ตอนที่ 278 ส่งข่าว
โรงน้ำชาแห่งหนึ่งใน เมืองหลวง ที่นั่งที่หนึ่งที่ใกล้หน้าต่าง มีผู้ชายเอามือเท้าหัวนั่งจิบชา และกำลังนั่งอยู่กันอย่างไม่สนใจใคร
“พวกเจ้าได้ข่าวมาบ้างหรือยัง? เดือนก่อนองค์หญิงเหอซื่อที่เข้ามาในเมืองเพื่อสมรสสานพันธไมตรี จู่ๆก็มีโดนคนฆ่าตาย ตอนนี้ศพยังอยู่ในวัง” ทันใดนั้น ชายผู้เสียงแหบได้เอ่ยปากขึ้นข้างๆโต๊ะ
เหล่าบรรดาคนที่อยู่นั่นกลับตกใจ เสียงของเขามีอิทธิพลจนทุกคนต้องเงียบ
“องค์หญิงเหอซื่ออยู่ในวังมานาน ในวังที่ไหนเป็นที่ไหนนางรู้หมด องค์หญิงเหอซื่อเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นเซิ่งโจว มีใครกล้าฆ่านางหรือ?” มีเสียงของอีกคนดังขึ้นอย่างสงสัย และยิ้มแห้งๆเหมือนไม่เชื่อ
ทุกอย่างต่างก็พูดคุยกันวุ่นวายเสียงดังกันขึ้นมา
นี่สำหรับพวกเขาแล้ว อาจจะเป็นเรื่องที่เหมือนระเบิด ถ้าเป็นคนธรรมดาถูกฆ่า ทุกคนก็แค่ตกใจแล้วเดี๋ยวมันก็ผ่านไป
แต่ว่านี่เป็นองค์หญิงเหอซื่อที่มาจากเมืองอื่น การตายของนางมันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของทั้งสองแคว้น ทีแรกนางมาที่นี่เพื่อสมรสและหาผลประโยชน์ แต่สุดท้ายกลับมาเสียชีวิตต่างถิ่น ทั้งสองแคว้นคงหลีกเลี่ยงการสู้รบกันไม่ได้
สุดท้ายคนที่ทนทุกข์ทรมานที่สุดก็คือประชากร
“นี่ข้าก็ไม่เชื่อเหมือนกัน ถ้าในวังยังมีคนเข้าไปลอบทำร้ายและวางแผนฆ่าคน แล้วฮ่องเต้ต้องทำเยี่ยงไร? นี่มันจะเป็นเรื่องที่ทุกคนจะกลัวหรือไม่?” มีเสียงอีกคนหนึ่งดังขึ้น
ชายผู้นั้นเห็นว่าไม่มีคนเชื่อ ได้แต่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน มือของเขาได้โบกไปโบกมา และตะโกนพูดขึ้นเสียงดัง “พวกเจ้าเงียบก่อน ฟังข้าพูด ข้ามีน้องคนหนึ่งเป็นทหารในวัง เพราะว่าองค์หญิงเหอซื่อมาหาคู่สมรส ดังนั้นเลยได้พักอยู่ที่ดงหัวเยี้ยน ก็คือที่พักขององค์หญิงเหอซื่อและเป็นที่ๆสามารถคุ้มครองนางให้ปลอดภัยได้ เขาไปเฝ้าอยู่หน้าดงหัวเยี้ยนทุกวัน ในนั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็ต้องรู้หมด ครั้งนี้ถือโอกาสที่ได้กลับบ้าน เลยพูดเรื่องนี้ออกมา
ที่แท้ก็มีญาติเป็นทหารอยู่ในวังนี่เอง ฟังเขาพูดแบบนี้แล้ว ความน่าเชื่อถือเป็นการเพิ่มขึ้นหน่อยๆ
แต่ว่าก็ยังคนที่ไม่เชื่อ “งั้นเจ้าลองพูดมาสิว่าองค์หญิงเหอซื่อตายอย่างไร? ยังไงน้องเจ้าก็เป็นทหารที่คุ้มครองดงหัวเยี้ยน ทำไมไม่ปกป้องนางไว้? ถึงให้คนอื่นเข้าไปแอบทำร้ายนางได้?“
พอพูดถึงคำๆนี้ ดูท่ามันก็มีเหตุผลเช่นกัน เวลานี้บรรดาผู้คนต่างก็กวาดสายตาไปมองชายผู้ที่กำลังยืนพูด
ชายผู้นั้นส่ายหัวอย่างทนไม่ไหว “พวกเจ้าฟังข้า ได้ยินมาว่ามีคนๆหนึ่งที่มียศศักดิ์สูงเข้าไปดงหัวเยี้ยน บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับองค์หญิงเหอซื่อ น้องข้าเลยให้นางเข้าไป หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนขึ้นเบาๆ เขาก็ไม่ได้เข้าไป แต่หลังจากนั้น คนๆนั้นเดินออกมาแล้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก และกระโปรงของนางมีสีแดงอะไรติดอยู่อย่างน่าสงสัย ตอนนั้นน้องข้าไม่ได้คิดเยอะ ผ่านไปสักพักก็มีเรื่องกรี๊ดตกใจดังขึ้น น้องข้าถึงจะเข้าไปดู บนพื้นหิมะที่เต็มไปด้วยคราบเลือด!เลือดอันแดงสดได้ทิ้งไว้ที่นั่น ทุกคนต่างก็รู้สึกกลัว พวกเจ้าคงไม่เคยเห็นเลือดที่เยอะเยี่ยงนี้
ชายผู้นั้นเล่าได้อารมณ์มากๆ พูดถึงตอนสุดท้าย ใบหน้าของเขากลับดูตกใจและรู้สึกกลัว เสียงของเขาค่อยๆแหลมขึ้น
ทุกคนต่างรู้สึกตกใจเพราะเสียงของเขา และไม่มีใครกล้าพูดเลย
บรรยากาศในโรงน้ำชาเงียบสงบไปสักพัก มีคนๆหนึ่งหายใจเข้าลึกๆและถามขึ้น “นั่น ต่อมาล่ะ?”
“หลังจากนั้น น้องข้าถูกย้ายไปที่อื่น แต่เรื่องที่เกิดขึ้นทีหลังข้าได้ไปสืบมาเล็กน้อย เมื่อกี้ก็พูดแล้วว่าองค์หญิงเหอซื่อสูญเลือดจนตาย ตอนที่นางตาย นัยน์ตาของนางลืมไว้โตๆ ตายตาไม่หลับเลยอะ!ในวังได้เอาข่าวนี้เปล่าประกาศไปแล้ว คิดว่าเรื่องต่อไปที่จะเกิดก็คือทั้งสองแคว้นจะอยู่กันสงบสุขได้เยี่ยงไร” พูดถึงตอนสุดท้าย คนๆนั้นถอนหายใจเบาๆ สายตาของเขาค่อยๆมองไปยังโต๊ะๆนั้น แล้วรีบกวาดสายตาไปมองที่อื่น
“คิดว่าเมื่อไหร่ทางแคว้นเซิ่งโจวจะได้รับข่าวสาร?” ความตั้งใจของทุกคนได้เปลี่ยนไปสนใจเกี่ยวกับการสู้กันของทั้งสองแคว้น และลืมเรื่องที่องค์หญิงเหอซื่อจากตายไป
“นี่หรือ ถ้าใช้ม้าด้วยความเร็วสูงส่งไปให้เขา น่าจะประมาณ 1 เดือน” คนๆนั้นจิบชาไปแล้วพูดขึ้น
อารมณ์ของทุกคนเปลี่ยนไปตามเขา จริงๆเป็นเช้าวันรุ่งขึ้นที่เงียบสงบ แต่กลับทำให้คนอื่นรู้สึกใจไม่ดี
เขาเงยหน้ามองไปที่นั่งตรงหน้าต่าง คนที่นั่งอยู่ที่นั่นหายไปแล้ว คิดว่าเขาน่าจะไปรายงานข่าวแล้ว
เขากระตุกมุมปากขึ้นเผยยิ้มเล็กน้อย และเขาก็นั่งลง เอามือพิงหน้าต่างไว้ แล้วมองท่าทางของสองคนนั้นรีบวิ่งกลับไป
เมื่อครู่ยังคุยเรื่องใหญ่ของประเทศชาติอย่างวุ่นวาย ตอนนี้ได้หยุดลงแล้ว กำลังรอคอยคำสั่งจากคนๆนั้น
“ใต้เท้าเย่ สองคนนั้นไปแล้วขอรับ พวกข้าก็ควรกลับหรือเยี่ยงไรขอรับ” ชายผู้หนึ่งทำท่าทางคารวะถามขึ้น
ชายที่เอามือพิงไว้กับหน้าต่างเย่เฟิงได้เอามือของตนเองดึงหนวดตนเองออก ชายผู้นี้กลับเป็นวีรบุรุษที่เป็นทหารลับของโม่ฉีหมิง
สองคนที่วิ่งอยู่ข้างล่างยิ่งวิ่งยิ่งไกล เขาก็หันหลังไปแล้วพูดขึ้น “กลับ”
ในดงหัวเยี้ยนได้เก็บกวาดห้องว่างให้หมิงซีทำหน้ากากหนังคนโดยเฉพาะ อาลั่วหลานอยู่ข้างๆเขา ยังคงดูแลเขา เตรียมอาหารให้ครบสามมื้อ และไม่จากไปไหน
แสงอาทิตย์อ่อนๆสอดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างจากข้างห้อง
เขายื่นมือไปเอาภาพวาดของโล่หวินหลานมา ที่แท้ แต่ก่อนนางมีหน้าตาเยี่ยงนี้ ตอนนี้ทั้งสองไม่เหมือนกันเลยสักนิด
แต่ก่อนดวงตาของนางเป็นรูปทรงโค้งดั่งดวงจันทร์ครึ่งซีก ดวงตาอ่อนหวานเหมือนกำลังยิ้มตลอดเวลา แค่มองตาของนางก็รู้เลยว่านางเป็นหญิงสาวที่บริสุทธิ์ ทำให้คนอื่นเอ็นดู แต่นางในวันนี้ ถึงแม้ลักษณะตาไม่เปลี่ยน แต่ว่านัยน์ตาไม่ได้ใสซื่อบริสุทธิ์เหมือนเก่า แต่กลายเป็นดวงตาที่สวยและน่าดึงดูดน่าค้นหาขึ้น
“ที่แท้นี่คือเสี่ยวฮัวตอนเมื่อก่อน ไม่ได้สวยเหมือนตอนนี้ แต่ก่อนดูเด็กเกินไป” อาลั่วหลันแย่งภาพวาดนั้นจากมือของหมิงซี และจับไว้ดูแล้วดูอีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก