พวกเจ้าว่า องค์หญิงเหอซื่อมีอะไรเก่งนักหนา? ทำไมฮ่องเต้ถึงได้เชื่อใจนางมาก? ยังไม่เคยเจอนางรักษาคนเลย ก็ให้นางมารักษาอ๋องหลัวเลย?” หมอหลวงจับหมวกตรงหัวของตนเอง และค่อยๆลุกขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

“ก็ว่านั่นแหละ พวกข้าก็อยู่สำนักหมอหลวง ทำงานให้ที่นี่มานาน ฮ่องเต้เคยให้โอกาสแบบนี้สักที่ไหน” หมอหลวงอีกคนก็ได้แต่บ่นแล้วไม่พอใจ

พวกเขาค่อยๆลุกขึ้น หลังฉากกั้นมีเสียงที่ฟังดูเย็นชาดังขึ้นมา “หมอหลวงทุกท่าน เรื่องที่ฮ่องเต้ให้หรือไม่ให้โอกาสพวกท่าน พวกท่านไปทูลถามฮ่องเต้ดีกว่า มาอยู่นี่ซุบซิบกันเอง ฮ่องเต้คงไม่ได้ยิน”

พวกหมอหลวงนั่นตกใจจนพูดไม่ออก และเหมือนกำลังจะฉี่แตกแล้วนั่งอยู่ข้างนอก ทั้งตัวของพวกเขาเต็มไปด้วยเหงื่อแห้ง

โล่หวินหลานเดินกลับไปข้างในอีกรอบ ตอนนี้บ่าวกำลังยกน้ำร้อน เกลือและน้ำตาลเข้ามาพอดี

“เจ้าเอาน้ำเกลือและน้ำตาลป้อนให้หลัวอ๋องดื่ม และใช้ผ้าเช็ดหน้าให้เขา” โล่หวินหลานพูดถึง

บ่าวคนนั้นก็เหมือนจะดูแลคนอื่นเก่งมากๆ ตอนนี้พอเจอเรื่องแบบนี้ขึ้นก็ไม่ถามอะไรมาก จับช้อนขึ้นมาตักน้ำเกลือและน้ำตาลเข้าปากของหลัวอ๋องคำแล้วคำเหล่า

แต่หลัวอ๋องก็ยังคงสลบอยู่กินอะไรลงไปไม่ได้ บ่าวผู้นั้นก็คงทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็เหมือนไม่มีประโยชน์

ตาของนางมองน้ำเกลือและน้ำตาลที่ป้อนเข้าไปให้เขา และกลับไหลออกมาจากปากของหลัวอ๋อง นางก็มองมายังโล่หวินหลานอย่างกระวนกระวาย “องค์หญิงเจ้าค่ะ หลัวอ๋องดื่มเข้าไปไม่ได้ ต้องทำเยี่ยงไรดีเจ้าคะ?”

โล่หวินหลานหันหน้ากลับไปมองนางเพียงแว็บเดียว ถ้าไม่ดื่มเข้าไปเยี่ยงนี้ตลอดก็คงไม่เกิดประโยชน์ใดๆ

“เดี๋ยวข้าจะสาธิตวิธีการป้อนให้เจ้าดูว่าป้อนยังไง แล้วเจ้าค่อยป้อนต่อ ตอนที่เจ้าป้อนอย่าใจร้อน ดีที่สุดก็ให้ดูก่อนว่าเขาดื่มเข้าไปหรือยัง อย่าให้เขาต้องลำคอ” โล่หวินหลานจับช้อนขึ้นและตักน้ำเกลือและน้ำตาลเข้าปากเขา

นางยกหัวของหลัวอ๋องตั้งขึ้น 15 องศา และจับแก้มของเขาเบาๆ เพื่อทำให้ปากของเขาอ้าขึ้น น้ำเกลือและน้ำตาลได้กลืนเข้าไปจากปากของเขา แล้วค่อยๆวางลำคอเขาลง ท่าทีที่ชำนาญทำให้บ่าวผู้นั้นรู้สึกน่าทึ่ง

ท่าทีของโล่หวินหลานดูชำนาญและคล่องแคล่วมากๆ ตอนที่นางทำก็ดูมีแรงมาก

“องค์หญิงเก่งมากเลยเจ้าค่ะ บ่าวยังไม่เคยเห็นเลยว่าคนที่ให้ยาจะใช้วิธีแบบนี้ได้” บ่าวผู้นั้นยิ้มแล้วยื่นมือรับน้ำเกลือและน้ำตาลนั้นไว้ นางก็ใช้วิธีที่เมื่อกี้โล่หวินหลานใช้ค่อยๆป้อนให้หลัวอ๋อง

ยังดีที่เมื่อไหร่โล่หวินหลานได้สอนนางแบบตัวต่อตัวเลยทำให้นางมีประสบการณ์หน่อยๆ ไม่งั้นนางคงไม่รู้จริงๆเลยว่าจะป้อนเยี่ยงไร

ถึงแม้ท่าทีของนางจะดูแปลกๆ แต่ก็สามารถป้อนน้ำเกลือและน้ำตาลเข้าไปได้เยอะ

“นี่เป็นแค่วิธีที่รักษาโรคแบบธรรมดาเท่าไหร่ ไม่ถือว่าเก่งหรอก” โล่หวินหลานยิ้มออกมา

บ่าวผู้นั้นยิ้มกลับ “แต่ว่าในวังไม่มีหมอหลวงผู้ใดใช้วิธีเยี่ยงนี้!”

ขาของหลัวอ๋องได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัส แต่ว่าไม่ถึงกับขาหัก ต้องรอเวลาในการเยียวยารักษาไปสักระยะ

โล่หวินหลานมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการศัลยกรรมภายนอกมาก นางเคยเรียนเกี่ยวกับการแพทย์ทางกระดูก ถึงแม้จะไม่ค่อยเก่งนัก อีกอย่างยาที่แต่ก่อนนางใช้ก็เก็บไว้ตรงพระตำหนักหมิงอ๋อง ถ้าไปเอาตอนนี้ ก็คงจะเผยตัวตนของตนเองออกมา?

นางมองความผิดปกติของกระดูกโดยรวม อย่างแรกที่ต้องทำคือจัดกระดูกที่เคลื่อนไปของหลัวอ๋องกลายเป็นเหมือนเดิม นางมีความรู้นิดหน่อยเกี่ยวกับการต่อกระดูก อีกอย่างแรงของนางไม่เยอะ ต่อได้อาจจะไม่ค่อยตรง ยากที่จะเอากระดูกของหลัวหมิงมาต่อกันอย่างแม่นยำ

ถ้าต่อได้ไม่ดี หลัวอ๋องก็คงต้องรับบาดเจ็บไปอีกรอบ

เรื่องพวกนี้ที่สำคัญที่สุดคือคนที่ได้วิชาการต่อสู้มาทำก็คงดี โล่หวินหลานคิดไปสักพัก คนที่อยู่ข้างนอก มาใครบ้างที่นางสามารถเชื่อได้

คิดไปสักพัก ในหัวสมองก็น่าจะมีชื่อคนที่สามารถใช้การได้แล้ว

ปกติคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลัวอ๋องก็คงไม่เยอะ แต่ว่าขาหลัวอ๋องเกิดปัญหาขึ้นมา คนที่ได้รับผลกระทบที่สุดคือผู้ใด โล่หวินหลานย้อนความจำของตนเอง ในหัวสมองคัดกรองมาคนต่อคน สุดท้ายก็เหลือแค่คนเดียว

“เจ้าไปเชิญหมิงอ๋องมานี่ ก็บอกเขาว่าในตัวของหมิงอ๋องมียาชนิดหนึ่งที่ต้องการมากๆ เลยอยากขอยืมไปสักพัก อย่างอื่นไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ถึงแม้ฮ่องเต้ถามขึ้น เจ้าแค่บอกว่าเจ้าไม่รู้เรื่องนี้ จำไว้ว่าต้องหาหมิงอ๋องมาให้ได้” โล่หวินหลานขมวดคิ้วขึ้นแล้วจ้องบ่าวที่อยู่ข้างๆ

บ่าวผู้นี้เป็นคนที่คอยรับใช้หลัวอ๋อง น่าจะไม่สงสัยในคำพูดของนางหรอก ขอแค่มีคนสามารถช่วยชีวิตของนายท่านก็พอ

“รับทราบเจ้าค่ะ บ่าวไปเดี๋ยวนี้เจ้าคะ” สีหน้าของบ่าวไม่มีแม้แต่จะตกใจ นางเช็ดมือโดยเร็วแล้วค่อยๆวิ่งออกไป

ถ่านในห้องเผิดเผาได้อีกมาก โล่หวินหลานใช้สายตาที่เย็นชามองกระดูกที่พลิกไป ตำแหน่งที่กระดูกอยู่ผิดทำให้นางดูแปลกตามากๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก