ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 286

ตอนที่ 286 ทันใดนั้นเอง

สีหน้าของเย่เซียวหลัวเปลี่ยนไป นางรีบวิ่งออกไปด้านนอก เพื่อที่จะดูว่าใครหน้าไหนกันที่มาพูดให้นางเสียๆหายๆ แต่กลับถูกเวินอ๋องหยุดเอาไว้

"เจ้ากลับมาก่อน เรื่องนี้ข้าจะสืบให้แน่ชัด หากเรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าพูดนั้น แต่กลับเป็นว่าเจ้าปิดบังบางอย่างกับข้าไว้ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่" เวินอ๋องพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกับเย่เซียวหลัว

หากจะพูดถึงเรื่องเมื่อคืนนั้น มีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หากเวินอ๋องไปสืบนั้น ไม่แน่อาจจะสืบพบบางอย่างและเรื่องที่เกี่ยวข้องด้วย ถึงเวลานั้น.....

เย่เซียวหลัวไม่เหงื่อไหลเต็มตัว แต่นางก็ไม่อาจทำอะไรได้

ชาวบ้านที่อยู่ด้านนอกนั้นลือกันสนั่น เรื่องนี้ไม่ว่าจะปิดอย่างไรก็ไม่อาจปิดได้ ต้องไปถึงหูฮ่องเต้เจียเฉิงเป็นแน่แท้ ซึ่งฮ่องเต้คงจะกริ้วมากเช่นกัน

อีกอย่างคงต้องบีบบังคับนางให้พูดเรื่องเมื่อคืนออกมาแน่ นางไม่กลัวหรอกหากเวินอ๋องจะไปสืบเรื่องนี้ แต่หากเป็นฮ่องเต้ไปสืบเรื่องนี้นั้น ความจริงต้องถูกเปิดเผยสักวันแน่

ถึงเวลานั้น ตำหนักเวินอ๋องก็จะซวยไปกับนาง

"เวินอ๋องเพคะ ทุกอย่างเป็นไปตามที่หม่อมฉันพูดเพคะ หม่อมฉันไม่ได้โกหกแม้แต่คำเดียว ชาวบ้านพวกนั้นล้วนไม่รู้ความจริง พวกเขาใส่สีตีไข่กันให้สนุก หากฮ่องเต้ทราบเรื่องนี้เข้าคงไม่ดีแน่" เย่เซียวหลัวบอกกับเขา

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้น มีเพียงนางคนเดียวที่รู้ความจริง แต่ชาวบ้านพวกนั้นกลับทำให้เป็นเรื่องใหญ่ พวกเขาพูดกันเป็นทอดๆจนไม่เหลือเค้าความจริง หากฮ่องเต้ทราบเรื่องเข้า คงต้องสงสัยเป็นแน่

สีหน้าของเวินอ๋องนิ่งไป ร่างใหญ่เดินมาหานาง เขาใช้มือข้างเดียวจับที่คางของนางเอาไว้

"เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?" เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เย่เซียวหลัวสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขากัดฟันเอาไว้ ไม่พูดสักคำ

ข่าวลือนี้แผ่ไปยังวังหลวงในเวลาชั่วครู่

หากเป็นคนอื่นนั้นคงไม่เป็นเรื่องใหญ่ แต่นี่เป็นพระชายาของเวินอ๋อง แล้วจะให้ฮ่องเต้เอาหน้าไปไว้ที่ไหน

"เสี่ยวฮัว วันนี้ตอนที่ฮ่องเต้ได้ทราบข่าวลือนั้นก็ทรงกริ้วมาก โชคดีที่หรงฝินคอยพูดปลอบโยนอยู่ข้างๆ มิเช่นนั้นแม้แต่ต้วนก้วยเฟยเองก็คงเอาไม่อยู่" อาลั่วหลันพูดขึ้น

ขณะที่นางกำลังตักซุปถั่วเหลืองเข้าปาก นางชิมไปคำหนึ่งแล้วหยุดกินไม่ได้เลย

"หรงฝิน? ฮ่องเต้เรียกนางเข้าพบแล้วหรือ?" โล่หวินหลานวางพู่กันในมือ ตัวหนังสือบนกระดาษเหล่านั้นที่นางเขียน เกิดจากการตั้งใจฝึกฝนมาหลายปี

อาลั่วหลันที่กินซุปถั่วเหลืองอยู่นั้น กล่าวขึ้น“ข้าได้ยินมาว่าหลังจากที่เย่ฮองเฮาและต้วนก้วยเฟยทราบข่าวก็รีบไปที่ห้องหนังสือ แต่ก็ถูกฮ่องเต้ไล่ออกมาทั้งคู่ จนสุดท้ายนั้นหรงฝินเข้าไป ฮ่องเต้กลับให้นางอยู่ต่อ ตอนนี้ยังไม่ออกมาเลย"

หรงฝินและเย่ฮองเฮานั้นยังคงมีปัญหากัน ตอนนั้นฮ่องเต้เองก็เข้าข้างเย่ฮองเฮา แต่พอเกิดเรื่องขึ้น ฮ่องเต้กลับเปลี่ยนใจ

"หรงฝินคงเป็นไปตามเป็นไปตามลม" โล่หวินหลานหัวเราะในลำคอ แล้วมองไปนอกหน้าต่าง

มือหนึ่งจับซุปถั่วเหลืองแน่น อาลั่วหลันที่เริ่มหิวน้ำแล้วจึงพูดขึ้น“ของหวานนี่อร่อย ที่บ้านเกิดข้าไม่มีของพวกนี้ สิ่งนี้เรียกว่าอะไรนะ? แล้วทำอย่างไร?"

โล่หวินหลานมองไปยังบนโต๊ะ ที่ตอนนี้ถ้วยครามนั้นว่างเปล่า นี่นางกินจนหมดแล้วหรือ

โล่หวินหลานส่ายหน้าเล็กน้อย“เรียกว่าซุปถั่วเหลือง หากองค์หญิงชอบ พรุ่งนี้หม่อมฉันจะให้พ่อครัวสอนทำ"

อาลั่วหลันพยักหน้า

"องค์ชายพวกนั้นมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง?" โล่หวินหลานถามขึ้น

อาลั่วหลันจึงเล่าทุกอย่างที่นางได้ยินมา“หลังจากฮ่องเต้ทราบข่าวนี้ ก็ไม่ได้เรียกขุนนางเข้าพบ เพียงแต่งเรียกองค์รัชทายาท หมิงอ๋องและองค์ชายอีกไม่กี่คนเข้าไปพบ คงเพราะต้องการจะให้องค์ชายช่วยกันหารือว่าควรจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร มีเพียงคนเดียวที่เขาไม่ได้เรียกเข้าวังก็คือเวินอ๋อง ช่างน่าแปลกเสียจริง"

น่าแปลกตรงไหนกัน โล่หวินหลานเข้าใจความคิดของฮ่องเต้ดี เรื่องนี้ทำให้ชาวบ้านนินทากันสนุกปาก ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของราชสำนัก หากเห็นหน้าเวินอ๋องเข้า ก็คงทำให้เขารู้สึกแย่กว่าเดิม

"ฮ่องเต้เพียงต้องการให้เรื่องนี้เงียบให้เร็วที่สุด โดยไม่ทำให้ชาวบ้านตกใจ" โล่หวินหลานคาดการณ์เอาไว้

"แต่ว่า หากเย่เซียวหลัวพูดถึงเรื่องเมื่อคืนเข้าจะทำอย่างไร? หากมีคนเริ่มสืบค้นเรื่องนี้ คงสาวมาถึงพวกเราแน่" อาลั่วหลันเท้าคาง ตอนนี้นางเริ่มเป็นกังวลแล้ว

หากนางโดนจับเข้าคุกก็ไม่เป็นไรหรอก เพียงแต่ตัวตนที่แท้จริงของนาง หากมีการสืบค้นขึ้นมา ทุกคนก็จะรู้ว่านางคือองค์หญิงเหอซื่อ และโทษที่จะได้รับคือการหลอกลวงฮ่องเต้!

แต่โล่หวินหลานกลับไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้เสียเท่าไหร่ นางเพียงหัวเราะเล็กน้อย“เย่เซียวหลัวไม่มีวันพูดเรื่องเมื่อคืนหรอก นางไม่กล้า"

อาลั่วหลันขมวดคิ้ว“เหตุใดนางจึงไม่กล้า?" หรือนางมีความลับที่บอกคนอื่นไม่ได้

ความเงียบเกิดขึ้น ได้ยินเพียงเสียงของลม

โล่หวินหลานทอนหายใจเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้ม“อย่างไรเสียนางก็ไม่กล้าหรอก อีกหน่อยองค์หญิงก็จะรู้เอง"

อีกหน่อยอีกแล้ว?

อาลั่วหลันขมวดคิ้วแล้วมองไปที่นาง“อีกหน่อยหมายถึงนานเท่าไหร่? เสี่ยวฮัว เจ้าต้องบอกข้าสิข้าจะได้ช่วยเจ้าได้!”

นางรู้ดีว่าอาลั่วหลันหวังดีกับนาง แต่เรื่องนี้บอกกับนางไม่ได้จริงๆ

เพราะเรื่องนี้ช่างซับซ้อน ซ่อนเงื่อน และเบื้องหลังก็คงไม่มีแค่เย่เซียวหลัวคนเดียวแน่?

โล่หวินหลานเปลี่ยนเรื่องคุย“วันนี้หมิงซีทำไมไม่มาหาองค์หญิงล้ะ?"

พูดถึงหมิงซีนั้น อาลั่วหลันที่คิดฟุ้งซ่านอยู่ก็นิ่งขึ้นมาได้

นางยังจำความรู้สึกที่หมิงซีกอดนางแล้วใช้วิชาตัวเบา พานางลอยไปมาบนอากาศได้อยู่เลย เขาพานางขึ้นไปบนหลังคาแต่ละหลัง แล้วโอบกอดนางท่ามกลางหิมะที่ตกลงมา

ความอบอุ่นนั้น ชีวิตนี้นางคงไม่มีวันได้รับอีก

"หมิงซีให้ข้ามาที่นี่ก่อน เขาจะไปจัดการกับของที่ใช้หลอกผีเมื่อคืน เพื่อที่จะไม่ให้ใครรู้ และเอาไปเป็นหลักฐานได้" อาลั่วหลันยิ้มเล็กน้อย

ไม่คิดเลยว่าคนนิ่งๆอย่างเขา จะละเอียดขนาดนี้

โล่หวินหลานถอนหายใจ คงเป็นเพราะนางไม่เชื่อใจใครมากเกินไป

"ก็จริง ของพวกนั้นเราควรรีบกำจัดเสีย มิเช่นนั้นอาจจะถูกคนอื่นจับได้" โล่หวินหลานพูดพลางจับที่โต๊ะกลม

ชีวิตในวังหลวงนั้นต้องคอยระวังทุกย่างก้าวอยู่ทุกวัน เพราะหากวันไหนไม่ทันได้ระวังตัว ก็อาจหัวหลุดจากบ่าได้

ก่อนหน้านี้โล่หวินหลานไม่ได้เป็นคนแบบนี้ แต่หลังจากที่นางตายไปครั้งหนึ่งแล้ว ทำให้นางรู้สึกเห็นค่าของชีวิตตนเองมาก ตราบใดที่นางยังไม่สามารถทำในสิ่งที่หวังไว้ได้สำเร็จ นางก็จะไม่ยอมตายง่ายๆ

"เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้อันตรายมาก เสี่ยวฮัว แต่มันก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่า อย่างน้อยเราก็ได้รู้ความจริงที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่?" อาลั่วหลันยิ้มจนลักยิ้มของนางเผยออกมา ทุกครั้งที่นางยิ้มนางจะสวยมากขึ้นกว่าเดิม

"ใช่ อย่างน้อยพวกเราก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ" โล่หวินหลานกล่าวด้วยแววตาเปร่งประกาย

ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง แสงแดดจากด้านนอกช่างร้อนแรงนัก

ราวกับว่าทั้งสองกำลังรอบางอย่าง ที่ไม่ว่าจะรออย่างไรก็มาไม่ถึงเสียที ประตูบานนี้ได้ปิดกั้นพวกนางจากทุกสิ่งอย่าง

อาลั่วหลันนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว ตอนนี้นางเริ่มง่วงนอนแล้ว แต่มือก็ไม่หยุดที่จะสัมผัสผิวหน้าที่ถูกติดไปบนใบหน้าของนาง

ตอนนี้นางรู้สึกคันเล็กน้อย จนอยากจะถอดออกมา

โล่หวินหลานมองดูท่าทางของนาง จึงรีบพูดขึ้น“การสวมใส่่หน้ากากหนังคนนี้มันทำให้องค์หญิงอึดอัดมาก แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถถอดลงมาได้ ต้องใช้น้ำยาโดยเฉพาะ ประเดี๋ยวหมิงซีกลับมาค่อยให้เขาถอดให้"

อาลั่วหลันหยุดการกระทำของตน นางเบ้ปากเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใด แต่สองมือก็หยุดจับใบหน้าอย่างเชื่อฟัง

ขณะที่นางกำลังจะพูดบางอย่างออกไป โล่หวินหลานก็ทำมือ "ชู่" แล้วชี้ไปนอกหน้าต่าง

"เกิดอะไรขึ้น?" อาลั่วหลันถาม

โล่หวินหลานเงี่ยหูฟัง“มีคนมา"

เป็นไปตามที่นางคิดเอาไว้ นางพึงพูดจบก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

เวลานี้ ด้านนอกไม่มีนางกำนัล แม้แต่ไซ่เย่วก็ไปฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างด้านนอก

"ใคร?" โล่หวินหลานถาม

"ข้าเอง" น้ำเสียงเย็นชานั้นเล็ดลอดเข้ามา

โม่ฉีหมิง

สีหน้าของโล่หวินหลานเปลี่ยนไปในทันที นางมองดูหน้าของอาลั่วหลันที่ตอนนี้หน้าตาเหมือนกับโล่หวินหลาน หากเขาเห็นภาพนี้เข้า ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไรบ้าง

หัวใจของนางเต้นรัว จากนั้นก็ให้อาลั่วหลันไปอยู่ด้านหลังพร้อมพูดขึ้น“ท่านรอข้าอยู่ตรงนี้ ห้ามส่งเสียงเด็ดขาด"

อาลั่วหลันไม่เคยเห็นโล่หวินหลานมีสีหน้าตื่นตระหนกเช่นนี้มาก่อน จึงถามขึ้น“เกิดเรื่องอะไรขึ้น? คนข้างนอกคือใคร?"

ในเวลาเดียวกัน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอย่างรีบเร่ง

"บอกท่านตอนนี้ไม่ทันแล้ว แต่ตอนนี้ท่านต้องฟังข้าก่อน ห้ามออกมาเด็ดขาด" โล่หวินหลานกล่าวย้ำ

หลังจากที่นางซ่อนตัวอาลั่วหลันแล้วนั้น ก็ปรับสีหน้าให้เหมือนเดิม แล้วเดินไปเปิดประตู

โม่ฉีหมิงยืนอยู่ด้านนอก ทั้งๆที่เขามีหน้าตาที่หล่อเหลา เหตุใดถึงได้เย็นชาเช่นนี้

"ท่านเป็นอะไรหรือ?" โล่หวินหลานถาม

โม่ฉีหมิงหัวเราะในลำคอ แล้วเดินเข้ามา“ทำไม? ข้ามาที่นี่ไม่ได้หรือ?"

ด้านในห้องนั้นทุกอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีเพียงโต๊ะที่ถูกวางไว้ข้างหน้าต่างเพิ่มเข้ามา ด้านหลังยังคงมีชั้นหนังสือและกระดาษที่เขียนตัวอักษรเอาไว้ คล้ายกับคนที่กำลังฝึกเขียนพู่กัน

"ที่นี่คือดงหัวเยี้ยน จึงง่ายที่จะสร้างความสงสัยให้กับผู้อื่น หากหมิงอ๋องหวังดีกับหม่อมฉัน คราวหน้าก่อนจะมาที่นี่ควรบอกหม่อมฉันก่อนนะเพคะ" โล่หวินหลานกล่าว

โม่ฉีหมิงเดินไปยังโต๊ะที่ใช้เขียน ขณะที่เขากำลังจะเปิดดูสิ่งที่นางเขียนเอาไว้นั้น เมื่อได้ยินคำพูดที่นางพูด ก็หยุดการกระทำเหล่านั้นลง

เขาค่อยๆร่างกายมาที่เบื้องหน้าของนาง แล้วล็อกตัวนางเอาไว้ติดกำแพง ไอร้อนจากลมหายใจของเขาอยู่บนใบหน้าของนาง

ถึงแม้ว่าการกระทำของเขาจะดิบเถื่อนแต่ก็มีเสน่ห์ เพียงแต่อีกใจหนึ่งกลับรู้สึกเจ็บ

"ข้าจะมาหรือไม่มา เจ้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ"

"เพคะ หม่อมฉันไม่มีสิทธิ์" โล่หวินหลานหันไปอีกทาง

พวกเขานิ่งไปหลายวินาที โม่ฉีหมิงก็ค่อยๆปลดพันธะการของเขา แล้วเดินไปยังโต๊ะที่เขียนหนังสือ

อักษรที่นางเขียนนั้น ไม่ต่างจากเมื่อก่อนเท่าไหร่

เพราะนางเขียนได้ไม่สวยมาโดยตลอด ทำให้มักจะถูกเขาหัวเราะเยาะ ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะจำได้หรือไม่

"นี่เป็นตัวหนังสือของเจ้าหรือ?" โม่ฉีหมิงคลี่กระดาษเปิดออก บนกระดาษนั้นเขียนคำว่าสงบตัวใหญ่ๆ

"เพคะ หม่อมฉันว่างๆไม่ได้ทำสิ่งใด จึงฝึกเขียนก็เท่านั้น" โล่หวินหลานกล่าว

ถึงแม้ว่าใบหน้าของนางนั้นจะแสร้งทำเป็นนิ่งเฉย แต่ตอนนี้ในใจของนางกำลังเต้นรัว ราวกับคลื่นที่ซัดเข้าฝั่ง

เขายืนมองอยู่นาน ไม่ยอมวางมือ

"ท่านอ๋อง วันนี้มาที่นี่ไม่ทราบเพราะเรื่องใดเพคะ? หากไม่มีธุระ ขอเชิญท่านอ๋องกลับไปเถอะเพคะ" โล่หวินหลันกลัวว่าเขาจะเจอเข้ากับอาลั่วหลันเสียจริง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก