ตอนที่ 296 ข้าสามารถช่วยเจ้าได้
เห็นแววตาสงสัยของฮ่องเต้เจียเฉิง เย่ฮองเฮาก็เก็บรอยยิ้มพอใจของตน กล่าวเสียต่ำว่า “ฝ่าบาท หากเรื่องนี้ไม่ตรวจสอบให้ชัดเจน จะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่เพคะ? ที่องค์หญิงเหอซื่อกล่าวมาไม่ผิด แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้ใครก็ได้เล็ดลอดเข้ามาในแคว้นของเรานะเพคะ!”
เย่ฮองเฮาความจริงไม่มีเรี่ยวแรงพอจะไปยุยงฮ่องเต้เจียเฉิงแล้ว
แม้แต่ที่วังหลังก็เช่นกัน ยามนี้คำกล่าวที่ว่าอายุมากรูปโฉมถดถอยกลายเป็นคำเรียกของนางไปแล้ว แม้จะเป็นฮองเฮาแต่ก็ไม่อาจต่อกรกับกาลเวลาได้อยู่ดี
ยิ่งกว่านั้นหลายมาปีนี้สาวงามกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าก็ทะลักเข้าสู่วังหลังและก็ได้กลืนกินนางไปทีละน้อย
หากไม่มีฐานะฮองเฮานี้ เกรงว่าฮ่องเต้เจียเฉิงเองก็คงลืมชื่อนางไปตั้งนานแล้ว
“ฮองเฮาพะย่ะค่ะ ในเมื่อแคว้นเซิ่นโจวส่งองค์หญิงมานั่นแสดงว่าพวกเขามีความตั้งใจที่จะแต่งงานกับแค้วนโม่ฉี ถึงแม้ว่าระหว่างนั้นจะมีเรื่องลับลมคมในก็ตาม แต่จุดหมายของพวกเราทั้งคู่ก็คือการที่สองแคว้นปรองดองสมานฉันท์” เวินอ่องถือแก้วสุรา คัดค้านเย่ฮองเฮาอย่างมั่นใจในตัวเอง
ที่แท้เวินอ๋องก็ช่วยพูดแทนนาง ทำไมอยู่ๆเขาถึงมายอมเปิดปากเอาเวลานี้?
โล่หวินหลานไม่ค่อยเข้าใจความหมายของพวกเขา
ฮ่องเต้เจียเฉิงพยักหน้า สะบัดมือไปมาแล้วหันไปหาเย่ฮองเฮา “เรื่องนี้ให้จบลงเท่านี้พอ ไม่ต้องกล่าวขึ้นมาอีกแล้ว วันนี้ทุกคนต่างก็เหนื่อยแล้วกลับกันก่อนเถอะ”
การเลือกคู่ครองอีกครั้งก็เหมือนกับการงมหาก้อนหินในมหาสมุทร เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงทั้งชีวิตขององค์หญิงเหอซื่อท้ายที่สุดก็ยังไม่ได้จัดการอย่างที่เหมาะสม
โล่หวินหลานลุกขึ้นยืนช้าๆ นอกจากโม่ฉีหมิงแล้วนางเกรงว่าเรื่องแต่งงานในครั้งนี้นางคงไม่ต้องเปลืองแรงเปลืองปัญญาแล้ว
นางหัวเราะเยาะตัวเอง เกรงว่าครั้งนี้นางคงเดาผิดไป
เงาหลังของคนมากมายค่อยๆทยอยออกจากท้องพระโรงไป เวลานี้ท้องฟ้ามืดแล้ว โล่หวินหลานมองแผ่นฟ้าสีดำเหนือศีรษะที่เงียบสงบนั่น ในอกไม่สามารถสงบลงได้อยู่นาน
คนจำนวนมากทยอยออกจากประตูวังไป จื๋อเอ่อคอยรั้งท้ายตามหลังโล่หวินหลานขณะทั้งคู่ตรงไปยังทางดงหัวเยี้ยน
เส้นทางที่พวกนางสัญจรไม่มีคน จื๋อเอ่อในที่สุดก็เปิดปากพูดอย่างอดไม่ได้
“แคว้นโม่ฉีรังช่างแกคน บิดาเป็นอย่างไรบุตรก็เป็นอย่างนั้น หากปล่อยไว้ในแคว้นโม่ฉีคงโดนคนถ่มน้ำลายใส่จนตายไปแล้ว” ไม่บ่อยครั้งนักที่จื๋อเอ่อจะพูดแบบนี้เกรงว่าวันนี้เขาคงโกรธขึ้นมาจริงๆแล้ว
ดีที่ตรงนี้ไม่มีคน ด้านข้างคือบ่อน้ำเล็กๆในสวนเขตพระราชฐาน อีกด้านคือสนามที่ปกคลุมด้วยผืนหญ้า ดูไปแล้ว
โล่หวินหลานหันหน้ากลับมามองเขา เอ่ยเสียงต่ำว่า “เรื่องนี้ห้ามเจ้าพูดขึ้นมาอีก ในใจรู้ก็เพียงพอแล้ว หากถูกคนจับจุดอ่อนนี้ได้เช่นนั้นจะลำบาก”
จื๋อเอ่อยังไม่พอใจ หันหน้ามองรอบๆ ตรงนี้ไม่มีใครสักคน
“องค์หญิงอย่าบอกนะว่ายอมกลืนโทสะครั้งนี้ได้? โดยเฉพาะโม่ฉีหมิง เขารังแกคนขนาดนี้เหตุใดพวกเราต้องยอมให้เขาด้วย? วันหน้าข้าจะต้องตีจนเขาหมอบให้ได้” จื๋อเอ่อเอ่ยอย่างโกรธแค้น
ได้ยินจื๋อเอ่อเอ่ยวาจามีโทสะ โล่หวินหลานก็ตระหนักว่าในใจเขารู้สึกแค้นเคืองมากเพียงนี้และก็ได้รับรู้แล้วว่าเขาถึงดีต่อนางถึงมากขนาดไหน
เวลานี้เขาไม่ถามตนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น กลับคิดเพียงว่าจะช่วยนางอย่างไร สรุปแล้วผู้ที่ยอมกรีดเลือดสาบาน บนโลกใบนี้มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่ไม่มีทางรังแกนาง
“เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเรื่องข้ากลืนหรือไม่กลืนโทสะอย่างที่เจ้าว่าแต่เป็นเรื่องที่ข้าจำต้องยอมกลืนมันลงไป ไม่ใช่เรื่องอดทนข่มเสียงแต่เพื่อที่สักวันพวกเราจะมีวันที่สามารถทำลายพวกเขาจนล้มได้ ” โล่หวินหลานมองเขาด้วยอารมณ์ราบเรียบ ไม่รู้ว่าเขาฟังเข้าใจที่นางกล่าวไปหรือไม่
“แต่ว่า...” ใบหน้าของจื๋อเอ่อยังคงเหลือสีหน้าไม่น่ามอง แต่เขาไม่อาจไม่ยอมรับความจริง
อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังอยู่บนแผ่นดินของผู้อื่น พรุ่งนี้จะเป็นหรือตายก็ไม่อาจรู้ได้
ในเวลานี้ด้านข้างพลันแว่วเสียงปรบมือฝ่าผ่านความมืดเข้าสู่หูของพวกเขา
จื๋อเอ่อดึงดาบออกมาจากข้างเอวของตัวเอง ใช้มันชี้ตรงไปทางเสียงนั้น “ผู้ใด? จงออกมา”
ที่มุมนั้นไม่ปรากฏเสียงออกมาครู่หนึ่ง ที่บริเวณนั้นมืดสนิทราวกับซ่อนเร้นพลังงานลึกลับเอาไว้ส่งให้พวกเขารู้สึกสงสัยไม่น้อย
ตอนที่จื๋อเอ่อทนไม่ไหวกำลังจะไปตรวจสอบอยู่นั่นเองร่างหนึ่งก็ปรากฏออกมาในที่สุด
“ที่องค์หญิงเหอซื่อกล่าวเมื่อครู่นั้นดีมาก ไม่คิดว่าองค์หญิงจะมีจิตสำนึกที่สูงส่งถึงเพียงนี้ช่างชวนให้ตกตะลึงโดยแท้!” เวินอ๋องก้าวออกมาจากเงามืด
จื๋อเอ่อรู้สึกคุ้นหน้าเขาอยู่บ้างที่แท้ก็คือคนที่อยู่ในท้องพระโรงโอรสคนที่หกของฮ่องเต้เจียเฉิง เวินอ๋อง
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงปรากฏอยู่ที่นี่ เขาควรจะกลับไปที่ตำหนักแล้วมิใช่หรือ?
โล่หวินหลานมองเขาแวบหนึ่งราวกับไม่อยากจะเสวนากับเขาจากนั้นค่อยหมุนร่างทำท่าจากไป
“บนแท่นนั่งนั้นข้าคือพระโอรส องค์หญิงให้ความเคารพยำเกรงต่อข้า ไยเมื่อพลิกร่างแล้วองค์หญิงจึงเปลี่ยนสีหน้ากลายเป็นไม่รู้จักข้าไปได้เสียล่า แม้ยามเจอข้าก็ยังไม่คารวะ?” ร่างสูงของเวินอ๋องมาหยุดอยู่ด้านหลังโล่หวินหลาน เอ่ยวาจาหยอกล้อ
เขตสวนพระราชฐานที่สว่างไสวด้วยแสงจากเปลวเทียนพาให้เงาร่างของพวกเขาสูงขึ้น โล่หลินหลานมองเงาของเขา เผยยิ้มอ่อนกล่าวว่า “จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไรกันเพคะ? หม่อมฉันกำลังรีบกลับดงหัวเยี้ยน ท่านอ๋องก็เชิญรีบกลับตำหนักเถอะเพคะ!”
เอ่ยจบนางก็ก้าวเท้าไปด้านหน้า หากแต่คนด้านหลังกลับเปิดปากขึ้นมาอย่างไม่ยอมเสียโอกาสไปง่ายๆ “คิดไม่ถึงว่าการที่องค์หญิงจะเอ่ยปากพูดกับข้าสักประโยคมันจะยากถึงเพียงนี้ งานเลี้ยงเพิ่งจบลงองค์หญิงคงไม่ยุ่งกระมัง?”
“ขออภัยท่านอ๋องด้วยเพคะ หม่อมฉันยุ่งมากจริงๆเพคะ” โล่หวินหลานไม่อยากเกี่ยวข้องกับเขาแล้วก็ไม่อยากคบค้าสมาคมกับเขาด้วย
เวินอ๋องที่ผ่านมาไม่ใช่คนดีอะไร ได้ยินนางปฏิเสธตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าก็เก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เสียที่เอ่ยออกมาจึงมีความเย็นชา “ท่านรีบร้อนปฏิเสธข้า? วันนี้ที่ท้องพระโรงดูท่าหัวใจขององค์หญิงคงทำลายจนเป็นโพรงแล้วกระมัง?”
ที่แท้เป้าหมายของเขายังเหมือนเดิมมิได้เปลี่ยนแปลง
คิดเพียงหาวิธีทาเกลือบนแผลผู้อื่น คนแบบนี้คิดไปคิดมาต่อให้มีชีวิตก็คงไม่มีความสุขนัก
“ท่านอ๋องต้องการพูดสิ่งใด” โล่หวินหลานเปิดทางให้
เวินอ๋องขึ้นมาบนสะพานอ้อมไปด้านหลังโล่หวินหลานมองดูแม่น้ำที่อยู่เบื้องล่าง เอ่ยขึ้นว่า “องค์หญิงเป็นคนฉลาด วันนี้ที่ข้ามาก็รู้สึกว่าที่พี่สี่ทำนั้นเกินไปจริงๆ ทิ้งองค์หญิงที่งดงามเช่นนี้แล้วไปแต่งงานกับหญิงรับใช้ ช่างมีตาแต่ไร้แววเสียจริงๆ ”
เวินอ๋องเอ่ยไปก็ต้องการจับที่ปลายคางของโล่หวินหลาน ทว่าพอเขายื่นมือออกไปก็ถูกจื๋อเอ่อจับไว้แน่น
“ขอเวินอ๋องช่วยหลีกทางด้วย” จื๋อเอ๋อรัดมือเขาแน่น กัดฟันเอ่ยขึ้น
เวินอ๋องค่อยๆหันหน้ากลับมา ใบหน้าไม่ปรากฏความรู้สึกตั้งนานแล้ว หากเอ่ยถึงเรื่องวรยุทธ์เขาไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของจื๋อเอ๋อได้แน่ๆ
ทั้งสองสบตากันขณะที่กำลังจะเกิดการปะทะแต่โล่หวินหลานก็รีบห้ามพวกเขาเอาไว้เสียก่อน
“หยุดมือ จื๋อเอ๋อเจ้าหลีกไปด้านข้างก่อน ข้ามีเรื่องต้องพูดกับเวินอ๋องสองประโยค” โล่หวินหลานหยุดการกระทำของจื๋อเอ๋อ
ที่สุดแล้วจื๋อเอ๋อก็ยังฟังคำพูดของนาง เพียงแต่ยังคงกังวลว่าเวินอ๋องจะทำเรื่องรุ่มร่ามหรือไม่ ดวงตาของเขายังคงมองไปทางนาง
เวินอ๋องเก็บมือกลับมา นัยน์เย็นชาราวก้อนน้ำแข็ง
“แม่ทัพคนนี้ช่างเชื่อฟังคำพูดขององค์หญิงเสียจริงๆ คิดไปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเขากับองค์หญิงคงไม่เลวกระมัง?” เวินอ๋องหยอกล้อ ใบหน้าเผยรอยยิ้มกว้าง
“จื๋อเอ๋อคือผู้ที่เกิดมาเป็นทหารที่ยึดมั่นในคุณธรรม ไม่ว่าเป็นใคร เขาก็จะทำเช่นนี้ หากพฤติกรรมของเวินอ๋องไม่ได้เกินงาม แม่ทัพจื๋อเอ๋อไม่มีทางแตะต้องท่านอ๋องแม้เพียงเส้นขนเพคะ” สายตาของโล่หวินหลานเบนไปทางจื๋อเอ๋อที่อยู่ด้านข้าง
หัวใจมีริ้วความอบอุ่นพาดผ่าน เมื่อก่อนนี้นอกจากโม่ฉีหมิงแล้วก็ไม่มีใครคอยปกป้องนางด้วยใจแบบนี้มาก่อน
ที่แท้ความรู้สึกที่บ่มเพาะมาหลายปีก็สู้การหลั่งเลือดสาบานมิได้
“อย่างนั้นข้าควรจะขอบคุณองค์หญิงที่ช่วยข้าไว้ใช่หรือไม่?” สองมือของเวินอ๋องเกี่ยวกันไว้ด้านหลัง ใบหน้าประชินกับโล่หวินหลาน
จื๋อเอ๋อที่อยู่ด้านข้างเห็นเขากระทำพฤติกรรมเช่นนั้นก็ทนไม่ไหวจนอยากขึ้นไปบนแท่นเพื่อแยกเขาออก โล่หวินหลานเห็นดังนั้นก็รีบโบกมือไปมาส่งสัญญาณให้เขาระงับโทสะไว้
“ท่านอ๋อง ท่านต้องการพูดอะไรกันแน่? อย่าเสียเวลาอีกเลย” โล่หวินหลานไม่อยากพูดจาอ้อมไปอ้อมมากับเขาอีกต่อไป
เวินอ๋องปลดรอยยิ้มเย่อหยิ่งลง ใช้ใบหน้าเคร่งขรึมมองไปที่นาง
“เพราะเรื่องของท่านหลายวันมานี้เสด็จพ่อถึงต้องกังวลใจไม่น้อย เดิมวันนี้อยากช่วยกำหนดเรื่องแต่งงานของท่าน เสียก็ตรงที่พี่สี่ต้องการจะแต่งงานกับหญิงรับใช้ของท่านด้วย ทำให้เรื่องนี้น่ากังวลขึ้นไปอีก แม้เสด็จพ่อทางนี้จะไม่มีเสียงอะไรออกไป แต่ทางแคว้นเซิ่นโจวยังรอข่าวสารจากทางนี้อยู่ เพราะฉะนั้นเรื่องการแต่งงานของท่าน บางทีเสด็จพ่อก็อาจจะใช้วิธีเร่งด่วนเพื่อทำให้มันจบลงเร็วๆ ” เวินอ๋องวิเคราะห์รูปการณ์ที่ผ่านมา
โล่หวินหลานไม่อาจไม่ยอมรับว่าที่เขาวิเคราะห์ออกมานั้นมีเหตุผล หากยังคงผลัดเรื่องนี้ไปอีก ไม่ว่าเป็นใครสุดท้ายความอดทนก็คงจะถูกใช้จนหมดในไม่ช้า
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงฮ่องเต้เจียเฉิงที่ไม่มีความอดทนผู้นั้นเลย
“ท่านอ๋องวิเคราะห์ได้ถูกต้อง เชิญพูดต่อ” โล่หวินหลานพยักหน้า
นางไม่ร้อนใจเลยรึนี่?
เวินอ๋องมองนางแล้วรีบกล่าวต่อ “เพื่อไม่ให้เสด็จพ่อหมดความอดทนหาคู่ให้ท่านเพื่อให้เรื่องจบๆไป ไม่สู้ท่านร้องขอด้วยตัวเอง ไม่แน่ว่าวันนี้เสด็จพ่ออาจจะหลงเหลือความเห็นใจต่อท่านบ้างแล้วยอมทำให้ท่านสมปรารถนา”
เขาพูดถูก ในตอนที่ฮ่องเต้เจียเฉิงยังไม่หมดความอดทนนางควรจะรีบเลือกอนาคตตัวเอง
“ดูไปแล้วเวินอ๋องคงเข้าใจฝ่าบาทมากนะเพคะ คนที่สามารถเดาพระทัยของฝ่าบาทได้เช่นนี้เกรงว่าคงมีไม่มาก?” โล่หวินหลานหัวเราะเสียงเย็น
แต่ว่าความเข้าใจของเวินอ๋องกับนางนั้นไม่ตรงกัน มีเพียงเรื่องเดียวที่เขาสนใจและมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาแอบคาดเดาความคิดของฮ่องเต้เจียเฉิงแต่เป็นเรื่องตำแหน่งในอนาคตของตัวเองต่างหาก
“อย่างไรเสียข้าก็เป็นโอรสของเสด็จพ่อ ร่างกายยังมีเลือดของพระองค์หมุนเวียนไหลอยู่ ใกล้ชิดพระองค์มาหลายปีหากรู้ว่าในใจของพระองค์คิดสิ่งใดย่อมเป็นเรื่องปกติ องค์หญิง ตอนนี้เราไม่ได้ถกเถียงกันเรื่องเสด็จพ่อแต่เป็นเรื่องแต่งงานของท่านนะ” เวินอ๋องรีบวกกลับเข้าสู่หัวข้อสนทนาเดิม
“ดูไปแล้วท่านอ๋องคงจะมีความคิดแล้วกระมัง ลองกล่าวออกมาเป็นไร?” โล่หวินหลานหรี่ตาลง ท่าทางคล้ายจะกินคน
ตอนนี้สิ่งที่เวินอ๋องต้องการคือเจรจากับนาง เขาพยายามนำอำนาจยัดใส่ในมือนาง ขอเพียงเข้าใจความคิดของเวินอ๋อง นางก็จะมีอำนาจมากพอสำหรับรับมือกับเรื่องนี้
“องค์หญิงเป็นคนฉลาดคงเดาได้ว่าข้ากำลังพูดถึงอะไร เดิมท่านวางความหวังไว้ที่พี่สี่แต่ช่วยไม่ได้ที่พอถึงเวลาสำคัญเขากลับหักหลังท่าน สำหรับท่านในตอนนี้แล้วเรื่องสำคัญคือการหาคนช่วยคนใหม่” เวินอ๋องกล่าว
โล่หวินหลานมองเขา นัยน์สะท้อนแววสั่นไหว
“ที่ท่านอ๋องกล่าวมาตั้งมากมายหม่อมฉันเข้าใจแล้ว แต่ว่าอาศัยสิ่งใดให้หม่อมฉันเลือกพระองค์” โล่หวินหลานยิ้มเย็น ใบหน้าแสดงออกเป็นคำถาม
ต้องรอดูเอาว่าในท้ายที่สุดเวินอ๋องจะถือไพ่อะไรไว้ในมือที่เป็นประโยชน์ต่อนาง
ยิ่งกว่านั้นนางไม่ใช่คนที่พอเสียโม่ฉีหมิงไปก็จะสูญเสียทุกอย่าง
แต่ตัวเลือกของนางย่อมไม่ใช่เวินอ๋องแน่นอน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก