ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 290

ตอนที่ 290 ครั้งแรกที่พบเจอ

ในเวลานี้ คนที่นางตามหามานานได้ทอดทิ้งนางเไปเสียแล้ว นางลำบากแทบตายเพื่อที่จะตามหาเขา แต่เขากลับเข้าใจผิดเห็นคนอื่นเป็นนาง ความหวังทั้งหมดที่เคยมีก็หายไป แล้วนางควรจะเลือกใคร?

นางยังมีสิทธิ์ที่จะเลือกอีกหรือ?

"ข้าเองก็ยังไม่รู้ คงต้องก้าวไปทีละก้าว" โล่หวินหลานยิ้ม แน่เป็นครั้งแรกที่นางไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้

ออกมาจากห้องด้านข้าง ด้านนอกเป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว ท้องฟ้าสดใสราวกับไม่เคยมีหิมะตกมาก่อน

เดินผ่านทางเท้ายาว หิมะด้านนอกปลิวพัดเข้ามาตามแรงลม จื๋อเอ่อมายืนอยู่ตรงหน้าของนาง

"องค์หญิง ในที่สุดหม่อมฉันก็หาองค์หญิงจนพบ" จื๋อเอ่อกล่าว มือข้างหนึ่งจับที่ดาบของตน ด้วยใบหน้าที่จริงจัง

เห็นสีหน้าของเขาแล้ว โล่หวินหลานรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี

จื๋อเอ่อไม่ได้มาหานางบ่อยๆ เขามักจะคอยปกป้องนางอยู่เงียบๆ แต่ครั้งนี้ คงมีเรื่องสำคัญแน่

"เกิดเรื่องอะไรยึ้น?" โล่หวินหลานถาม

"เมื่อครู่ตอนอยู่ที่เรือนครัว ข้าจับขันทีที่น่าสงสัยได้ เขาไม่ใช่คนของดงหัวเยี้ยน จึงได้คนตัวเขา ซึ่งสิ่งที่ข้าพบนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับพิษที่หมิงซีได้รับ" จื๋อเอ่อกล่าว

เพราะเรื่องการเลือกคู่ครองสองสามวันนี้ ทำให้โล่หวินหลานมัวแต่ไปคิดเรื่องของโม่ฉีหมิง จนลืมไปเลยว่าการได้รับพิษของหมิงซีนั้นยังไม่ได้คำตอบ

ครั้งนี้คนร้ายบุกมาถึงที่นี่ เพราะเหตุใดกัน?

"อยู่ที่ใด? นำข้าไปที" โล่หวินหลานกระชับกระโปรง แล้วรีบเดินตามไป

"ข้าขังเขาไว้ที่ห้องเก็บฟืนแล้ว และให้คนเฝ้าสองคน" จื๋อเอ่อกล่าว พลางนำนางไปที่ห้องเก็บฟืน

หิมะด้านนอก ทำให้ห้องเก็บฟืนนี้มีอากาศที่หนาวเย็น เพราะมีหน้าต่างเปิดอ้าไว้

หลังจากที่เข้าไป สีหน้าของขันทีนั้นก็ซีดเซียว เขาตัวสั่น ในปากคาบผ้าเอาไว้ มือและเท้าเองก็ถูกหมัดเอาไว้ ตอนนี้เขานอนขดตัวอยู่ในกองฟืน

ประตูถูกเปิดออก และถูกปิด

โล่หวินหลานเดินไปตรงหน้าของเขา แล้วมองต่ำ

ขันทีคนนั้นมองมาที่นาง ปากของเขาสั่นเทา แต่กลับฟังไม่ออกว่าเขากำลังจะพูดอะไร

"ไซ่เย่ว นำเตาผิงเข้ามา" โล่หวินหลานออกคำสั่ง

เห็นเขาหนาวถึงเพียงนี้ คงยากที่จะให้เขาบอกความจริง

เตาผิงถูกนำเข้ามา จนห้องนี้อบอุ่นขึ้น ขันทีเองก็เริ่มขยับริมฝีปาก

"ท่านไม่ต้องถามข้า ข้าไม่มีวันพูด" ขันทีพูดสิ่งนี้เป็นคำแรก แล้วมองไปทางโล่หวินหลาน

"ข้ายังไม่ได้ถามสิ่งใดกับเจ้าเลย เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าจะไม่มีวันบอกข้า?" โล่หวินหลานถามกลับ

"องค์หญิง นี่คือของที่พบหลังจากที่ค้นตัวเขา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนวางยาพิษ" จื๋อเอ่อกล่าวขณะวางขวดยาพิษลงบนโต๊ะ ซึ่งเป็นผงแดง ส้ม เหลือง เขียว

เมื่อเห็นหลักฐานบอกนั้น สีหน้าของขันทีก็เปลี่ยนไป มีเหงื่อไหลออกมาจากตัวเขาเพราะความกลัว

"หลักฐานทุกอย่างอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าจะพูดหรือไม่พูดก็ช่าง นำยาพวกนี้ไปให้หมอหลวงดู แล้วเราจะได้รู้ความจริงกัน" โล่หวินหลานพูดพลางมองไปที่ขวดยา

ขันทีคนนั้นยังคงไม่พูด แต่สายตาของเขาวอกแวก ราวกับกำลังคิดบางอย่างอยู่

"ท่านแม่ทัพจื๋อเอ่ นำยานี้ไปให้หมอหลวง จากนั้นก็นำตัวขันทีคนนี้ไปให้ฮ่องเต้ ข้าจะให้ฮ่องเต้เป็นคนตัดสิน" โล่หวินหลานคิดว่าขันทีคนนี้คงยอมตาย โดยที่ไม่บอกอะไรกับนาง

จากนั้นก็พูดเสริม“ข้ารู้สึกคุ้นหน้าเขาเหลือเกิน เขาเป็นขันทีที่ดูแลสนมคนไหนกันนะ ไม่แน่อาจจะช่วยฮ่องเต้แบ่งเบาภาระได้ ครั้งที่แล้วขันทีที่คิดจะวางเพลิงก็ถูกประหารเจ็ดชั่วโคตร เพราะเขาคนเดียวทำให้ทั้งบ้านต้องตาย เจ้าว่าไหม ว่ามันไม่คุ้มเลย!”

โล่หวินหลานส่ายหน้าไปมา แล้วมองดูขันทีด้วยแววตาที่สงสารเขา

ขันทีเมื่อได้ยินดังนั้น ก็คิดถึงจุดจบของครอบครัวตนเอง เขาจึงยื้มเล็กน้อย แล้วมองไปที่โล่หวินหลาน

"ไม่ อย่าบอกฮ่องเต้.....เรื่องนี้ข้าน้อยเป็นคนทำคนเดียว ข้ายอมรับผิดทุกอย่าง" ขันทีพูดด้วยเสียงสั่นเทา จากนั้นก็ใช้หัวชนเข้ากับกองฟืน

"ฆ่าข้าเถอะ ข้ายอมรับผิดทุกอย่าง ฆ่าข้า....."

โล่หวินหลานหัวเราะ“ฆ่าเจ้า? มันก็ง่ายเกินไปนะสิ?"

ขันทีเงยหน้าขึ้นมอง “แล้วท่านต้องการทำอะไร?"

ความเงียบเข้าปกคลุม โล่หวินหลานยืนขึ้น ใบหน้างดงามนั้นไร้อารมณ์ใดๆ

"ข้าเพียงจะถามเจ้า ใครอยู่เบื้องหลัง?" โล่หวินหลานถาม แล้วมองไปที่เขา

เบื้องหลัง? ขันทีหัวเราะในลำคอ จากนั้นก็ส่ายหน้า“เบื้องหลังก็คือข้านั่นเอง"

"แล้วครั้งนี้เจ้ามาดงหัวเยี้ยน เพื่ออะไร?" โล่หวินหลานถามต่อ

"ก็เพื่อทำภารกิจของตนเองให้สำเร็จ" ขันทียังคงส่ายหน้า

นางรู้แต่แรกแล้วว่าเขาคงไม่ยอมบอกว่าใครอยู่เบื้องหลัง นางจึงไม่ได้รีบเร่งแต่อย่างใด นางเดินไปที่โต๊ะ จากนั้นก็หันไปอีกทาง

"ในเมื่อเจ้าไม่ยอมพูดความจริง ก็ช่างเถอะ ข้ายอมที่จะปล่อยเจ้าก็ได้" โล่หวินหลานกล่าว

ขันทีคนนั้นเงยหน้ามองด้วยความไม่เข้าใจ นางคิดที่จะปล่อยข้าไป?

เขาคงคิดมากเกินไป หรือนางเพียงพูดๆไปก็เท่านั้น แต่ไม่ว่าสุดท้ายจุดจบจะเป็นอย่างไร เขาก็ไม่มีวันที่จะบอกหรอกว่าใครอยู่เบื้องหลัง

"องค์หญิง....." จื๋อเอ่อที่เห็นว่าโล่หวินหลานจะปล่อยขันทีคนนี้ไป จึงเอ๋ยขึ้นเพื่อที่จะห้ามปรามนาง

โล่หวินหลานยกมือขึ้น แล้วหันกลับไป“ท่านแม่ทัพจื๋อเอ่อ ตอนนี้ก็มืดค่ำแล้ว เจ้าไปทิ้งขันทีคนนี้ไว้ที่หน้าตำหนักของหรงฝิน ในเมื่อเขาไม่ต้องการที่จะบอกกับเรา งั้นก็ให้เขาไปบอกกับหรงฝินเถอะ"

พูดจบ คิ้วของเขาก็ขมวดเป็นปม

ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงทำเช่นนี้ แต่จื๋อเอ่อก็ไม่เคยไม่ไว้วางใจในการตัดสินใจของนาง

"เหตุใดท่านจึงทำเช่นนี้? เหตุใดจึงส่งข้าไปให้หรงฝิน? เจ้าต้องการสิ่งใด?" ขันทีคนนั้นถามด้วยสีหน้าที่กังวล

หรงฝิน? สิ่งที่เขาทำนั้นไม่เกี่ยวข้องกับหรงฝินเลยสักนิด เหตุใดต้องให้หรงฝินเข้าเกี่ยวข้องด้วย?

ขันทีคนนั้นมีความสงสัยร้อยแปด ที่ไม่ได้คำตอบ

"เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก" โล่หวินหลานกล่าว

ห้องเก็บฝืนนี้เงียบลงทันที จื๋อเอ่อเดินตามนางไป

"องค์หญิง เหตุใดเจ้าต้องส่งขันทีคนนี้ไปยังตำหนักหรงฝินด้วย? กว่าจะจับคนร้ายที่คิดทำร้ายพวกเราไม่ง่ายเลย ไม่แน่เราอาจจะได้รู้ความจริงก็ได้ ว่าใครอยู่เบื้องหลัง" จื๋อเอ่อถามขึ้น

ท่านกลางลมหิมะ โล่หวินหลานหยุดเดิน ร่างใหญ่ของจื๋อเอ่ออยู่ด้านหลังของนาง หลายคนคงอยากรู้ว่าเหตุใดนางจึงทำเช่นนั้น

แต่สิ่งที่นางทำนั้น มันยิ่งกว่าการส่งขันทีนั่นไปให้ฮ่องเต้เจียเฉิงเสียอีก

"ขันทีคนนั้นได้วางยาพิษที่ดงหัวเยี้ยนจริง แต่ตอนที่เขาโดนจับนั้น ใบหน้าของเขาไม่มีความหวาดกลัว คนเช่นนี้ ต่อให้ถูกเค้นเอาความจริงและถูกคุมขัง แต่เบื้องหลังก็ต้องมีใครอีกคนคอยแทนที่เขาแน่" โล่หวินหลานกล่าว

"ความหมายของท่านคือ คนที่อยู่เบื้องหลังเขา เป็นคนที่มีอำนาจมาก?" จื๋อเอ่อขมวดคิ้ว เขาไม่อยากจะเชื่อเลย

โล่หวินหลานพูดต่อ“ก่อนอื่นเลย พฤติกรรมของเขาไม่เหมือนกับขันทีทั่วไป คงเป็นขันทีที่ถูกเลี้ยงเพื่อทำเรื่องชั่วๆในวัง และเขาไม่มีความกลัวตายแม้แต่น้อย แต่กลับกัน เขากลับเป็นห่วงครอบครัว

และตอนที่ข้าพูดถึงหรงฝิ่น เขาก็ดูวอกแวก คงเพราะคนที่อยู่เบื้องหลังของเขานั้นต้องมีอะไรบางอย่างกับหรงฝินแน่

แค่ขันทีตัวเล็กๆคนเดียว แต่กล้าทำเรื่องเช่นนี้ คนที่อยู่เบื้องหลังนั้นคงต้องเป็นคนที่มีอำนาจมากแน่"

ขันทีคนนี้ไม่ธรรมดา ทุกคนล้วนรู้ดี

แต่จื๋อเอ่อก็ยังคงสงสัยนัก

"ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ขันทีนั่นกับหรงฝินจะมีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างไร?"

หากจะให้พูดถึงหรงฝินนั้นก็คงต้องร่ายยาว โล่หวินหลานไม่อยากจะพูดถึงเรื่องในอดีต เพราะมันช่างซับซ้อน

"ท่านแม่ทัพจื๋อเอ่อ ท่านไม่ใช่คนแคว้นโม่ฉี หลายๆอย่างในวังหลวงนั้นท่านจึงไม่รับรู้ ทุกคนล้วนมีสิ่งที่ตนเองหวาดกลัว และมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ต้องทำ" โล่หวินหลานพูดแล้วมองไปที่หิมะ ต่อให้นางจะทอดสายตาไปยาวไกลแค่ไหน จุดสิ้นสุดก็เป็นเพียงกำแพงวังหลวง

จื๋อเอ่อกครึ่งเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจ คำพูดของโล่หวินหลานนั้นก็ยังคงไม่ได้อธิบาย ว่าเหตุใดต้องนำตัวขันทีนั่นไปที่ตำหนักหรงฝิน

ตำหนักหมิงอ๋องที่กว้างใหญ่นั้น ไม่มีสาวใช้คนไหนกล้าเข้าใกล้โม่ฉีหมิง

ตั้งแต่ออกมาจากวังหลวง โม่ฉีหมิงก็ไล่สาวใช้และองครักษ์ทุกคนออกไป เขาอยู่คนเดียวในห้องหนังสือทั้งวันแล้ว

ฉินหยิ่นและเย่หวินเองก็รออยู่ด้านนอกด้วยความกังวล

เหตุการณ์เมื่อหนึ่งปีก่อนเกิดขึ้นอีกครั้ง?

หนึ่งปีที่แล้ว ตอนที่พระชายาหมิงอ๋องสิ้นพระชน ท่านอ๋องก็เป็นเช่นนี้ ถึงแม้ว่าภายหลังจะดีขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังทิ้งแผลลึกในใจ

"คุณชายสวิน ในที่สุดท่านก็มา รีบเข้าไปดูเถอะ......." ฉินหยิ่นร้องขอความช่วยเหลือจากสวินโม่ เขามองดูสวินโม่เป็นดวงดาวที่ช่วยชีวิตเขาได้

แต่ยังไม่ทันพูดจบ โม่ฉีหมิงก็เปิดประตูออกมาด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉยและเยือกเย็น

"ซงโจวไท่ซ้อลาออกใครเป็นคนจัดการ?" โม่ฉีหมิงถามขึ้น จนคนที่ได้ยินนั้นขนลุกไปทั้งตัว

ซงโจวไทซ้อ? ฉินหยิ่นรีบลุกขึ้นยืน ทำความเคารพ“ข้าน้อยเป็นคนจัดการเองขอรับ ท่านอ๋อง ตอนนี้ท่านบอกว่าซงโจวไทซ้อนั้นคดโกงมากเกินไป จึงให้หาคนอื่นมาแทนไม่ใช่หรือ?"

ฉินหยิ่นเหงื่อแตก

ทุกครั้งที่โม่ฉีหมิงโมโห เขาก็มักจะมาจัดการงานราชงานหลวงแทน

ตอนนี้พวกเขาได้ควบคุมทั้งแปดแคว้นสามด่าน โดยทุกที่ล้วนสงบสุข ดังนั้นเรื่องของซงโจวไทซ้อนั้น ฉินหยิ่นก็ลืมไปเสียแล้ว

"คนที่มาแทน เขาดูแลซงโจวอย่างไรบ้าง? เหตุใดจึงรายงานทุกครั้งว่าชาวบ้านอยู่ดีมีสุข แต่กลับมีรายงานลับว่าชาวบ้านนั้นยากจน และไม่มีสิทธิ์มีเสียง ขอทานมากจนไม่อาจนับได้" โม่ฉีหมิงกระตุกยิ้มมุมปาก

ตอนนี้เขาดูน่ากลัวเหลือเกิน มีรังศีอัมหิตแผ่ออกมา

ฉินหยิ่นก้มหน้าก้มตา ไม่รู้ควรพูดสิ่งใด

ตอนนั้นที่เขาจัดการเรื่องนี้ เอาตามจริงเขาก็ใช้เหตุผลส่วนตัวได้ แต่ซงโจวไทซ้อในตอนนั้นไม่ใช่คนเช่นนี้นี่

ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็มีเสียงของชายหนุ่มดังขึ้นด้านหลัง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก