ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 292

ตอนที่ 292 ขอบคุณ

อ๋องหลัว โล่หวินหลานเผยยิ้มบาง

ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ตนช่วยรักษาขาให้เขาที่ลานล่าสัตว์ นับๆวันดูเวลานี้ก็คงดีขึ้นไม่น้อยแล้ว

“รีบเชิญพวกเขาเข้ามาเร็วเข้า” โล่หวินหลานวางพู่กันลง เก็บกระดาษที่ตนกำลังฝึกเขียนอักษรออก

ไซ่เยว่รับคำแล้วก็รีบออกไปทันที

นี่เป็นหนแรกตั้งแต่ที่นางมายังดงหัวเยี้ยนแล้วได้ยินโล่หวินหลานใช้คำว่า “รีบเชิญเข้ามา” กับแขก

ต่อให้เป็นหมิงอ๋อง เวินอ๋องหรือแม้แต่รัชทายาทก็ไม่เคยได้รับเกียรติเช่นนี้ หากแต่เป็นอ๋องหลัวที่มีชีวิตธรรมดาสามัญที่สุด แม้ฝ่าบาทจะทรงเอ็นดูเมตตาแต่ก็มิได้รับความสำคัญ

ภายในห้องโถงหลักของตำหนักสว่างไปด้วยแสงจากเปลวเทียน อ๋องหลัวนั่งอยู่ด้านข้างมีพระชายาอ๋องหลัวที่ช่วยพยุงเท้าของเขาขึ้นมาเอ่ยถามเขาว่าอย่างนี้สบายดีหรืออย่างไม่ใส่ใจ

ความรู้สึกที่ทั้งสองมีต่อกันดูไปแล้วก็เหมือนกับกำแพงแข็ง โล่หวินหลานราวกับเห็นตัวเองกับโม่ฉีหมิงเมื่อครั้งก่อนโน้นอย่างไรอย่างนั้น

มาวันนี้เรื่องราวล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีเรื่องราวในอดีตหลงเหลืออยู่อีกแล้ว

“อ๋องหลัวกับพระชายาอ๋องหลัวเสด็จมา เหอซื่อขอประทานอภัยที่ไม่ได้ไปรับเสด็จเพคะ” โล่หวินหลานทักทายทั้งสอง ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ

“เป็นพวกเราที่รีบร้อนมากันเอง ไม่ทันได้บอกองค์หญิงล่วงหน้า วันนี้พอดีได้พาพระชายามาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อก็เลยนึกถึงบุญคุณที่องค์หญิงเคยช่วยข้าไว้เมื่อคราวที่ลานล่าสัตว์จึงขอประทานอนุญาตจากเสด็จพ่อมาที่นี่เพื่อแสดงความขอบคุณ” หลัวอ๋องพูดจบก็ปรบมือ จากนั้นด้านหลังก็ปรากฏนางกำนัลคนหนึ่ง สองมือของนางกำลังถือกล่องของขวัญอยู่

ที่แท้ก็ขออนุญาตฮ่องเต้เจียเฉิงมานี่เอง อ๋องหลัวเป็นบุตรชายที่ฮ่องเต้เจียเฉิงรักใคร่ที่สุด ทั้งยังไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องแต่งงาน การที่เขามาที่นี่เพื่อขอบคุณก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่

ตั้งแต่ต้นจนจบรอยยิ้มก็ประทับอยู่บนหน้าของโล่หวินหลาน

“อ๋องหลัว การรักษาผู้ป่วยเป็นจรรยาบรรณของหมอ ต่อให้ตอนนั้นคนเจ็บไม่ใช่พระองค์ เหอซื่อก็จะรักษาให้อยู่ดีเพคะ คำขอบคุณของพระองค์เหอซื่อได้รับแล้ว เพียงแต่ว่าของขวัญเหล่านี้ท่านอ๋องได้โปรดนำกลับไปด้วยเถอะเพคะ” โล่หวินหลานปฏิเสธอย่างนอบน้อม

ในเมื่อในไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแล้วจะต้องการของล้ำค่าพวกนี้ไปทำไมกัน?

อย่างคาดไม่ถึงอ๋องหลัวกลับเรียกให้คนนำวางของขวัญไปวางไว้บนมือของนางกำนัลด้านข้าง ท่าทางแสดงออกมาว่าต้องการให้นางรับไปให้ได้

“องค์หญิง ของขวัญเหล่านี้ความจริงแล้วข้าไม่ได้เป็นคนเลือก ตอนที่ข้าไปขออนุญาตเสด็จพ่อพระองค์ก็สั่งให้จ้าวกงกงไปเลือกของจากคลังสมบัติเพื่อให้ข้านำมาให้เจ้า ในใจของเสด็จพ่อเห็นว่าข้ายังเป็นเด็กทุกเรื่องจึงช่วยคิดอ่านแทนข้าทั้งหมด ใครจะรู้ว่าข้าเองก็มีของมาให้องค์หญิงด้วยเช่นกัน” หลัวอ๋องเอ่ยถึงความเอ็นดูที่ฮ่องเต้เจียเฉิงมีต่อตนทั้งตาและคิ้วก็แฝงไปด้วยรอยยิ้ม

บุตรชายที่ฮ่องเต้เจียเฉิงผู้นี้โปรดปรานเอ็นดู ไม่รู้ว่าเส้นทางข้างหน้าของเขาจะไปไกลได้ถึงเท่าไหร่กัน....

โล่หวินหลานหยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะดึงสติกลับมา “ในเมื่อเป็นของที่ฝ่าบาททรงเลือก เช่นนั้นหม่อมฉันจะไม่รับไว้ก็คงไม่ได้”

กล่าวจบก็ให้นางกำนัลที่อยู่ด้านข้างช่วยรับของขวัญทั้งสองอย่างนั้นแทนตน

“ท่านรีบเอาของขวัญออกมาให้องค์หญิงดูว่าชอบหรือไม่เร็วเข้า!” พระชายาอ๋องหลัวเห็นเขายังไม่ขยับก็ยื่นมือออกไปแตะที่ข้อมืออีกฝ่าย

ในแววตาของนางทอประกายอ่อนโยนยามมองไปที่อ๋องหลัวก็เปี่ยมไปด้วยความรัก

เหมือนจริงๆ พวกเขาเหมือนนางกับโม่ฉีหมิงเมื่อก่อนนี้จริงๆ

โล่หวินหลานก้มหน้าไม่มองอีก ดึงตัวเองออกมาจากความทรงจำอันแสนเจ็บปวดนั่น

เห็นแค่อ๋องหลัวที่ก้มตัวลงดึงป้ายหยกออกมาจากอกออกมาหนึ่งแผ่น ขนาดของป้ายหยกนั้นพอๆกับนิ้วหัวแม่มือด้านบนสลักเป็นรูปพยัคฆ์หนึ่งตัว เมื่อดูผ่านๆก็ดูคล้ายว่าพยัคฆ์ร้ายตัวนั้นกำลังอ้าปากคำราม

โล่หวินหลานไม่เคยเห็นป้ายหยกชิ้นนี้มาก่อนจึงไม่ทราบว่าสิ่งนี้มีความพิเศษอย่างไร

“องค์หญิง ตอนที่ข้าอยู่ที่ตำหนักก็ขบคิดถึงเรื่องมานาน คิดไปคิดมาหากเป็นอย่างอื่นก็ดูจะไร้รสนิยมเกินไป มีเพียงแต่สิ่งนี้นี่ที่องค์หญิงน่าจะสามารถใช้ได้” อ๋องหลัวมอบป้ายหยกให้แก่นางกำนัลข้างกาย ให้นางส่งต่อให้กับโล่หวินหลาน

สัมผัสเย็นเฉียบเมื่อวางลงบนมือก็รู้สึกเย็นขึ้นมา โล่หวินหลานมองดูซ้ายทีขวาทีรู้เพียงแต่ว่าหยกชิ้นนี้ไม่ว่าจะเป็นสีหรือคุณภาพล้วนแต่เป็นของชั้นหนึ่ง

“อ๋องหลัว ป้ายหยกชิ้นนี้คือสุดยอดหยกในหมู่หยกด้วยกัน ฝีมือแกะสลักก็ละเอียดประณีตยิ่งนักเพคะ” โล่หวินหลานเอ่ยชม

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ อ๋องหลัวก็กล่าวด้วยท่าทางภูมิใจ “เสด็จพ่อมอบให้แก่ข้า เมื่อเจ้านำป้ายหยกชิ้นนี้ไปที่ใด ขอเพียงที่นั่นมีคนของราชสำนัก พวกเขาล้วนฟังคำสั่งของเจ้า”

ที่แท้ป้ายหยกนี้ใช้สำหรับเรียกใช้คนของวังหลวงจากทั่วแคว้นโม่ฉี ดูท่าแล้วฮ่องเต้เจียเฉิงคงกังวลเรื่องความปลอดภัยของอ๋องหลัวจึงมอบสิ่งนี้ให้เขา นางที่เป็นเพียงองค์หญิงเล็กๆคนหนึ่งจะเอาไปได้เช่นไรกัน?

อีกอย่างนางที่เป็นองค์หญิงถือเที่ยวถือป้ายหยกขององค์ชายออกไปเดินเตร่ข้างนอกคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่

สีหน้าโล่หวินหลานสงบลง ยิ้มกับอีกฝ่ายแล้วเอ่ยว่า “อ๋องหลัวเพคะ ป้ายหยกชิ้นนี้เหอซื่อไม่อาจรับไว้ ท่านนำกลับไปจะดีกว่า”

ได้ยินโล่หวินหลานปฏิเสธตนอีกครั้งสีหน้าของอ๋องหลัวก็มีความร้อนรนเล็กน้อย เขากำหยกในมือแน่นพยายามยัดใส่มือไซ่เยว่

“ทำไมถึงไม่อยากได้ล่ะ เมื่อครู่เป็นน้ำใจจากเสด็จพ่อส่วนสิ่งนี้เป็นน้ำใจจากข้า ถ้าเจ้าไม่รับไว้อย่างนั้นก็หมายความว่าเจ้าไม่รับคำขอบคุณจากข้าน่ะสิ” อ๋องหลัวกล่าวเสียงเร่งรีบทั้งร่างผลุดลุกขึ้นยืน

อ๋องหลัวเป็นเพียงคนที่มีจิตใจเหมือนเด็ก ยามชอบใครรู้เพียงต้องดีต่อคนคนนั้น นำของดีๆมอบให้แก่นาง

แต่ว่ากลับไม่ได้รู้เลยว่าของสิ่งใดเหมาะสม สิ่งใดไม่เหมาะสม

“อ๋องหลัว เชิญท่านนั่งลงก่อน ที่องค์หญิงไม่รับไว้คงเพราะนางมีเหตุผลของนาง องค์หญิงป้ายหยกแผ่นนี้ติดตัวท่านอ๋องมาหลายปี นอกจากข้าและเสด็จพ่อแล้วก็ไม่มีคนอื่นเคยเห็นมาก่อน” พระชายาอ๋องหลัวเป็นผู้ที่เป็นเลิศทั้งรูปโฉมและสติปัญญา คงคาดเดาได้ว่าโล่หวินหลานในใจคิดอะไรอยู่

แม้แต่พระชายาอ๋องหลัวก็ยังเห็นด้วยที่จะส่งมอบป้ายหยกนี้ให้นาง บางทีนี่อาจเป็นความคิดที่ทั้งสองได้พิจารณามาเป็นอย่างดีแล้วจึงมาที่นี่เพื่อขอบคุณเป็นแน่

แต่ไม่ว่าเรื่องจริงจะเป็นอย่างไร โล่หวินหลานก็ไม่สามารถรับหยกชิ้นนี้ไว้ได้

“อ๋องหลัวเพคะ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ฝ่าบาทมอบให้ท่าน เป็นของที่บิดาให้แก่บุตรที่พระองค์ทรงรัก ทั้งยังเป็นของที่ใช้สำหรับคุ้มครองบุตรชายของพระองค์ พระองค์หวังว่าไม่ว่าท่านไปที่ใดก็จะไม่ได้รับอันตราย วันนี้ท่านมอบมันให้แก่หม่อมฉัน นี่ไม่ใช่ว่าท่านปฏิเสธความรักที่ฮ่องเต้เจียเฉิงมีแต่ท่านหรอกรึเพคะ? อีกทั้งหม่อมฉันก็ยังกลายเป็นผู้ร้ายไปเสียแล้ว?” โล่หวินหลานค่อยๆบีบถามทีละคำถามจนอ๋องหลัวพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว

เขาใบหน้าแข็งค้างนั่งลงบนเก้าอี้อย่างตกใจ อายุยังเยาว์ เรื่องราวก็ยังผ่านมาไม่เท่าใด เพียงพูดไม่กี่ประโยคก็ทำเขาตกใจจนเป็นแบบนี้ไปเสียได้

พระชายาอ๋องหลัวเงียบไปครู่หนึ่งจึงค่อยๆดึงแขนเสื้อของอ๋องหลัว “ท่านอ๋อง...”

อ๋องหลัวกลับผุดลุกขึ้น สมองยังคงคิดถึงประโยคที่โล่หวินหลานพูด ยกสองมือประสานคารวะ

“ที่องค์หญิงพูดมาล้วนถูกต้อง เป็นข้าคิดไม่รอบคอบเอง ครั้งหน้า ครั้งหน้าข้าจะหาของเล่นสนุกๆชิ้นอื่นมาให้องค์หญิงแทน”

เขาเป็นถึงบุตรชายของฮ่องเต้ แต่นางเป็นแค่องค์หญิงเท่านั้น โล่หวินหลานรีบลุกขึ้นรีบค้อมกายคารวะกลับไป

“ได้เพคะ เช่นนั้นเหอซื่อจะรอให้ท่านอ๋องกลับมา” โล่หวินหลานกล่าวจบก็ให้ไซ่เยว่ส่งพวกเขาสองคนกลับ

พระชายาอ๋องหลัวช่วยพยุงอ๋องหลัว เพิ่มความระมัดระวังขณะทั่งคู่ก้าวลงขึ้นบันไดจากนั้นก็ปีนขึ้นเกี้ยวที่รอรับอยู่ด้านดงหัวเยี้ยน

การนั่งเกี้ยวในฤดูหนาวนั้นเดินทางได้ค่อนข้างช้า พระชายาอ๋องหลัวย่นคิ้วใบหลิวของตนขณะหันไปถามอ๋องหลัวที่อยู่ข้างๆ “ท่านอ๋อง ท่านไม่เป็นอะไรนะเพคะ?”

“ไม่เป็นไร เจ้าว่าองค์หญิงเหอซื่อคนนี้ก็น่าสนใจไม่น้อยใช่รึไม่ สามารถมองเห็นเรื่องราวได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจ้าว่าข้าผิดหรือไม่ที่คิดส่งป้ายหยกนี่ให้นาง?” อ๋องหลัวชูป้ายหยกในมือขึ้นขยับหมุนไปมาตรงหน้า

พระชายาอ๋องหลัวยิ้มรับ “ท่านอ๋องจะผิดได้เช่นไร ถ้าองค์หญิงไม่ชอบก็ช่างเถิด มาครั้งหน้าค่อยมอบของตอบแทนอย่างอื่นให้แทนก็พอแล้วเพคะ”

อ๋องหลัวผงกศีรษะ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันยิ้มให้กับพระชายาอ๋องหลัวที่อยู่ด้านข้างอย่างรู้ใจ

ในวังหลวงแห่งนี้นอกจากฮองเฮาและบรรดากุ้ยเฟยที่สามารถใช้เกี้ยวคนหามได้แล้ว เหล่าองค์ชายองค์หญิงต่างก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้สิ่งนี้ อ๋องหลัวผู้นี้ต่างก็เป็นบุคคลที่ทุกล้วนรู้ว่าเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มากที่สุด

เกี้ยวเพิ่งขยับไปได้ไม่กี่ก้าวด้านหน้าก็มีเสียง “เพล้ง” ดังขึ้นมา กำลังจะชนเข้ากับกับแพงด้านหน้า

เกี้ยวสั่นไปมาอยู่สองครั้ง การสั่นสะเทือนนี้ส่งให้คนทั้งสองที่อยู่ด้านบนพาลสะเทือนไปด้วยเช่นกัน อ๋องหลัวรีบยื่นมือไปปกป้องพระชายาที่อยู่ด้านหน้า

“ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้นเพคะ?” พระชายาอ๋องหลัวที่ยังคงเหลือความหวาดกลัวจากครั้งก่อนเอ่ยถามขึ้น เคราะห์ดีที่มีอ๋องหลัวช่วยจับไว้นางจึงไม่ตกลงไป

บ่าวรับใช้ที่ทำหน้าที่แบกเกี้ยวรีบคุกเข่าลง “ท่านอ๋องได้โปรดระงับโทสะ อยู่ๆด้านหน้าก็มีกำแพงประหลาดนูนขึ้นมาปิดเส้นทางของพวกเราพะย่ะค่ะ เมื่อครู่พวกเราหยุดไม่ทันจึงได้ชนเข้ากับมันพะย่ะค่ะ”

“กำแพงนูนออกมางั้นรึ? ที่นี่เป็นถนนสายยาว จะมีกำแพงได้อย่างไร เป็นเพราะพวกเจ้าไม่ระวังชนกำแพงเสียเองจึงปั้นเรื่องกำแพงนี่มาหลอกข้างั้นรึ” อ๋องหลัวย่นคิ้วมองขันทีตรงหน้า น้ำเสียงฟังไม่ดี

บ่าวที่ยกเกี้ยวรีบทรุดตัวคุกเข่าลง

“บ่าวมิกล้ากล่าวเท็จกับท่านอ๋องพะย่ะค่ะ ขอเชิญท่านอ๋องลงมาตรวจสอบ”

พระชายาอ๋องหลัวที่สงบใจได้แล้ววางมือเรียวยาวราวหยกลงกับบนมือของอ๋องหลัวลงจากเกี้ยว

“ท่านอ๋องเพคะ มิสู้พวกเราลงไปดูก่อนค่อยว่ากัน ด้านหน้าเป็นตำหนักของหลงเหนียงเหนียง ดูแล้วกำแพงนี่คงมาจากด้านใน พวกเราไม่สู้ไปดูกันว่าเกิดอะไรกันดีมั้ยเพคะ?” พระชายาอ๋องหลัวที่มีความคิดรอบคอบรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานก็ตัดสินใจได้ทันที

หลงเหนียงเหนียง? หรงฝิน?

รู้สึกว่าหลายปีแล้วที่ไม่ได้เจอ ความทรงจำของอ๋องหลัวราวกับค่อยๆพัดพาคนคนนี้ที่ลืมเลือนไปให้กลับมา

“หลายปีแล้วที่ข้าไม่ได้พบหลงเหนียงเหนียง พวกเราเข้าไปคารวะนางสักรอบกันเถอะ” อ๋องหลัวเงยหน้ามองตัวอักษรสีทองตัวใหญ่เหมือนเมื่อครั้งตนยังเยาว์วัยที่ได้เห็นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

ตรงอีกมุมของถนนมีเงาร่างหนึ่งคอยมองอยู่ด้านหลังพวกเขา ครั้นเมื่อเห็นพวกเขาเข้าไปในตำหนักของหรงฝินแล้วก็รีบหันหลังวิ่งจากไป

คนผู้นั้นวิ่งตรงไปยังทางดงหัวเยี้ยน สีหน้ารีบร้อนยิ่งนัก

“องค์หญิงเพคะ อ๋องหลัวกับพระชายาเข้าไปในตำหนักของหรงฝินแล้วเพคะ” เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโถงไซ่เยว่ก็รายงานอย่างรวดเร็ว

โล่หวินหลานวางถ้วยชาที่อยู่ในมือลง พยักหน้าเบาๆ

“องค์หญิงเพคะ ท่านล่อให้อ๋องหลัวกับพระชายาอ๋องหลัวเข้าไปที่นั่นเพื่ออะไรกันรึเพคะ?” ไซ่เยว่ถามอย่าไม่เข้าใจ

เมื่อครู่ที่พูดคุยกับอ๋องหลัวนานขนาดนั้นก็เพื่อที่จะชักนำให้พวกเขาเข้าไปในตำหนักของหรงฝิน พวกเขาเข้าไปที่นั่นเวลานี้ถือว่ากำลังพอดีเลย

“ดูแล้วขันทีคนนั้นที่ถูกจับได้เมื่อวานคงถูกหรงฝินพบตัวแล้วกระมัง เดาว่าเวลานี้หรงฝินคงกำลังทำการสอบสวน หากอ๋องหลัวเข้าไป ด้วยความที่เป็นผู้รักความถูกต้องเขาย่อมไม่ปล่อยขันทีคนนั้นไปแน่” โล่หวินหลานหรี่ตาลง

ไซ่เยว่พยักหน้า ที่แท้ความคิดของนางก็เป็นเช่นนี้

ที่แท้ก็ได้คำนวณเวลาที่หรงฝินพบตัวคนกับเรื่องทำการสอบสวนเอาไว้แล้ว ทั้งยังชักนำให้หลัวอ๋องเข้าไปที่นั่นอีก

วิธีการคำนวณและวางแผนการเช่นนี้ยังเหนือชั้นกว่าโม่ฉีหมิงเสียอีก

หากทั้งสองอยู่ด้วยกันเกรงว่าคงเป็นคู่ที่เหมาะสมกันที่สุดแล้ว

“พระชายา เช่นนั้นพวกเรายังต้องทำอะไรอีกรึไม่เพคะ?” ไซ่เยว่ถามอย่างสงสัย

โล่หวินหลานสั่นศีรษะ “ไม่ต้องแล้ว เจ้าไปทำเรื่องของตัวเองเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่คนเดียวสักครู่”

ได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ไซ่เยว่ก็พยักหน้าก่อนจะเดินออกจากไป

ในอีกด้าน เรื่องราวมากมายล้วนได้เกิดขึ้นแล้ว

ขันทีผู้นั้นถูกมัดไว้ด้วยเชือก คุกเข่าอยู่ในโถงตำหนัก หรงฝินใบหน้าแข็งกระด้างมองไปยังเขา

“พูด ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?” หรงฝินถามเสียงเย็น

ขันทีผู้นั้นข่มใจอดทน กัดฟันไม่ยอมเอ่ยคำออกมา

“ไม่ยอมพูดงั้นรึ เด็กๆ ไปเอาถ่านเข้ามา!” นางไม่เชื่อหรอกกว่าจะง้างปากของขันทีที่วางยางพิษผู้นี้มิได้

เมื่อได้ยินคำสั่งนางกำนัลก็รีบวิ่งออกไป

ไม่ทันได้มองว่ามีผู้ใดมารึไม่ อ๋องหลัวเห็นนางกำนัลรีบร้อนวิ่งออกไปทั้งยังคนมากมายที่อยู่ภายในที่ล้วนก็เผยสีหน้าแข็งกระด้างออกมาเขาก็คาดเดาได้ว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก