ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 279

ตอนที่ 279 ทายาให้อย่างประณีต

สีหน้าของโล่หวินหลานค่อยๆซี้ดลงเรื่อยๆ สายตาของนางไม่ได้มองหน้าท้องของตนเอง แต่กลับมองไปที่อื่น รอให้แผลของนางได้ถ่ายเทอากาศอย่างเต็มที่ นางถึงจะเริ่มทายา

แต่ว่าประตูข้างนอกถูกผลักออก และปิดลงโดยเร็ว

อาลั่วหลันลุกขึ้นมาทันที ใครเปิดประตูเข้ามาไม่เคาะประตูก่อน?

ยังพูดไม่จบ คนๆนั้นกลับเดินอ้อมฉากกั้นเดินเข้ามา

อาลั่วหลานเคยเห็นเขา ไม่กี่วันก่อนตอนที่โล่หวินหลานอาการหนักเขาเคยมา อีกอย่างไม่เห็นผู้ใดไล่เขากลับมาเลยสักครั้ง เขาน่าจะเป็นองค์ชายที่มีตำแหน่งสูงส่ง

“หมิงอ๋อง ท่านเข้ามาทำไมถึงไม่เคาะประตู?” อาลั่วหลานยืนขึ้นโดยเร็ว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย

โม่ฉีหมิงไม่ได้มองนาง ดวงตาอันเรียวยาวมองไปยังหน้าท้องของโล่หวินหลาน บาดเจ็บบนหน้าท้องนั้นบาดใจเขามากๆ ไม่มีใครบาดเจ็บแล้วทำให้เขาเจ็บปวดใจขนาดนี้ แต่พอเห็นบาดแผลของนาง กลับเจ็บปวดยิ่งกว่าตนถูกทำร้ายเป็นร้อยเท่า

“ออกไป” โม่ฉีหมิงปริตามอง ใบหน้าของเขาไม่สบอารมณ์ใดๆ

อาลั่วหลันรู้สึกตกใจเบาๆ ในห้องดูๆแล้วมีแค่สามคน เสี่ยวฮัวกำลังป่วยอยู่ ขยับยังขยับไม่ได้เลย หรือว่าคนที่เขาเรียกให้ออกไปคือตนเอง?

“ท่าน ท่านเรียกข้าออกไปใช่หรือไม่?” อาลั่วหลานชี้ตนเอง และรู้สึกไม่ค่อยอยากเชื่อถึงถามขึ้น

ครั้งนี้สายตาของโม่ฉีหมิงหยุดอยู่บนตัวนาง ดวงตาอันเรียวยาวของเขาดูเลือดเย็นมาก

“ออกไป” เขาขยับริมฝีปากแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง

บรรยากาศภายในห้องยิ่งอยู่ก็ยิ่งหนาวเย็น อาลั่นหลันไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ชายคนนั้นที่อยู่ตรงหน้ามีอิทธิพลมาก ขนาดปริตามองคนอื่น ยังรู้สึกได้ถึงความน่ากลัว

สายตาของนางมองไปที่โล่หวินหลาน เหมือนกำลังจะถามความคิดเห็นของนาง

พอโล่หวินหลานพยักหน้า อาลั่วหลันเดินออกมาอย่างไม่ลังเล

พวกเขาสองคนเป็นอะไรกันแน่ ทำไมไม่ว่าองค์ชายท่านนี้จะทำเยี่ยงไรก็เป็นเรื่องปกติไปหมด พอมาใกล้ชิดกับเสี่ยวฮัวเยี่ยงนี้นางยังไม่ต่อต้านนั่นหรือ? แต่ทำไมดูๆไปกลับมีความรู้สึกว่าพวกเขาเหมาะสมกัน?

ร่างกายของโม่ฉีหมิงแข็งกระด้างไปหมด มองหน้าท้องของโล่หวินหลาน เขาไม่รู้ว่านางได้รับบาดเจ็บมาเยอะขนาดไหน แยกจากกันนานเยี่ยงนี้ เขาไม่ได้ปกป้องนางดีๆ ขนาดนี้นางอยู่ต่อหน้าแล้ว เขายังไม่สามารถปกป้องนางได้ นี่แหละเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดที่สุด

เขาอยาก และยิ่งอยากจะเจ็บแทนโล่หวินหลาน

เห็นเขาค่อยๆเดินมาทีละก้าว โล่หวินหลานตั้งใจบังแผลบนหน้าท้องของตนเองบ้าง แต่มือคู่นั้นกลับถูกเอาออกโดยเร็ว

“อย่าบัง ให้ข้าดูดีๆหน่อย” เสียงของโม่ฉีหมิงแหบเล็กน้อย นัยน์ตาของเขาเหมือนไม่กล้าเข้าใกล้ และเต็มไปด้วยความโกรธเคืองและความเกลียดชัง

สายตาของเขาจดจ่อกับหน้าท้องของโล่หวินหลานไว้นาน นานจนนางรู้สึกอาย

ผ่านไปสักพัก เขาถอนหายใจและพูดขึ้น “ข้ายังคงไม่ได้ปกป้องนางดีๆ”

สายตาที่เปล่งประกายออกมานั้นนางยังไม่เคยได้เห็น ขนาดตอนที่นางเป็นโล่หวินหลาน ยังไม่เคยเห็นสายตาเยี่ยงนี้

ใจของโล่หวินหลานตื่นเต้นขึ้นมาทันที จนลืมความเจ็บปวดของหน้าท้อง

“นี่ท่านอ๋องพูดอะไรอยู่เจ้าค่ะ? เกิดมาเป็นคน เจอโรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องธรรมดา แผลแค่นี้สำหรับข้าแล้วไม่ถือว่าเป็นอะไรเลย” โล่หวินหลานอมยิ้มขึ้นมา

จู่ๆโม่ฉีหมิงเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าของทั้งสองคนห่างกันไม่กี่เซ็น ทั้งสองหายใจแรงขึ้น โล่หวินหลานเลยรีบถอยห่างออกมา และกลับดึงโดนแผลของตนเอง เลยต้องหายใจลึกๆเพื่อกั้นความเจ็บปวด

“เจ็บหรือไม่? พิงไว้ อย่าขยับ” โม่ฉีหมิงพยุงนางนั่งลงดีๆ และไม่พูดคำพูดเมื่อครู่อีก

เพราะว่ามือใหญ่ๆของนางพยุงตัวนางพิงลงไปกับหมอน โล่หวินหลานแค่รู้สึกว่าหน้าท้องของตนหดตัวลง

“ผ่อนคลาย อย่าขยับ ข้าจะทำแผลทายาให้เจ้าเอง” โม่ฉีหมิงปรับท่านั่งของนางดีๆ แล้วเอายาสองขวดที่วางอยู่ข้างๆ

เขาเปิดขวดที่มีสีที่แตกต่างกันขึ้น สียาที่เป็นผงในนั้นก็แตกต่างกัน แต่ว่าสรรพคุณก็คล้ายๆกัน

แต่ก่อนโม่ฉีหมิงก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยได้รับบาดเจ็บ ยาสองตัวนี้ที่เข้าได้ใช้บ่อยที่สุด ถึงแม้แผลจะหายเร็ว แต่ก็ทิ้งร่องรอยไว้

“ทำไมเจ้าถึงมาเวลานี้ล่ะ?” อีกอย่างได้แค่พอดีกับเวลาที่นางจะทำแผล

โม่ฉีหมิงยื่นมือเข้าไปจับหัวของนาง และพูดด้วยความเย็นชา “อย่าคิดมาก ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแผลของเจ้า”

มองแผลที่ดูน่ากลัวนั่น ปกติโม่ฉีหมิงจับดาบจับมือก็มีมือสั่นบ้าง แต่ตอนนี้พอเขาจับขวดยาขึ้นยิ่งทำให้มือเขาสั่นกว่าปกติ

“อดทนหน่อย อาจจะเจ็บหน่อยๆ” โม่ฉีหมิงเงยหน้ามองโล่หวินหลานแว็บหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งก็พยุงหัวของนางไว้ มืออีกข้างก็โลยยาลงไปบนแผลอย่างระมัดระวัง

มือของเขานิ่งและมีสมาธิมาก โล่หวินหลานไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด มืออันเร่าร้อนของเขาได้ลูบไล่บนหน้าผากของนาง นางรู้สึกและสัมผัสได้ผิวของเขา เหมือนทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น

สุดท้าย โม่ฉีหมิงทำแผลของนางและพันแผลให้นางใหม่ ผ้าก๊อซพันรอบเอวของนาง และรัดให้แน่นพอสมควร

“เสร็จแล้ว นอนลงเถอะ” โม่ฉีหมิงพยุงร่างของนางลง และค่อยๆให้นางนอนลงไป

กลิ่นหอมของดอกมะลิรอบๆห้องทำให้จิตใจของคนเรานิ่งสงบ นัยน์ตาของโม่ฉีหมิงสื่อถึงความพยายามนิ่งสงบลง

“ทำไมช่วงนี้ไม่เจอไซ่เย่วเลยล่ะ?” ฝ่ามือของโล่หวินหลานวางทับกันอย่างนิ่ง สายตาของนางจับจ้องที่ยังหัวเตียง

ช่วงนี้ไซ่เย่วเหมือนหายไปกับอากาศ โล่หวินหลานไม่เห็นแม้แต่เงาของนาง นางก็ไม่ได้ปรากฎ คนในวังก็เหมือนไม่ค่อยตกใจที่นางหายตัวไป และทำเหมือนนางยังอยู่

โม่ฉีหมิงทำสีหน้ายิ่งแย่มากขึ้น ริมฝีเท้าบางๆของเขาขยับขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงฟังดูเย็นชา “ถ้าทำความผิด ก็ต้องได้รับโทษ ช่วงนี้นางจะไม่มาดูแลเจ้า เดี๋ยวข้าจะสั่งบ่าวคนนั้นมารับใช้เจ้าเอง”

ทำความผิด? หรือว่าเป็นเพราะเรื่องที่นางได้รับบาดเจ็บ?

โล่หวินหลานรู้ว่าโม่ฉีหมิงตั้งกฎไว้กับพวกบ่าวที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา เป็นกฎที่เคร่งครัดมาก นี่คิดว่าไซ่เย่วคงถูกส่งตัวไปลงโทษที่ไหนสักที่ที่น่ากลัว

พูดเสร็จแล้ว เพราะว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บ ทำให้คนมากมายต้องลำบาก จริงๆมันไม่สมควรเลยสักนิด

“ไซ่เย่วเป็นบ่าวที่ดี ปกติเป็นคนไม่พูดมาก นางเฉลียวฉลาด ไม่มีพิษมีภัย ที่สำคัญคือต่างจากบ่าวคนอื่น ข้ากับนางยังมีอะไรต้องคุยกันอีก” โล่หวินหลานทำเสียงที่ฟังดูอ่อนแอและไม่มีแรง แต่นางก็รวบรวมกำลังของตนเองพูดขึ้น

ผ่านไปสักพัก โม่ฉีหมิงไม่ได้พูดอะไรใดๆ และนิ่งไปสักพักถึงจะตอบคำว่า “อืม” คำเดียว

และนี่ก็คือความเงียบที่ไม่มีเสียงใดๆ แต่ไม่รู้สึกอึดอัด โล่หวินหลานกลับรู้สึกบรรยากาศที่เงียบสงบหลังเที่ยงนี่เหมาะกับการนอนจริงๆ

เขานั่งอยู่ข้างๆ และมองโล่หวินหลานอยู่ นางนอนอยู่ นัยน์ตาของนางรื้อฟื้นถึงเรื่องเก่าๆที่เกิดขึ้น แต่ก่อน เขาก็มักจะนั่งดูนางเยี่ยงนี้ ผ่านไปพริบตา เวลาช่วงบ่ายก็ได้ผ่านพ้นไป

นี่เป็นความรู้สึกที่คุ้นเคย มันไม่ได้เกิดขึ้นนานแล้ว เรื่องราวเก่าๆนั้นโผล่ขึ้นในใจของนางอีกครั้ง คนเก่าๆไม่อยู่ในฝัน ไม่ได้อยู่ในความทรงจำ แต่อยู่ตรงหน้าของนาง

นางได้สัมผัสถึงเขาอย่างแท้จริงๆ แต่ว่านางไม่สามารถเปิดเผยความจริงกับเขาได้ เพราะว่าในใจของตนเองยังคงคำนึงถึงสิ่งๆหนึ่ง

“ข้าได้ส่งคนไปส่งข่าวให้เย่เซียวหลัวแล้ว วันนี้ช่วงเช้า บ่าวของนางสองคนได้มาถึงโรงน้ำชาของข้า คนของข้าพูดทุกอย่างตามที่เจ้าพูด บอกให้พวกเขาทั้งสองฟังโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำๆเดียว ตอนนี้น่าจะรายงานเย่เซียวหลัวแล้ว” โม่ฉีหมิงเข้าวังครั้งนี้ เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องนี้

เขารู้สึกเรื่องมันไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเยี่ยงนั้น อยากจะสู้กับเย่เซียวหลัว เขามีวิธีเป็นร้อยๆวิธี ตาย เป็นวิธีที่สบายและง่ายที่สุด

แต่ว่าโล่หวินหลานอยากจะใช้วิธีของตนเองสู้กับเย่เซียวหลัว และเป็นวิธีที่โง่เขลาที่สุด

สายตาของโล่หวินหลานเปล่งประกายขึ้นสื่อให้เห็นว่ามันน่าทึ่ง นางรู้โม่ฉีหมิงสามารถทำเรื่องนี้ให้สำเร็จได้ แต่นึกไม่ถึงว่ามันจะเร็วเยี่ยงนี้

“ขอบคุณเจ้ามากๆ” ริมฝีปากของนางขยับขึ้นอย่างควบคุมปากไม่ได้ คำพูดที่พูดได้ก็มีแค่คำนี้คำเดียว นางไม่รู้ว่าจะสามารถใช้วิธีอะไรในการสื่อความในใจของตนเอง

“ไม่ต้องพูดคำว่าขอบคุณหรอก ถ้าจะขอบคุณข้า บอกข้าดีกว่าว่าทำไมถึงต้องทำเยี่ยงนี้” สายตาคมๆของเขาสบตากับนาง บรรยากาศในห้องที่เต็มไปด้วยความมืดทำให้รู้สึกสลดใจ

ที่แท้เขาอยากจะพูดคำๆนี้นี่เอง โล่หวินหลานทำคิ้วตก ไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง

“ตอนนี้ยังบอกเจ้าไม่ได้ รอให้ข้าทำเรื่องทุกอย่างให้สำเร็จก่อน และจะบอกความจริงกับเจ้า” เรื่องนี้มีคนและเรื่องอื่นๆมามัวพันกันมากมาย ถ้านางพูดไปแล้ว กลัวว่ามันจะไม่ง่ายเยี่ยงนี้

รอให้นางประสบเรื่องราวในใจก่อน จะพิสูจน์สิ่งที่ตนเองคาดเดาและไขข้อสงสัยต่างๆ และรวบรวมความจริงของเรื่องราวต่างๆเสร็จ แล้วค่อยบอกทุกอย่างกับเขา

โม่ฉีหมิงคิดอยู่แล้วว่านางต้องพูดเยี่ยงนี้ แต่การคาดเดาครั้งนี้ของเขาก็ทำให้เขารู้สึกจิตตก

“ข้าก็ไม่อยากไตร่ถาม รอให้เจ้าอยากพูดเมื่อไหร่ ค่อยบอกข้า” โม่ฉีหมิงยื่นมือไปห่มผ้าให้นางดีๆ และมองนางค่อยๆหลับไป

ความเงียบสงบของเวลาหลังเที่ยงนี่มันสงบจนคาดคิดไม่ถึง โม่ฉีหมิงนั่งอยู่ข้างๆ คอยมองหน้าตาตอนหลับของนาง นี่เป็นสิ่งที่เขาเคยเพ้อฝัน วันนี้มันเกิดขึ้นจริง ทำให้เขาไม่อยากเชื่อเลย

แต่มันก็เกิดขึ้นจริงๆต่อหน้าเขานี่เลย

ทางนี้ถึงแม้จะเงียบสงบไป แต่อีกด้านหนึ่งกลับตกอยู่ในสถานการณ์ที่วุ่นวาย

มุมตะวันออกเฉียงเหนือของตำหนักเวินอ๋อง กำลังเกิดเรื่องวุ่นวาย

เย่เซียวหลัวไม่รู้จะทำสีหน้าอะไร ไม่รู้ว่าจะกลัว ตกใจ สงสัย หรือกระวลกระวายดี จริงๆนางไม่รู้ว่าเรื่องมันจะเป็นเยี่ยงนี้

วันนี้ นางแค่โกรธเกินไปจนทำให้นางชักมีดออกมาบาดหน้าท้องของนาง นางไม่รู้เหมือนกันว่าใช้แรงมากแค่ไหน ทำไม ทำไมถึงตายไปได้?

มีชีวิตหนึ่งอีกแล้วที่นางทำร้ายกับมือเอง เลือดยังติดเต็มมือของนางอยู่เลย

“นี่พวกเจ้าได้ยินคือเรื่องจริงหรือ? ฟังผิดหรือเปล่า?” น้ำเสียงของเย่เซียวหลัวเหมือนไม่อยากเชื่อ และถามทั้งสองคนนั้นอีกครั้ง

“เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจนไมรู้จะจริงเยี่ยงไรขอรับ วันนี้คอนเข้าพวกบ่าวไปสืบข่าวมาจากโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง ในนั้นมีคนๆหนึ่งมีน้องที่เป็นเฝ้าประตูดงหัวเยี้ยน เขาเล่าเรื่องทุกอย่างอย่างชัดเจน ดังนั้นพวกบ่าวจึงจะกล้าบอกทุกอย่างให้กับพระชายา ถ้าไม่ใช่เรื่องจริง ใครจะบังอาจพูดโกหกหรือ?” คนๆนั้นก้มหน้าลง และตอบกัลบอย่างมั่นใจ

แสงไฟที่กระทบเข้ามาในห้องนั้นมืดมัว ในห้องไม่ได้จุดไฟ มีแค่แสงอาทิตย์ยามบ่ายที่สอดส่องเข้ามา

คนที่คุกเข่าอยู่ข้างล่างไม่กล้ามองสีหน้าของเย่เซียวหลัวเลย พวกเขาไม่กล้าพูดอะไร เลยไม่กล้ามองหน้านาง

เย่เซียวหลัวนั่งลงตรงเก้าอี้ที่อยู่หลังนางอย่างหมดแรง สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล และทำสายตาเหม่อลอย

“นี่เขาตายได้เยี่ยงไร?”

คนข้างล่างสบตากัน มีคนๆหนึ่งพูดขึ้น “ทูลพระชายา เพราะว่าเลือดหลั่งเยอะเกินจนตาย ตอนนั้นบนพื้นหิมะเต็มไปด้วยเลือด และก็ไม่มีคนช่วย คิดว่าเป็นเยี่ยงนี้……”

พูดถึงเยี่ยงนี้ คนๆนั้นกลับมีภาพสถานการณ์นั้นโผล่ขึ้นมาในหัว กลับทำให้นางรู้สึกอยากอ้วกขึ้นมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก