ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 291

ตอนที่ 291 เหยียบย่ำความจริงใจ

“ท่านอ๋อง คดีวันนั้นของซงโจวไท่ซ้อเป็นข้ากับฉินหยิ่นไปด้วยกัน ส่วนตอนนี้ผู้รับผิดชอบคดีของซงโจวไท่ซ้อก็คือคนที่ข้าน้อยเป็นผู้เลือก ไม่สู้ให้ข้าน้อยเป็นผู้อธิบายดีกว่า” สวินโม่ค่อยๆก้าวขึ้นบันไดมา เบื้องหลังมีลมพายุที่พัดพาเกล็ดหิมะขึ้นไปเหนืออากาศอย่างไร้การควบคุม

สีหน้าของโม่ฉีหมิงไม่น่าดูชม ไม่รู้เพราะเรื่องแต่งงานหรือเพราะเรื่องของซงโจวไท่ซ้อกันแน่

เมื่อห้องหนังสือถูกปิดลง ความกดดันเมื่อครู่ก็หายไปทันที

ฉินหยิ่นหันกายมองดูเย่หวิน ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มออกมา

โม่ฉีหมิงหันใบหน้าเย็นชามองไปยังฉินหยิ่น สายตาเหลือบมองออกไปยังนอกหน้าต่าง

“ท่านอ๋อง เมื่อครั้งที่ข้าน้อยกับฉินหยิ่นไปทำคดีที่ซงโจวก็ได้พบกับขอทานผู้หนึ่งซึ่งผู้นั้นก็คือไท่ซ้อ ครานั้นเห็นเขามีทั้งความสามารถและคุณธรรมไม่ยอมรับทานของจากผู้อื่นจึงได้ช่วยเขาไว้ กลับไม่คิดว่าเขาคือลูกชายของไท่ซ้อคนก่อน ก่อนหน้านี้เป็นเพราะพี่น้องของเขาล้วนโหดเหี้ยมเขาจึงตกต่ำลงถึงเพียงนี้”

พวกข้าน้อยเห็นเขาน่าสงสาร จึงช่วยประคับประคองเขาขึ้นตำแหน่งไท่ซ้อ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเขาเป็นพวกลืมบุญคุณคน หากเขาเป็นคนเช่นนี้จริง ข้าน้อยก็จะเป็นคนประณามเขาเป็นคนแรก” ร่างสูงสง่าของฉินหยิ่นก้มลง สีหน้าดูไม่ดี

“ไม่ว่าเขาจะเป็นคนอย่างไร แต่สรุปแล้วคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเราไม่ควรมีข้อผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย” โม่ฉีหมิงเอ่ยราบเรียบ ฟังออกเพียงน้ำเสียงที่ให้ความรู้สึกเย็นชา

สวินโม่ผงกศีรษะ “เรื่องนี้จะต้องตรวจสอบให้ชัดเจน ท่านอ๋องโปรดวางพระทัย”

บรรยากาศพลันเงียบลงไปอึดใจ สวินโม่มองไปยังใบหน้าไร้ความรู้สึกของโม่ฉีหมิง เขาย่อกายนั่งลงที่อีกด้านหนึ่งอย่างเงียบงัน บนโต๊ะข้างๆนั้นมีกลิ่นหอมของใบชากระจายไปทั่ว เขาค่อยๆจิบมันลงอย่างช้าๆ ไม่เสียแรงที่เป็นชาดี

“ท่านอ๋อง เมื่อเร็วๆนี้ข้าน้อยได้ยินข่าวเรื่องที่ฝ่าบาทให้องค์หญิงเหอซื่อเลือกคู่ครองด้วยตนเอง นี่เป็นการเปิดประวัติศาสตร์ครั้งแรกที่ไม่เคยมีมาก่อนในแคว้น ในอดีตต่อให้องค์หญิงพระองค์ไหนได้รับความเอ็นดูเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่เคยมีใครได้รับอภิสิทธิ์เช่นนี้มาก่อน!” สวินโม่ถอดถอนใจ

ครั้งก่อนที่ได้พบหน้าองค์หญิงเหอซื่อ ในใจเขามิได้มีความประหลาดใจเท่าใดนักเพียงแค่รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นสตรีที่รูปโฉมงดงามไม่เลวเลยก็เท่านั้น

ผู้ใดจะรู้ เบื้องหลังนางกลับมีฝ่าบาทเป็นคนช่วยหนุนหลังให้ ความรักใคร่เอ็นดูที่พระองค์มีให้ต่อองค์หญิงมีมากมายถึงเพียงนี้เอง

“หากไม่เพราะเรื่องหาคู่ครองให้องค์หญิงเหอซื่อเป็นเรื่องที่ยากแก่การตัดสินใจ เสด็จพ่อก็ไม่มีทางปล่อยให้นางเป็นคนตัดสินใจเองอย่างอิสระหรอก ยังไงซะ จะเลือกองค์ชายคนไหนก็ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับแคว้นโม่ฉี ประชาชนทั่วหล้าล้วนกำลังจับตามองเรื่องนี้ ผู้นำแคว้นเซิ่งโจวเองก็กำลังมองมาด้วยเช่นกัน” โม่ฉีหมิงเล่นเครื่องหยกที่อยู่บนโต๊ะ ความเย็นของมันส่งผ่านไปยังนิ้วหัวแม่มือของเขา

เรื่องทั้งหมดนี้เขาล้วนมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง สิ่งเดียวที่มองไม่ออกก็คือจิตใจของคนในอดีตผู้นั้น

“หากเป็นเช่นนี้ การให้องค์หญิงเหอซื่อเป็นผู้เลือกด้วยตัวเองเห็นทีจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” สวินโม่เงยหน้ามองโม่ฉีหมิง “ท่านอ๋อง ช่วงนี้ที่ท่านไปเยี่ยมองค์หญิงด้วยองค์เองใช่เพราะว่าวางแผนให้เป็นเช่นนี้รึไม่?”

เพราะหากไม่ใช่เรื่องนี้ อ้างอิงตามความรู้สึกที่โม่ฉีหมิงมีต่อโล่หวินหลานอย่างลึกซึ้ง เขาจะไปที่ดงหัวเยี้ยนบ่อยๆเพื่ออะไรกัน?

โม่ฉีหมิงที่นั่งอยู่มุมปากกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา แสงแดดอ่อนๆที่อยู่ด้านหลังสาดเข้ากับแผ่นหลังของเขา ดูราวกับกำลังหลอมละลายธารน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น

“วางแผน?” รอยยิ้มบนใบหน้าของโม่ฉีหมิงค่อยๆจางหายไป เหมือนกับภูตผีที่กำลังกัดกินวิญญาณมนุษย์ “เมื่อก่อนเคยมี แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว”

สิ่งใดที่เขาปักใจไปแล้วปกติมักจะไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง หรือหากมีนั่นก็เป็นปัญหาของผู้อื่นทั้งนั้น

ได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ของเขาแล้ว ในใจลึกๆของสวินโม่ก็ราวกับสามารถเข้าใจอะไรบางอย่าง

“ท่านอ๋อง ตอนนี้กำลังมีการเปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่? ท่านไม่ต้องการแต่งงานกับองค์หญิงเหอซื่อแล้วใช่หรือไม่ขอรับ?” สวินโม่ถามออกมา

“พรุ่งนี้เจ้าจะรู้เอง” ใบหน้าโม่ฉีหมิงไร้ความรู้สึกขณะเอ่ยออกมาอย่างเฉยชา

ภายในตำหนักเวินอ๋องปกคลุมไปด้วยความเงียบสงบ เวินอ๋องนั่งอยู่บนบัลลังก์มือข้างหนึ่งของเขากำลังเล่นแหวนหยก ในอากาศคล้ายมีแรงกดดันปะปนอยู่

ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูก็ทำลายความเงียบทั้งหมดลง เย่เซียวหลัวนำพาร่างซวนเซจนจะล้มของตัวเองเข้าไปภายใน

สถานการณ์ที่ผิดปกติอย่างกระทันหันในหลายวันมานี้ทำให้นางรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง แม้จะพักอยู่ในตำหนักเพื่อรักษาทั้งกายและใจแต่ก็ไม่อาจสะกดกลั้นความรู้สึกผิดที่ทับถมอยู่ในใจได้ โดยเฉพาะยามที่นางเผชิญหน้ากับเวินอ๋อง

ราวกับว่าต้องมีสักวัน วันที่เขาจะรู้ความจริง ตัวเขาที่รู้ความจริงในตอนนั้นจะทำอย่างไรกับนางกัน?

เย่เซียวหลัวล้วนไม่กล้าคิด นางไม่รู้ว่าจะหลีกหนีจากเรื่องนี้อย่างไร นางรู้เพียงแค่ว่าต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะไม่ไปคิดถึงมัน

“ท่านอ๋อง มีเรื่องอะไรหรือเพคะ? เหตุใดจึงมีคำสั่งเรียกพบหม่อมฉันเเข้าเฝ้าอย่างเร่งรีบถึงเพียงนี้?” เย่เซียวหลัว ปั้นหน้าเผยรอยยิ้มมองไปยังเขา

เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเวินอ๋องได้ก้าวลงมาจากบัลลังก์แล้ว เงาร่างสูงใหญ่บดบังวิสัยทัศน์ของนางทำให้นางสามารถมองเห็นเขาได้เพียงสิ่งเดียว

รอจนเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ใบหน้าที่มองไปด้านหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนเป็นหวาดกลัว นัยน์ตาของเขาเย็นชาไร้ความรู้สึก ยังไม่ทันได้เปิดปากเขาก็กำคอของนางเอาไว้ในมือ

“อา! ท่านอ๋อง ท่านจะทำอะไร? ปล่อยข้า!” เย่เซียวหลัวเอ่ยออกมาอย่างยากเย็นขณะที่ลำคอเล็กของนางถูกเขาบีบแน่น

คงไม่ใช่ว่าเขารู้เรื่องที่นางเป็นคนฆ่าโล่หวินหลานหรอกแล้วกระมัง? ดังนั้นเขาจึงต้องการล้างแค้นแทนนาง?

ใบหน้าไร้ความรู้สึกของเวินอ๋องจ้องไปยังใบหน้าของนางที่เริ่มกลายเป็นสีเขียวช้าๆ ในใจคิดอยากบีบนางให้ตายไปเสียตรงนี้

“เจ้าฆ่าองค์หญิงเหอซื่อไปแล้วจริงๆงั้นรึ?” เขาเอ่ยถามน้ำเสียงไม่มีมีร่องรอยความรู้สึกแม้แต่น้อยราวกับกำลังนับเวลาถอยหลังเพื่อลงสู่นรกอย่างไรอย่างนั้น

นางใช้มีดกรีดเหอซื่อไปหนึ่งมีดจริงๆ แต่เพราะเลือดไหลออกมาเยอะมากนางที่ไม่กล้ามองจึงหนีออกมาก่อน แม้ตอนหลังจะรู้ความจริงแต่นั่นก็เพราะตนสั่งให้คนออกไปสืบข่าวที่โรงน้ำชา

นางรู้สึกได้ว่ามือของเวินอ๋องยิ่งบีบก็ยิ่งแน่นขึ้นคล้ายกับแค่ใช้กำลังเพียงนิดเดียวก็สามารถตัดคอนางให้ขาดออกจากกันได้

“หม่อมฉัน...” เย่เซียวหลัวเอ่ยถ้อยคำอย่างยากลำบาก ยกสองมือกำรอบมือของเวินอ๋อง หาทางให้เขาปล่อยมือออก

แต่ว่าอาศัยเพียงเรี่ยวแรงของนางจะสู้เขาได้อย่างไร ความแตกต่างที่มากเกินไปทำให้นางต้องทิ้งความคิดนี้จนต้องผงกศีรษะแรงๆ

ในตอนที่นางกำลังคิดว่าตัวเองจะถูกเวินอ๋องบีบคอจนตายนั้นเขากลับสะบัดนางออกอย่างรวดเร็ว ร่างกายของนางไม่อาจควบคุมได้จนฟุบอยู่บนเก้าอี้ ขณะที่ร่างกายท่อนล่างชาไร้ความรู้สึกไปตั้งนานแล้ว

“เจ้าโกหก เหอซื่อยังไม่ตาย เจ้าต้องการอะไรกันแน่? เย่เซียวหลัว เจ้าท้าทายขีดจำกัดของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ที่เจ้าใช้ทุกวิถีทาง ลงมือทุกรูปแบบอย่างนี้อย่าบอกนะว่าสิ่งที่เจ้าได้รับในตอนนี้มันยังไม่เพียงพอ?”เวินอ๋องบันดาลโทสะ ดวงตาทั้งสองแดงก่ำไปด้วยเลือด

สาวรับใช้หน้าประตูที่กำลังยกสำรับน้ำชากำเตรียมจะเข้าไปได้ยินเสียงอึกทึกของคนสองคนที่อยู่ภายในก็รีบหลบหนีไป

เย่เซียวหลัวที่ร่างกายเจ็บอยู่แล้วยิ่งเจ็บเข้าไปอีก นางพยุงตัวกับเก้าอี้ พยายามที่จะยืนขึ้นแต่กลับไม่สามารถทำตามที่ใจต้องการได้

ที่แท้เหอซื่อไม่ได้ตาย นางมันโง่ไปเองที่คิดว่าการที่ตนส่งคนออกไปสืบข่าวก็สามารถรู้รายละเอียดชัดเจน ไร้ข้อผิดพลาด

ถือว่านางคิดผิดไป บนโลกใบนี้ที่สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดก็คือหัวใจมนุษย์ นาง*พันไม่ควรหมื่นไม่ควรคิดว่าตัวเองสามารถต่อกรกับเหอซื่อได้เลย

“ท่านอ๋อง ท่านถามว่าข้าต้องการอะไร จนตอนนี้ท่านยังไม่รู้อีกงั้นรึ?” เย่เซียวหลัวหัวเราะเยาะตัวเองเสียงเย็น นัยน์ตาจ้องมองไปที่เวินอ๋อง

แต่งให้เขามาหนึ่งปีกว่าแต่เขากลับไม่เคยมอบตัวเองให้แก่นางเลย ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่นางต้องการมากที่สุด

แรกเริ่มนางวางแผนการมากมายเพื่อที่ตัวเองจะได้เข้ามาอยู่ในตำหนักเวินอ๋อง ไม่สนฐานะ ไม่สนตำแหน่ง ขอเพียงนางได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเขาก็เพียงพอแล้ว

นางยอมบ้าคลั่งเพื่อเขา เทิดทูนบูชาเขา เปลืองแรงเพื่อเขาไปไม่รู้เท่าไหร่ ในใจมีเพียงเขาคนเดียว เมื่อเขายิ้มนางก็รู้สึกว่าความทุกข์ทั้งปวงได้กลายเป็นความสุข ยามเขาไม่สบายใจ นางก็ยินดีบุกน้ำลุยไฟเพื่อค้นหาสาเหตุ ยามเขาเจ็บ นางก็เกลียดที่ตนไม่สามารถสร้างบาดแผลบนร่างตัวเองเพื่อเจ็บไปพร้อมกับเขาได้

ที่น่าเสียดายก็คือทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นนางที่รักเขาอยู่ฝ่ายเดียว ในสายตาเขามันเป็นเพียงเรื่องชวนขบขันเท่านั้น ซ้ำในตอนท้ายยังหันกลับมาถามว่านางต้องการอะไรกันแน่?

“เย่เซียวหลัว ข้าไม่รู้จุดมุ่งหมายแท้จริงของเจ้าและไม่อยากจะรู้ แต่ว่าหากเจ้ายังกล้าหลอกข้าอีก ข้าจะให้เจ้าจ่ายราคาของมัน” เสียงของเวินอ๋องเย็นเฉียบราวกับลำธารในฤดูหนาว

สำหรับเย่เซียวหลัว นี่คือคำเตือนที่ปวดร้าวที่สุดในโลก

ราคางั้นหรือ? ตั้งแต่ที่นางแต่งให้กับเขามีวันไหนบ้างที่นางไม่ได้จ่ายราคา? ที่แล้วมาเป็นเพราะนางเต็มใจที่จะได้อยู่ข้างๆเขามันจึงกลายเป็นการชดเชยที่ดีที่สุดก็เท่านั้นเอง

นางค่อยๆลุกขึ้นอย่างยากลำบากราวกับทั้งหมดที่อยู่รอบข้างล้วนไม่เกี่ยวข้องกับนาง

ปลายเท้าก้าวไปหาเวินอ๋องทีละก้าว เอ่ยเสียงต่ำหนักแน่น “ท่านอยากให้ข้าจ่ายราคาค่าอะไรงั้นรึ? อยากกำจัดข้าหรือว่าอยากทำให้ข้ารู้สึกอยู่ไม่สู้ตาย ทำลายข้า? ต่อให้ท่านทำจริงข้าก็ไม่กลัว! ข้าเย่เซียวหลัวตั้งแต่แต่งเข้ามาในจวนเวินอ๋องแห่งนี้ก็ทิ้งเรื่องเป็นตายไปจากสมองตั้งนานแล้ว”

ประโยคสุดท้ายนั้นราวกับนางได้เค้นความกล้าที่ตนสะสมมาทั้งชีวิตเพื่อพูดในออกมา ในอกสั่นสะท้านเหมือนจะขาดอากาศหายใจ

เวินอ๋องตะลึงจนเผลอก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว มองเย่เซียวหลัวที่อยู่เบื้องหน้าตะโกนประโยคนั้นออกมา

ที่นางบอกว่าทิ้งเรื่องเป็นเรื่องตายออกไปจากสมองนั่นหมายความว่าอย่างไร? อย่าบอกนะว่าเมื่อนางแต่งเข้าจวนเวินอ๋องก็ไม่เคยคิดที่จะมีชีวิตอย่างสงบสุขงั้นรึ?

“เจ้า” เวินอ๋องรู้สึกหดหู่ปนตะลึง น้ำเสียงก็ไม่ได้มีแผ่อายเข่นฆ่าเช่นเดิม “เย่เซียวหลัว ใครอนุญาตให้เจ้าขึ้นเสียงกับข้า?”

เย่เซียวหลัวเอียงศีรษะ ใช้สายตาที่ตัวเองคิดว่าเย็นชาที่สุดมองไปยังเขาจากนั้นก็จากไปโดยไม่เอ่ยอะไรแม้เพียงคำเดียว

“เจ้า เย่เซียวหลัวเจ้ากลับมานี่เดี๋ยวนี้!” เวินอ๋องเร่งตามออกไป แต่เงาของเย่เซียวหลัวได้กลืนหายไปหิมะเบื้องนอกเสียแล้ว

สายลมฤดูหนาวพัดผ่านอย่างผิดปกติราวกับสะท้อนจิตใจที่ยุ่งเหยิงของสตรี

ดงหัวเยี้ยนตั้งแต่ต้นจนจบล้วนสงบเงียบ ละอองหิมะด้านนอกพัดผ่านอย่างอ้อยอิ่ง โล่หวินหลานซุกสองมือไว้ในเสื้อคลุม ยืนอยู่บนระเบียงยาวมองดูทัศนียภาพเบื้องนอก

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่นางเปลี่ยนมาชอบฤดูหนาว

โล่หวินหลานยื่นมือออกไปนอกระเบียงช้าๆ ละอองหิมะตกลงกลางฝ่ามือของนางไม่ทันไรก็ถูกความร้อนจากมือละลายจนกลายเป็นเพียงน้ำ

ทันใดนางมือเล็กๆข้างหนึ่งก็ดึงมือของโล่หวินหลานกลับเข้ามาแล้ววางลงบนกระถางอังมือ

“องค์หญิง ฤดูหนาวเช่นนี้ไม่ควรนำมือออกมาข้างนอกนะเพคะ ระวังโดนน้ำแข็งกัดเอานะเพคะ” ไซ่เยว่บอกเสียงเบาอย่างใส่ใจ

โล่หวินหลานเก็บมือ เอ่ยว่า “แผลที่เกิดจากการโดนน้ำแข็งกัดเพราะผิวหนังถูกความเย็นสะสมเป็นเวลานาน ทำให้เส้นเลือดแดงหดตัวลง พอนานเข้าก็เลยรู้สึกชาและกระจายเป็นวงกว้าง เส้นเลือดดำเกิดภาวะหยุดนิ่ง ทำให้อวัยวะส่วนที่เลือดไปเลี้ยงทำงานได้ไม่ดีจนส่วนนั้นๆเกิดปัญหาจนลามไปถึงขั้นเนื้อเยื่อตาย เจ้าก็เห็นว่าข้าพกกระถางอุ่นอยู่ทุกวัน วางใจเถอะ”

ไซ่เยว่ฟังจนสมองงงงวย ย่นคิ้วถามสงสัยว่า “องค์หญิง ท่านกล่าวถึงผิวหนังเส้นเลือดอะไร เนื้อเยื่อตายอะไรกันเพคะ? แค่สัมผัสเส้นเลือดใต้ผิวหนังก็สามารถตายได้หรือเพคะ?”

ได้ยินไซ่เยว่เอ่ยเช่นนั้นโล่หวินหลานหัวเราะหึๆออกมา

สำหรับพวกนางบางทีเรื่องนี้คงจะเข้าใจยากเกินไป แต่สำหรับคนที่อ่านตำราแพทย์ทั้งในยุคปัจจุบันหรือยุคโบราณอย่างโล่หวินหลานนั่นกลับไม่มีอะไรยากเลย

“เข้าช่วงที่หนาวที่สุดแล้วของฤดูแล้ว ทำตัวให้อุ่นไว้ย่อมดีที่สุด ไซ่เยว่ เวลาเจ้าทำความสะอาดของใช้ก็จงใช้น้ำร้อนล้างเถอะ!” โล่หวินหลานหมุนกายหลับเข้าไปในห้อง

เพิ่งก้าวเข้ามาในตำหนักยังนั่งไม่ทันไรไซ่เยว่ก็เดินอย่างเร่งรีบเข้ามา

“องค์หญิง อ๋องหลัวพาพระชายาอ๋องหลัวมาเพคะ” ไซ่เยว่มองโล่หลิวหลางอย่างตกใจ ไม่รู้ว่าหลัวอ๋องมาที่นี่ทำไม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก