ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 297

ตอนที่ 297 จะเลือกอย่างไร

ดูเหมือนว่าเวินอ๋องจะคาดเดามาก่อนว่านางจะถามแบบนี้ในใจเขาจึงเตรียมคำตอบไว้เรียบร้อยแล้ว

ภายใต้ท้องฟ้าสีรัตติกาลอันขุ่นมัว เขามองดูเงาโค้งของดวงจันทร์ในบ่อน้ำ แสงสว่างสะท้อนอยู่เหนือผิวน้ำ ทั้งหมดดูราวกับของจริงถึงเพียงนั้น

“ในจำนวนโอรสที่เสด็จพ่อทรงเลือก รัชทายาทความคิดคาดเดายาก เขาคอยรักษาท่าทีเป็นเพียงผู้ชมอยู่ข้างๆสนาม พี่สองเป็นพวกเฉื่อยชา เขาจะช่วยท่านแต่ยามอยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อกลับไม่อาจเอ่ยอะไรได้มาก

ที่เหลือก็มีแต่ข้า หากท่านเลือกข้า ข้าสามารถช่วยท่านรับมือกับพี่สี่ได้ช่วยท่านล้างแค้น ความอับอายในวันนี้จะต้องเอาคืนแก่เขาเพิ่มเป็นเท่าตัว” เวินอ๋องเอ่ยอย่างชัดเจนทีละคำ ทีละประโยค

ฟังไปแล้วช่างเย้ายวนเกินห้ามใจ ขอเพียงเลือกเขา เขาก็จะช่วยนางทุกอย่างทำให้นางได้ในสิ่งที่นางต้องการ

แต่ว่าโล่หวินหลานไม่มีทางเห็นแก่หน้าเขา นางหัวเราะยิ้มอย่างเหยียดหยามว่า “ที่ท่านกล่าวมาล้วนเป็นสิ่งที่ข้าต้องการอย่างแท้จริง แต่หมิงอ๋องเป็นคนที่มีฐานอำนาจมั่นคง หากจะโค่นเขาเกรงว่าเป็นเรื่องที่ยากพอควร เวินอ๋องมีไพ่ตายอะไรพอจะต่อกรกับเขาได้งั้นหรือเพคะ?”

เอ่ยถึงไพ่ตาย ในมือของเวินอ๋องก็ไม่มีไพ่พอจะรับมือหมิงอ๋องจริงๆนั่นแหล่ะ

“องค์หญิงไตร่ตรองได้รอบคอบจริงๆ ในมือข้าไม่มีสิ่งใดพอจะสู่พี่สี่ได้จริงๆ แต่ว่าฟ้าดินย่อมต้องให้ความเป็นธรรมต่อผู้มีใจดีงาม ขอเพียงมีหลักฐานก็พอแล้ว” เวินอ๋องพูดพลางหัวเราะราวกับเป็นเรื่องง่ายดาย

ใต้แสงจันทร์ ใบหน้าเขาแสดงออกถึงความมั่นใจราวกับไม่เคยล้มเหลวมาก่อน

โล่หวินหลานคิดหากนางร่วมมือกับเขาแล้วย่อมมีแต่ได้ไม่มีเสีย

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ขอเชิญท่านอ๋องกลับตำหนักไปก่อนเถอะเพคะ ขอหม่อมฉันไตร่ตรองสองวันค่อยให้คำตอบแก่ท่าน” โล่หวินหลานพิจารณาอย่างจริงจัง

เห็นสีหน้าของนางก็ดูออกว่านางมิได้ปิดบังซ่อนเร้นสิ่งใด เวินอ๋องจึงเชื่อนางอย่างไร้ข้อกังขา

“ดี เช่นนั้นข้าจะให้เวลาท่านสองวัน หลังจากสองวันแล้วไม่ว่าคำตอบจะเป็นเช่นไรท่านก็ต้องให้คำตอบแก่ข้า”

เวินอ๋องมองนางอย่างลึกซึ้งรอคอยคำตอบของนาง

รอจนโล่หวินหลานผงกศีรษะตอบรับเขาจึงหันกายจากไปอย่างพอใจ

มองร่างเขาหายไปในเงามืดแล้วจื๋อเอ๋อที่รอคอยอยู่ด้านข้างก็รีบเดินมาตรงหน้านาง เอ่ยถามว่า “องค์หญิง เขาพูดอะไรกับท่าน?”

ตอนอยู่อีกฝั่งเขาไม่ได้ยินอะไรเลยเห็นเพียงกิริยาท่าทางของพวกนางเท่านั้น

คุยกันตั้งนานสุดท้ายก็แยกย้ายจากไปแต่โดยดี สรุปแล้วคุยเรื่องอะไรกันแน่?

“เมื่อครู่ที่ท้องพระโรง เวินอ๋องช่วยพูดให้ข้าเพราะต้องการลากข้าเข้าไปร่วมขบวนการของเขาด้วย” โล่หวินหลาน มองไปยังจุดที่เขาเดินจากไป แววตาล้ำลึก

จื๋อเอ่อเกิดความสงสัย หวนคิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ที่ท้องพระโรง เวินอ๋องได้ช่วยพูดแทนนางหนึ่งประโยคจริงๆ นอกจากนี้ก็ไม่ได้แสดงอะไรออกมา

ที่แท้จุดมุ่งหมายของเขาก็คือแบบนี้ ช่างเก็บงำซ่อนเร้นได้ดีเยี่ยมจริงๆ

“องค์หญิง เรื่องที่เกิดขึ้นที่นั่นเมื่อครู่นี้เป็นพวกเขาทำไม่ถูก หมิงอ๋องบอกอยากจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน ไม่ส่งสัญญาณอะไรก็นำตัวหญิงรับใช้ของท่านไป วันนี้ที่เวินอ๋องมาใช่เพราะมีอุบายอะไรรึไม่?” คิ้วกระบี่จื๋อเอ๋อย่นเข้าหากันเดินตามหลังโล่หวินหลาน

พูดถึงเรื่องนี้ที่จริงเดาได้ไม่ยาก หากเป็นคนที่เพิ่งมาแคว้นโม่ฉีบางทีอาจจะยังเดาสถานการณ์ระหว่างองค์ชายด้วยกันไม่ออก แต่โล่หวินหลานเคยเห็นสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงระหว่างผู้คนมาไม่น้อย เรื่องนี้จึงไม่ได้ยากสำหรับนางเลย

เวินอ๋องเดิมเป็นปรปักษ์กับโม่ฉีหมิง ทั้งสองคนต่างก็เป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกัน ที่ผ่านมาไม่มีใครเคยล้มอีกฝ่ายได้ เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้หากเวินอ๋องได้เข้ามาช่วยเหลือแก้ไข ฮ่องเต้เจียเฉิงจะต้องชื่นชมเขามากขึ้น ฐานะก็จะสูงขึ้นด้วย

ก่อนหน้านี้ที่เวินอ๋องเคยมาขอแต่งงานนางเพียงแต่ไม่ได้ตอบรับไป มาวันนี้เขาคงคาดเดาถึงความคิดของนางได้แล้ว

“ไม่ว่าเขาจะมีอุบายหรือไม่ อย่างไรเสียทางสายนี้ก็ต้องเดินต่อไป ฟ้ามืดแล้วพวกเรากลับกันเถอะ” เสียงของโล่หวินหลานแน่วแน่ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ

แม้ทางตรงหน้าจะลำบากแต่ก็ต้องเดินต่อไปอย่างเด็ดเดี่ยว

ค่ำนี้ผ่านไปอย่างไม่สงบเท่าไหร่นัก หรงฝินกลับจากงานเลี้ยงสู่ตำหนักตน ด้านนอกมีเสียงกรีดร้องของสายลม นางไม่มีใจจะชมจันทร์ดั่งเช่นที่ผ่านมาอีกแล้ว ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้โยกอย่างหงุดหงิด

นางกำนัลเฉี่ยวเฉี่ยวที่ตามหลังมาติดๆเอ่ยปลอบนางเบาๆ “เหนียงเหนียง ท่านเป็นอะไรไปเพคะ?”

เรื่องคืนนี้เดิมทีเป็นเรื่องควรไปในทิศทางที่ดีดันกลายเป็นการกระทำที่โง่เขลาไปเสียได้ เพราะโม่ฉีหมิงพาตัวหญิงรับใช้ขององค์หญิงเหอซื่อไป ทำให้งานเลี้ยงคืนนี้วุ่นวายโกลาหลไปหมด แผนที่นางวางไว่เสียดิบดีก็เลยพังครืนไม่เป็นท่าจะไม่โมโหได้อย่างไร

สำหรับผู้ช่วยของนางผู้นี้หรงฝินไม่มีอะไรปิดบัง เรื่องต่างๆของนางพื้นฐานแล้วก็มีนางเป็นผู้คอยส่งเสริมอยู่เบื้องหลัง

“ครั้งก่อนที่จับขันทีที่วางยาผู้นั้นได้ เดิมวันนี้ข้าตั้งใจจะเปิดเผยออกไป ผู้ใดจะรู้ว่าหมิงอ๋องจะเลอะเลือนกล้าทำเรื่องแบบนั้นออกมาได้” หรงฝินกุมหน้าผากถอดถอนหายใจอย่างโมโห

วันนี้เฉี่ยวเฉี่ยวได้ติดตามอยู่ข้างกายหรงฝินตลอดเวลาย่อมรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตามความเห็นของนางเรื่องของโม่ฉีหมิงครั้งนี้ถือว่าได้ช่วยพวกนางไว้ครั้งหนึ่ง

“นายหญิง บ่าวกลับคิดว่าเรื่องของหมิงอ๋องในคืนนี้เป็นผลดีต่อพวกเรานะเพคะ” เฉี่ยวเฉี่ยวเลิกคิ้วขึ้น

ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้น คิ้วของหรงฝินก็เลิกสูง ดวงตาสะท้อนแววเฝ้าคอย “อย่างไร?”

“ท่านลองนึกดูสิเพคะ ดูจากนิสัยของฝ่าบาทเรื่องในวันนี้จะต้องทำให้พระองค์เกิดโทสะมากแน่ๆ หากนายหญิงท่านเอาเรื่องนี้เอ่ยออกไป ฝ่าบาทที่กำลังโมโหอยู่เป็นทุนเดิมย่อมต้องให้ความสนใจต่อเรื่องของท่านไปด้วยเพคะ หากพระองค์รู้ว่าเป็นผู้ใดทำจะยอมปล่อยไปง่ายๆได้เช่นไรกันเพคะ?” เฉี่ยวเฉี่ยวค่อยๆวิเคราะห์ออกมา

ได้ฟังเช่นนั้นแม้มีเหตุผลอยู่หลายส่วน แต่ว่าหากไปวุ่นวายกับฮ่องเต้เจียเฉิงยามที่โกรธล่ะก็ไม่แน่ว่าพระองค์อาจจะรำคาญจนไม่สนใจไต่ถามเลยก็เป็นได้?

“แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่อารมณ์ของพระองค์ไม่อาจไม่คำนึงถึงได้ พวกเราอย่าเสี่ยงเรื่องนี้เลยจะดีกว่า” หรงฝินย่นคิ้ว มือคลำสร้อยลูกประคำเล่น

“แต่ว่านายหญิง หากพลาดโอกาสนี้ไปแล้วโอกาสที่พวกเราจะทำสำเร็จก็จะไม่มากแล้ว จะหาโอกาสที่ดีกว่าครั้งนี้เกรงว่าคงจะยากแล้วนะเพคะ!” เฉี่ยวเฉี่ยวเกลี้ยกล่อม

นางเกลี้ยกล่อมครั้งแล้วครั้งเล่าจนทำให้หรงฝินเกิดความหวาดระแวงผุดขึ้นในใจ แต่เรื่องนี้ก็คงไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้น

นางวางลูกประคำในมือลงทันใดนั้นก็นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงวันนี้ ขมวดคิ้ว “เฉี่ยวเฉี่ยว เจ้าไม่รู้สึกว่าเรื่องในวันนี้มันบังเอิญเกินไปหรือ?”

เฉี่ยวเฉี่ยวเอียงศีรษะคิด “บังเอิญรึเพคะ? นายหญิงคิดว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้องหรือเพคะ?”

หรงฝินยืดกายตรง “ข้าก็แค่คิดเท่านั้นเอง มักรู้สึกว่าเหตุการณ์คืนนี้ทุกอย่างช่างเรียบร้อยหมดจดไปเสียหมด เกิดขึ้นได้ถูกต้องตรงเวลาเกินไป ราวกับเป็นเพียงอุบายเรื่องหนึ่งเท่านั้น”

รอจนนางพูดจบเฉี่ยวเฉี่ยวจึงค่อยตระหนักขึ้นมาได้ ยามไม่คิดถึงก็ไม่มีอะไร แต่พอคิดขึ้นมาก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง

“บ่าวลองคิดดูแล้วเป็นดั่งที่นายหญิงพูดทุกคำ หากลองลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่เรื่องที่องค์หญิงเลือกคู่ครอง เรื่องที่หมิงอ๋องปฏิเสธรวมไปถึงเรื่องของหญิงรับใช้ผู้นั้นยามที่ผ้าคลุมหน้าหลุดออกเผยใบหน้านั่นที่เหมือนกับพระชายาหมิงอ๋องราวกับแกะท่ามกลางผู้คนมากมาย ทั้งหมดเหมือนเป็นกลอุบายจริงๆเพคะ” เฉี่ยวเฉี่ยวลำดับเหตุการณ์ เมื่อนำเหตุการณ์ทั้งหมดมาต่อกันก็เหมือนจะเป็นละครอุบายฉากหนึ่ง

ฟังนางวิเคราะห์ หรงฝินก็คิดว่ามีเหตุผล เพียงแต่หากมันเป็นเช่นนั้นจริงคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี่ก็น่ากลัวเกินไปแล้ว

“ไม่มีหลักฐาน ทำได้แค่อาศัยการคาดเดา” หลงผิงยกมือถูหว่างคิ้วทั้งสอง “เรื่องนี้วันหน้าค่อยว่ากัน ข้าคิดว่าคลื่นลมในวังหลวงแห่งนี้ไม่มีทางหยุดได้ง่ายๆหรอก พวกเรานิ่งดูความเปลี่ยนแปลงเถอะ”

ทั้งสองพูดคุยกันอีกสักพักฟ้าข้างนอกก็มืดลงแล้ว ท้องฟ้าสีดำครอบคลุมวังชั่วคราวที่ไม่ใหญ่แห่งนี้ แสงจันทร์ผ่านลอดเข้าไปในหน้าต่างหลอมรวมเข้ากับแสงจากเทียนไข

เมื่อดับแสงเทียนแล้วในห้องก็เหลือเพียงแค่แสงสว่างนุ่มนวลจากดวงจันทร์เท่านั้น

หากเรื่องน่าอับอายในบ้านไม่ควรนำออกเผยแพร่ เช่นนั้นเรื่องน่าอับอายในหวังหลวงเหตุใดจึงไม่ควรเก็บไว้ให้ดีล่ะ?

เพียงแต่ว่าภายในเวลาสองวันสั้นๆนี้ นอกกำแพงวังหลวงก็ได้มีข่าวลือมากมายแพร่ออกมา ทุกหนทุกแห่งล้วนต่างก็เอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงคืนนั้น

มีบางที่ที่เรื่องนี้กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่นิยม ทุกหัวมุมถนนคนทุกผู้ต่างพูดกันปากต่อปาก

แม้กระทั่งแคว้นเซิ่งโจวก็ถูกเล่าลือว่าเป็นเพียงเป็นแคว้นที่อ่อนแอแคว้นหนึ่งเท่านั้น ครั้นเมื่อโดนแคว้นที่ยิ่งใหญ่ทำให้อับอายก็ไร้ความสามารถโต้ตอบ ทำได้เพียงก้มหน้ารับความอับอายที่ผู้อื่นมอบให้เพียงเท่านั้น

จื๋อเอ่อโกรธจนกำด้ามดาบแน่น สีหน้าไม่น่าดูชมขณะยืนอยู่ที่ศาลาด้านนอก เมื่อเงยหน้าก็พบกับท้องฟ้ากว้างใหญ่ไม่มีแม้เมฆสักก้อน

“พวกเขากล้าลือว่าแคว้นเซิ่งโจวอ่อนแอไร้กำลัง? สรุปแล้วเป็นเพราะแคว้นโม่ฉีทำลายสัญญาก่อน พวกเราจึงกลายเป็นแคว้นที่ประชาชนล้วนต่างก็อ่อนแอไร้ความสามารถกระนั้นหรือ?” จื๋อเอ่อรู้สึกว่าในอกมีลมอัดอยู่ภายในสายหนึ่ง

พายุหิมะด้านนอกค่อนข้างแรง โล่หวินหลานกับเขายืนเบียดไหล่กันอยู่กลางศาลา โทสะของเขานางสามารถรับรู้ได้

ยังไงเสียความอับอายที่ได้มาโดยไม่รู้สายปลายเหตุไม่ว่าใครก็ไม่อาจรับได้ทั้งนั้น

“ในใจพวกเรารู้ว่าความจริงเป็นเช่นไรก็พอแล้ว จะไปสนที่ผู้อื่นพูดเพื่ออะไร” สองมือของโล่หวินหลานกุมกระถางอุ่นมือ หรี่ตามองเกล็ดหิมะที่สีขาวอยู่ด้านนอก

จื๋อเอ๋อมองนางอย่างประหลาดใจ “ท่านไม่ใช่คนแคว้นเซิ่งโจวจะเข้าใจได้เช่นไร? บางเรื่องพูดง่าย แต่ความรู้สึกในใจตนกลับต้องแบกรับความจริง”

อยู่ๆเขาก็ยกกำปั้นชกไปที่เสาข้างๆอย่างวุ่นวายใจ เรี่ยวแรงมหาศาลจนเสาแข็งแรงต้นนั้นกลายเป็นโพรงแต่นั่นกลับสามารถช่วยบรรเทาเพลิงโทสะในใจเขาได้

“หากเรื่องนี้เข้าไปถึงหูของคนในแคว้นเซิ่งโจวล่ะก็จะต้องก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่แน่ๆ ถือโอกาสสองสามวันนี้ตอนที่ข่าวยังไปไม่เร็วข้าควรจะรีบตะบึนม้ากลับไป” หัวคิ้วของจื๋อเอ๋อผูกกันเป็นปมแน่นขณะเอ่ยขึ้นมากระทันหัน

โล่หวินหลานมองเขาแวบหนึ่งให้เขาควบคุมความตื่นเต้นของตนเอาไว้

“เจ้ากลับไปยามนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้”

ก็ไม่แน่ จื๋อเอ๋อรีบถามกลับ “จะเป็นไปได้อย่างไร?”

“เช่นนั้นเจ้าบอกข้าหน่อย เจ้ากลับไปแล้วช่วยอะไรได้? เจ้าจะตะบึนม้าไล่ตามจับคนส่งสารทั้งหมดกลับมา หรือว่าจะอาศัยพละกำลังของเจ้าทำให้พวกเขากลับไปไม่ถึงแค้วนเซิ่งโจวกันล่ะ? หรือว่าจะบอกแคว้นเซิ่นโจวว่าทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่คนในแคว้นโม่ฉีลุกขึ้นมา?” โล่หวินหลานถามทีละคำทีละประโยค

หากทุกเรื่องสามารถอาศัยแค่พละกำลังแก้ไขได้จะดีแค่ไหนกันนะ

“เรื่องนี้ทั้งข้าและเจ้าไม่มีวิธีแก้ไข ต่อให้เป็นผู้นำแคว้นเซิ่งโจวก็ไม่ต่างกัน หากอยู่ในขอบเขตที่ตัวเองสามารถดูแลเขาถึงจะช่วยได้” โล่หวินหลานต้องการช่วยปรับอารมณ์ให้เขา ต้องการให้เขาใจเย็นลง

จื๋อเอ่อนั่งลงบนตั่ง ดวงตาดุดันมองไปยังผ้าม่านด้านนอก มองดูเกล็ดหิมะที่ถูกสายลมพัดผ่านไป

“เช่นนั้นข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้สักนิดเลยงั้นรึ?” อารมณ์ของจื๋อเอ่อแสดงออกว่าขัดเคืองใจ

“เรื่องนี้เกิดเพราะข้า ข้าย่อมต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ขอเพียงรอจนมีข่าวน่าสนใจเรื่องอื่นเข้าสู่สายตาพวกเขา พวกเขาก็จะลืมเรื่องนี้แล้วไปไล่ตามเรื่องใหม่” โล่หวินหลานเอ่ยอย่างไม่ใส่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก