ตอนที่ 293 แต่งกับหญิงรับใช้
“หลงเหนียงเหนียง ที่นี่ครึกครื้นถึงเพียงใช่ว่าเพราะเกิดเรื่องใดขึ้นรึไม่?” อ๋องหลัวช่วยพยุงพระชายาเดินเข้ามาภายใน
สีหน้าของเขาได้กลับมาสงบเหมือนปกติดังเดิมไร้ซึ่งแววความตื่นตระหนกใดๆขณะที่พระชายาอ๋องหลัวก็มีรอยยิ้มจางๆประทับอยู่บนริมฝีปาก
“เหตุใดวันนี้หลัวอ๋องจึงว่างมาตำหนักหม่อมฉันเได้เพคะ? หม่อมฉันจึงมิทันได้เตรียมน้ำชาที่ทรงโปรดไว้ให้เลย พระชายาอ๋องหลัวยิ่งเติบใหญ่ก็ยิ่งงดงามชวนประทับใจเสียจริง มาๆๆ ให้หลงเหนียงเหนียงดูใกล้ๆหน่อยเถิดเพคะ” เมื่อเห็นทั้งสองก็ทำให้หรงฝินหวนนึกไปถึงความทรงจำดีๆเมื่อครั้งวันวาน
เอ่ยไปก็ยันกายลุกขึ้นดึงมือของพระชายาหลัวอ๋องให้ขึ้นมา
สั่งให้นางกำนัลสองคนช่วยกันขนเก้าอี้มาให้พวกเขาทั้งสอง ขันทีที่อยู่กับพื้นเบื้องล่างผู้นั้นมองทั้งสามทักทายเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบกันอย่างตกตะลึง
“หม่อมฉันไม่ได้เจอหลงเหนียงเหนียงเสียนาน วันนี้หม่อมฉันกับท่านอ๋องบังเอิญผ่านทางมาจึงแวะมาเยี่ยมท่าน ไม่นึกเลยว่าท่านยังคงดูอ่อนวัยดังเช่นวันวาน ช่างชวนให้คนริษยาโดยแท้เพคะ” พระชายาหลัวอ๋องปากหวาน เอ่ยชื่นชมอีกฝ่าย
“ไอ้หยา ข้าดูสาวที่ไหนกันล่ะ ช่างเจรจาเสียจริง” หรงฝินลูบไล้ใบหน้า รอยยิ้มแฝงความจืดเจื่อนอยู่สองสามส่วน
“อ๋องหลัว หม่อมฉันจำได้ว่าเมื่อท่านยังเด็กชอบกินขนมไส้พุทรากับซานเย่าแล้วก็ขนมหรูอี้ใช่รึไม่? อาหารทุกมื้อต้องมีของเหล่านี้ ตอนหลังเพราะกินมากไปจนฟันหลุดเสียหมด!” หลงผิงปิดปากหัวเราะแล้วจึงเบนสายตาไปยังพระชายาอ๋องหลัวที่อยู่ข้างๆ “แล้วพระชายาหลัวอ๋องชอบทานสิ่งใด ข้ายังไม่เคยรู้เลย”
ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้พระชายาหลัวอ๋องก็รีบบอกว่า “ขอเพียงท่านอ๋องชอบ หม่อมฉันล้วนชอบเพคะ”
เด็กสาวผู้นี้ช่างชวนให้ผู้คนลุ่มหลงเสียจริง ทำจนหรงฝินจับมือนางไม่ยอมปล่อย
กำชับให้นางกำนัลข้างๆไปยกขนมไส้พุทรากับซานเย่าแล้วก็ขนมหรูอี้แล้ว ทั้งสามคนคุยเรื่องทั่วไปสามสี่ประโยค อ๋องหลัวก็มองไปยังขันที่ถูกมัดอยู่เบื้องล่าง
“หลงเหนียงเหนียง ขันทีผู้นี้ทำผิดอะไรงั้นรึ?” อ๋องหลัวมองขนทีบนพื้น เอ่ยถามขึ้นอย่างสนใจ
เอ่ยถึงขันที หรงฝินที่เผลอลืมไปสนิทก็พลันนึกขึ้นได้ เอ่ยอย่างมีโทสะว่า “ขันทีผู้นี้แอบซ่อนยาพิษเอาไว้คิดจะลอบใส่ลงในอาหารของหม่อมฉัน เคราะห์ดีนางกำนัลไปพบเข้า มิเช่นนั้นคงเป็นไปตามที่เจ้านี่ต้องการ!”
ขันทีผู้นั้นเมื่อถูกชี้นิ้วคาดโทษก็ก้มศีรษะลงอย่างหวาดผวา
ตอนแรกมีแค่หรงฝินก็ช่างเถิด ตอนนี้ดันมีอ๋องหลัวโผล่เข้ามาอีกคน อ๋องหลัวผู้นี้มีความสามารถอยู่ไม่น้อย ได้ยินว่าเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้เจียเฉิงที่สุด
ดูภายนอกเหมือนเคร่งขรึมเป็นระเบียบ แต่ในความเป็นจริงกลับมิใช่ไม่หวังบัลลังก์มังกร
“กล้าวางยาพิษในวังหลวงแห่งนี้ โทษทัณฑ์ใหญ่หลวงยิ่งนักไยจึงไม่นำตัวส่งให้เสด็จพ่อเป็นผู้จัดการเล่า?” หลัวอ๋องเอ่ยอย่างมีโทสะ
“ช่วงนี้ฝ่าบาทมีเรื่องให้คิดมากพอแล้ว หม่อมฉันเองก็ไม่อยากให้เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไปทำให้พระองค์กังวล คิดเพียงว่าสืบสวนด้วยตัวเองเสร็จจึงค่อยส่งตัวให้กับกรมลงทัณฑ์ก็พอแล้ว” หลงผิงตอบ
หลัวอ๋องพยักหน้า ยังคงกล่าวต่อว่า “ขันทีตัวเล็กๆกลับใจกล้าถึงขั้นวางยาผินเฟย? หากไม่สืบสวนอย่างละเอียดจะรู้ได้อย่างไรว่าเพียงแค่มุ่งร้ายต่อเหนียงเหนียงคนเดียวหรือว่าเกี่ยวพันกับทุกคนในวังหลัง ในเมื่อพฤติกรรมน่าสงสัยถึงเพียงนี้แล้วมิสู้รีบรายงานแก่เสด็จพ่อน่าจะดีกว่ากระมัง”
“อ๋องหลัวเพคะหม่อมฉันได้เสียแรงถามเขาไปได้สักพักแล้วแต่ก็ไม่ได้สิ่งใด คาดว่าต่อให้บอกฝ่าบาทก็คงไม่ได้ช่วยอะไร ไม่สู้พวกข้าช่วยกันหาหลักฐานพบแล้วค่อยนำเรื่องรายงานแก่ฝ่าบาทน่าจะดีกว่านะเพคะ” หรงฝินคิดอย่างรอบคอบ นางเข้าใจฮ่องเต้เจียเฉิงเป็นอย่างดี
สำหรับเขาแล้วหากเป็นเรื่องไม่มีค่าเพียงพอเขาจะไม่สนใจรับฟังส่วนที่เหลือต่อ
“ในเมื่อเป็นขันทีในวังเช่นนั้นย่อมต้องมีบันทึกอยู่ในหนังสือทะเบียน ขอแค่ค้นดูก็จะรู้ทันทีว่าเป็นขันทีจากตำหนักไหน” หลัวอ๋องมองไปยังหรงฝิน
หรงฝินเดินไปมา ถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ขันทีผู้นี้ราวกับผุดมากลางอากาศ หาไม่เจอว่ามาจากที่ใด ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าหนังสือทะเบียนของวังหลวงว่ามีบันทึกไว้หรือไม่เลยเพคะ”
ที่แท้แม้กระทั่งทะเบียนของวังหลวงก็ไม่มีบันทึกไว้ ตกลงแล้วขันทีผู้นี้มีความสามารถถึงเพียงไหนกันถึงสามารถลักลอบเข้ามาถึงในวัง แม้แต่ร่องรอยสักนิดก็ไม่เหลือทิ้งไว้?
“เรื่องราวจัดการยากถึงเพียงนี้แล้วควรจะตรวจสอบอย่างไร? มันไม่ยอมเปิดปาก เส้นทางที่สามารถสืบต่อก็ถูกตัด หากส่งตัวต่อให้กรมลงทัณฑ์คงหลีกเลี่ยงการลงโทษไม่ได้ หากถูกตีจนตายก็เป็นเรื่องปกติ เช่นนั้นจะทำเช่นไร?” อ๋องหลัวขมวดคิ้ว สีหน้าไม่ดี
หรงฝินใบหน้าเย็นชา “บนโลกนี้ไม่มีกำแพงที่ลมไม่สามารถผ่านไปไม่ได้ฉันใด ข้าก็ไม่เชื่อว่ามันจะมีความสามารถถึงขั้นทำเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้แต่ไม่เหลือทิ้งเบาะแสเอาไว้!”
เวลานั้นเองนางกำนัลด้านนอกก็ยกถ่านไฟเข้ามาข้างใน ถ่านไฟร้อนที่ทั้งแดงทั้งสว่างวาบดูไปแล้วทั้งอบอุ่นทั้งชวนผวาในเวลาเดียวกัน
กระถางบรรจุถ่านไฟร้อนฉ่านั้นวางอยู่ตรงหน้าคนผู้นั้นแต่เขากลับไปสนใจชายตาแลสักนิดราวกับว่าสิ่งรอบข้างล้วนไม่เกี่ยวข้องกับตน ดวงตาทั้งสองของเขาทำเพียงมองไปยังพื้นเบื้องหน้าเท่านั้น
“เฉี่ยวเฉี่ยว เอาถ่านไฟยัดใส่ปากคนผู้นี้ มันไม่ใช่ว่าไม่ยอมพูดรึ เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดตลอดไปก็แล้วกัน” หรงฝินข่มขู่ น้ำเสียงมีความแข็งกร้าวไม่ยอมให้ผู้ใดปฏิเสธ
สีหน้าของขันทีผู้นั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อยจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ปิดปากกัดฟันแน่นเหมือนกับไม่เกรงกลัวที่ต้องสละชีวิตตนเอง
“ไม่ง่ายกว่าหลงเหนียงเหนียงจะจับผู้ร้ายได้ หากทำปากของมันพองจนพูดไม่ได้แล้วเช่นนั้นไม่กลายเป็นทำเรื่อง*ฉลาดให้กลายเป็นเรื่องโง่ไปหรอกรึ กลับยังเป็นการช่วยมันไปอีกทางด้วย?” อ๋องหลัวคิดไปมาก็รู้สึกว่าวิธีนี้ไม่เหมาะสมจึงเกลี้ยกล่อม
เอ่ยไปก็ใช่ จุดมุ่งหมายของนางไม่ใช่ว่าต้องการให้ขันทีผู้นี้พูดความจริงหรอกหรือ?
“เช่นนั้นท่านว่าควรจะทำเช่นไร?” หรงฝินมองเขา
อ๋องหลัวหยุดคิดไปครู่หนึ่ง “ที่จริงเรื่องนี้ไม่ยาก ในเมื่อขันทีผู้นี้ต่อให้ตีตายก็ไม่ยอมเอ่ยถึงผู้บงการหลังม่าน เช่นนั้นมันก็ต้องมีการติดต่อกับคนคนนั้นบ่อยๆ พวกเราก็แค่เอาเรื่องนี้ไปเปิดเผยข้างนอกดูว่าผู้ใดมีปฏิกิริยาเด่นชัดที่สุด ผู้ใดจะมาช่วยมัน เช่นนี้ก็รู้แล้วมิใช่รึ?”
ขันทีที่อยู่เบื้องล่างได้ยินเขากล่าวจบก็ร้องบอกทันที “ไม่มีผู้ใดมาช่วยข้า พวกเจ้าฆ่าข้าก็สิ้นเรื่องแล้ว ต่อให้ตรวจสอบพวกเจ้าก็ไม่พบสิ่งใดหรอก!”
ประโยคนี้ของเขาเพียงประโยคเดียวของเขายังดีกว่าการเอ่ยสิบประโยคเสียอีก ที่เขากระตือรือร้นบอกว่าไม่มีผู้ใดมาช่วยนั่นก็เป็นหลักฐานว่าคนผู้นั้นจะต้องมาช่วยเขาอย่างแน่นอน
หรงฝินสบตากับอ๋องหลัว ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการด้วยวิธีเช่นนี้เอง
“เด็กๆ ควบคุมตัวมันเอาไว้ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเข้าใกล้ทั้งนั้น”
วันรุ่งขึ้นก็คืองานเลี้ยงเลือกคู่ครอง
เมื่อเวลาสามวันได้พ้นไปแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าใดโล่หวินหลานก็ยิ่งรู้สึกไม่สงบเท่านั้น
วันนี้คือพิธีประลองของนางอย่างไม่ต้องสงสัย จะแพ้หรือชนะวันนี้จะได้รู้กัน แต่ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นรูปแบบใดนางก็คงไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของตัวเองได้
“องค์หญิงเพคะ วันนี้ท่านอยากหวีผมเป็นทรงอะไรดีเพคะ?” ไซ่เยว่ถือหวีไม้ในมือกำลังสางผมให้นางเบาๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก