ตอนที่ 299 ส่งจดหมาย
“เป็นเพียงแค่องค์หญิงซุกซนธรรมดา จะมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมในการหาคนที่มีรูปลักษณ์เหมือนกับหวินหลานได้อย่างไร?” โม่ฉีหมิงรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินไป
เว้นเสียแต่ว่านางแอบเลี้ยงคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ แต่นางก็เป็นเพียงองค์หญิงเล็กๆที่ไม่ได้รับความโปรดปรานเท่าไหร่นัก ในรัชสมัยนี้ เจียงหูไม่ได้มีอำนาจใดๆ ไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ได้แน่ๆ
“ความจริงแล้วเรื่องนี้มีบางอย่างที่แปลกประหลาด ท่านอ๋อง ไม่สู้ให้ข้าน้อยไปตรวจสอบใหม่อีกครั้งเถอะพะย่ะคะ” ฉินหยิ่นพูด
โม่ฉีหมิงคิดเล็กน้อย ก่อนยืนมือออกไปเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของเขา
“ไม่ต้องตรวจสอบ ถ้าหากเรื่องนี้สามารถตรวจสอบได้ ต่อให้ไปแคว้นเซิ่งโจวในเวลานี้ก็คงสามารถตรวจสอบได้ สองวันนี้พวกเราคอยซุ่มดูการเปลี่ยนแปลงเงียบๆแล้วกัน” โม่ฉีหมิงย่นคิ้วเอ่ย
เรื่องนี้แม้แต่เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
ฉินหยิ่นพยักหน้า แต่สตรีที่เจอในตำหนักวันนี้รูปร่างหน้าตาคล้ายกับโล่หวินหลานเป็นมากจริงๆ
ถ้าหากเขาไม่ใช่คนที่พึ่งกลับมาจากแคว้นเซิ่งโจว จะต้องคิดว่านางเป็นโล่หวินหลานอย่างแน่นอน
“ท่านอ๋อง สุดท้ายแล้วพระชายาที่อยู่บนตำหนักนั้นเป็นพระชายาจริงหรือไม่พะย่ะคะ” ฉินหยิ่นเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
“หากจริงเป็นปลอมไม่ได้ หากปลอมเป็นจริงไม่ได้” มุมปากโม่ฉีหมิงกระตุกเป็นรอยยิ้มเย็น ดวงตาที่ทอประกายนั้นชั่วพริบตาได้กลายเป็นลึกล้ำ
ดูเหมือนว่าแปลงพู่กันจะจุ่มน้ำหมึกมากเกินไป โล่หวินหลานเทน้ำเข้าไปเพื่อเจอจางน้ำหมึกจรกระทั่งล้างน้ำหมึกสีดำนั่นถูกล้านออกอย่างสะอาดดีแล้วนางจึงค่อยจุ่มหมึกใหม่
“องค์หญิง ท่านเขียนมาตลอดช่วงเช้าแล้ว หยุกพักสักหน่อยเถิดเพคะ” ไซ่เย่วหยิบกระดาษที่องค์หญิงเขียนอักษรออกมา ตั้งใจมองอย่างละเอียด นางรู้สึกว่ารูปแบบการเขียนอักษรมีความแปลกเป็นอย่างมาก
“องค์หญิง ตัวอักษรที่ท่านเขียนเป็นรูปแบบการเขียนตัวอักษรใดกัน? เพราะเหตุใดตัวอักษรถึงไม่เหมือนกับที่พวกข้าเขียนล่ะเพคะ?”
โล่หวินหลานเก็บพู่กัน นางรู้สึกว่าตัวเองนั้นเขียนพู่กันได้ไม่ค่อยดีนัก
“นี้คืออักษรที่ข้าสร้างขึ้นมาเอง เรียกว่า*อักษรเซียว” โล่หวินหลานยิ้มเล็กน้อย แล้วสั่งให้นางหยิบม้วนกระดาษเซวียนจื่อออกมา
“*อักษรเซียว? ใช่แซ่เป็นอักษรช่างหาได้น้อยจริงๆเพคะ” ไซ่เย่วหยิบกระดาษไปก็กล่าวไปด้วย
“ใต้หล้ายิ่งใหญ่นัก เรื่องแปลกประหลาดอะไรก็มีได้ทั้งนั้น” โล่หวินหลานบอกเรียบๆ
ในห้องหนังสือคนอยู่มีเพียงที่สองคน ยามหิมะที่ข้างนอกตกลงมาพวกนางก็สามารถได้ยิน โล่หวินหลานเปิดหน้าต่างมองดูเล็กน้อย ทำอย่างไรในใจของนางถึงไม่สามารถสงบลงได้
ถึงแม้จะรู้ว่าสถานการณ์ในตำหนักหมิงอ๋องที่อาลั่วหลันอยู่นั้นปลอดภัย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางกลับรู้สึกว่าไม่สามารถวางใจลงได้
สถาณการ์ณตอนนี้ของนางในวังหลัวยังไม่มั่นคง คนที่รู้จักก็มีจำกัด อาลั่วหลันอยู่ในตำหนักหมิงอ๋องเพียงคนเดียวผู้คนก็ไม่คุ้นเคย ไม่ต้องเอ่ยถึงความเป็นไปได้เรื่องส่งสารเลย
นางหยิบกระดาษเซวียนจือออกมาหนึ่งแผ่น ทันใดนั้นก็เงยหน้ามองไซ่เย่วที่คอยปรนนิบัติรับใช้ตนอยู่ข้างๆ กล่าวว่า “ไซ่เย่ว เจ้าไปดูที่ห้องครัวว่ามีคนอยู่หรือไม่ บอกให้พวกเขาตุ๋นน้ำซุปหวานให้ข้าสักถ้วยหน่อยเถอะ”
ไซ่เย่วไม่ทันได้สงสัยแม้แต่น้อยก็เดินออกไปข้างนอกประตูแล้ว ภายในห้องก็เกิดความเงียบขึ้นมาทันที ไม่มีเสียงแม้แต่นิดเดียว
โล่หวินหลานจับพู่กันไว้ในมือ นางไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรดี
คิดเพียงชั่วครู่หนึ่ง ก็เริ่มลงมือเขียนสองสามคำลงในกระดาษเซวียนจืออย่างรวดเร็ว จำนวนขีดน้อยมาก แต่ทว่าแบกรับความกังวลของนางทั้งหมด
หลังจากเขียนเสร็จ โล่หวินหลานก็เก็บไว้บนร่างของตนเอง ที่เหลือก็แค่นางต้องคิดหาวิธีที่จะส่งกระดาษแผ่นนี้ออกไปเท่านั้น
หากจะเลือกคนที่เหมาะสมที่สุดภายในวัง นอกจากหมิงซีก็เห็นจะไม่มีใครอีกแล้ว แล้วก็มีแต่เขาที่ไปแล้วอาลั่วหลันถึงสามารถวางใจได้อย่างถึงที่สุด
รีบพับจดหมายก้าวออกประตูไป ไซ่เยว่ยังไม่กลับมา นางเลือกทางที่คนน้อยที่สุดเพื่อไปที่ห้องนอนของหมิงซี
“เสี่ยวฮัว เจ้ามาได้อย่างไรกัน?” หมิงซีกำลังอ่านหนังสือวิชาแพทย์อยู่ในห้องหนังสือ แต่ใจกลับไม่สามารถสงบลงได้
ในสมองมักจะนึกย้อนถึงวันเวลาที่เขามีร่วมกันกับอาลั่วหลัน ทั้งหมดคลับคล้ายราวกับไม่ใช่เรื่องจริง
“หลายวันนี้ อาลั่วหลันถูกหมิงอ๋องพาตัวไปได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้หมิงอ๋องไม่ทำร้ายนาง แต่ข้าก็อยากถามทราบถึงความปลอดภัยของนางว่าเป็นอย่างไรบ้าง ดังนั้นจึงเขียนจดหมายด้วยมือของข้าเองมาหนึ่งฉบับ อยากขอร้องเจ้าเข้าไปในวังหลวงแอบส่งจดหมายนี้ให้นาง” โล่หวินหลานหยิบจดหมายออกมาหนึ่งฉบับจากแขนเสื้อตนเอง แล้วส่งให้หมิงซี
อันที่จริงแล้วภายในใจหมิงซีก็กำลังคิดอยู่พอดีว่าจะควรทำอย่างไรดี เขายืนมือออกไปรับจดหมายที่อยู่ในมือของโล่หวินหลาน ไม่ปรากฏท่าทางไม่เต็มใจเลยสักนิด
“ท่านจะออกเดินทางเมื่อใด?”
“เย็นวันนี้ เจ้ามีแผนที่ของตำหนักหมิงอ๋องที่ข้าวาดไว้ครั้งที่แล้ว เอาออกมาให้ข้าดู” โล่หวินหลานเดาถึงตำแหน่งของอาลั่วหลันก่อนจะวงกลมบนแผนที่
มองดูตำแหน่งที่นางวงกลม ก็สามารถมองออกอย่างง่ายดายว่าสถานที่นี้คือตรงกลางสวนหลังตำหนักหมิงอ๋อง
“ที่นี่คือห้องของอาลั่วหลันรึ?” หมิงซีถามด้วยความไม่แน่ใจ
ตรงตำแหน่งนี้โล่หวินหลานคุ้นเคยดีที่สุดเลยล่ะ
ที่จี่เคยเป็นห้องที่นางกับโม่ฉีหมิงเข้าพิธีกราบฟ้าดินแต่งงานกันเป็นห้องที่พวกนางใช้หลับนอน เป็นหัวใจสำคัญของตำหนักหมิงอ๋อง นางจะวาดผิดได้อย่างไร?
“ตอนนี้ฐานะของอาลั่วหลันคือหมิงฮองเฮา สถานที่ที่นางสามารถพักได้ก็มีแต่ที่นี่เท่านั้น” โล่หวินหลานเก็บนิ้วเรียวยาวที่ชี้บนแผนที่เข้ามา ในดวงตามีประทอดถอดใจ
แต่ว่าหมิงซีก็ส่ายศีรษะ “โอกาสคงมีน้อยมาก อาลั่วหลันนั้นถือได้ว่าเข้าไปในตำหนักหมิงอ๋องแล้ว นางมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ แต่จะเป็นไปได้อย่างไรที่หมิงอ๋องให้นางทำอะไร แล้วนางจะต้องทำ?”
“ก็อาจจะ ข้าเชื่อว่าอาลั่วหลันมีความสามารถในการปกป้องตัวเอง” โล่หวินหลานไม่รู้ทำไมในใจมักจะรู้สึกเชื่อมั่นว่าโม่ฉีหมิงไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้
ทั้งสองสนทนาครู่หนึ่ง ไซ่เยว่ที่กลับมาจากห้องครัวแล้วไม่พบโล่หวินหลานจึงตระเวนตามหานางตรงถนนใหญ่ด้านนอกดูว่านางได้ออกไปเดินเล่นหรือไม่
พายุข้างนอกนั่นค่อนข้างแรง นางเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงคนเดิน
“หลายวันมานี้เกิดกันไปแล้ว? ในวังเกิดเรื่องมากมายจริงๆ!” นางกำนัลหลายคนกำลังพูดคุยกัน
“ไม่ใช่เพราะว่าหลังจากองค์หญิงที่อยู่ในดงหัวเยี้ยนเข้ามาในวังก็เกิดเรื่องขึ้นมากมายหรอกรึไง เรื่องแรกก็เรื่องของไซ่เย่ว หลังจากนั้นก็เรื่องของหมิงอ๋อง ตอนนี้ก็ยังเป็นเรื่องของนายหญิงหรงฝิน เจ้าคิดว่ามีคนกล้าวางยาพิษในวังได้อย่างไรกัน? ช่างน่ากลัวเสียจริง” นางกำนัลอีกคนคล้อยตาม
นางกำนัลสามคนเดินแถวหน้ากระดาน ไซ่เยว่ที่เห็นดังนั้นจึงแอบหลบอยู่ด้านหลังกำแพงแอบฟังที่นางพูด
“สองเรื่องก่อนหน้านี้ช่างเถิดแต่เรื่องของนายหญิงหรงฝินไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องขององค์หญิงเหอซื่อ จะโทษองค์หญิงได้อย่างไรกัน?” คนที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มค้านออกมา ดวงตาใสสว่างมองไปที่พวกนาง
“เจ้านี่นะ ไม่รู้ว่าควรจะว่าว่าอย่างไรดี ในวังแห่งนี้ มีเรื่องราวมากมายที่ไม่สามารถมองแค่เปลือกนอกเท่านั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีคนมากเท่าไหร่ที่ไม่ชอบองค์หญิงเหอซื่อ?”
คนสองสามคนเดินผ่านกำแพงไปอย่างเร่งรีบ ยิ่งเดินยิ่งเร็วแต่เสียงฝีเท้ากลับยิ่งเดินยิ่งเบากระทั่งร่างของพวกนางได้หายไปจากสายตาของไซ่เยว่
เมื่อหันกายกลับมาก็พบโล่หวินหลานที่เพิ่งออกมาจากห้องพักในตำหนักของหมิงซีพอดี “องค์หญิง พายุหิมะใหญ่ขนาดนี้ ใยท่านออกมาข้างนอกจึงไม่กางร่มล่ะเพคะ?”
ไซ่เยว่รีบสาวเท้าออกจากสนามไปหานางที่อยู่อีกบนระเบียงด้านนอกตำหนัก
ไซ่เยว่ด้านหนึ่งช่วยปักเศษหิมะบนร่างนางด้านหนึ่งก็เอ่ยว่า “องค์หญิงเพคะ เรื่องนี้บ่าวไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือไม่”
“พูดมาเถอะ” โล่หวินหลานเข้าไปในตำหนักสัมผัสความอบอุ่นที่อยู่ภายใน
เห็นโล่หวินหลานอารมณ์เรียบเฉย ไซ่เยว่คิดไปครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “เมื่อครู่นี้บ่าวมารอท่านอยู่ข้างนอก ได้ยินนางกำนัลที่เดินผ่านมาพูดกันว่านายหญิงหรงฝินจับขันทีที่วางยาพิษได้คนหนึ่งเพคะ”
“เช่นนั้นรึ ข้าคิดว่าหรงฝินคงมีวิธีจัดการกับขันทีคนนั้นแล้วกระมัง” โล่หวินหลานพูด
“องค์หญิง พวกเราควรที่จะไปดูหรือไม่เพคะ?” ไซ่เย่วถามขึ้น
โล่หวินหลานกุมกระถามอุ่นมือ ยื่นมือไปเคาะเบาๆบนโต๊ะตากนั้นก็ส่ายหน้า
“เวลานี้พวกเราไม่ต้องทำอะไร แสร้งทำเป็นว่าไม่รู้ เดิมขันทีผู้นั้นตั้งใจจะมาวางยาที่ดงหัวเยี้ยนแต่โดนพวกเราสลัดทิ้งก็เท่านั้น หากตรวจสอบก็คงจะเลี่ยงที่เรื่องจะสาวมาถึงพวกเราไม่ได้” โล่หวินหลานนึกถึงขันทีที่ทำท่ากัดฟันทำท่ามุ่งมั่นผู้นั้นก็คิดมาเสมอว่าเขาไม่ใช่ขันทีธรรมดา
“กล่าวไปก็ใช่ แต่ถ้าหากว่าฝ่าบาททรงรู้แล้ว ต้องสืบเสาะไปจนถึงต้นตอเป็นแน่ ถ้าเป็นเช่นนั้นพวกเราจะทำเช่นไรดี?” ทันใดนั้นภายในใจของไซ่เย่วก็เกิดความกังวลใจขึ้นมา
ถึงอย่างไรเรื่องนี้ พวกนางดงหัวเยี้ยนมีส่วนร่วมไปแล้วหนึ่งก้าว
โล่หวินหลานทำเสียงขึ้นจมูก “ตัวการที่ก่อทำผิดยังไม่เห็นกลัว แล้วพวกเราจะต้องกลัวไปใย? มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นพวกเขาควรเป็นคนแรกที่ต้องกังวลใจ”
อย่างไรก็ตามตัวการที่ก่อคดีทำผิดกฎจะเป็นใคร ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่มีการประกาศออกมา
เพราะว่าการที่ขันทีผู้หนึ่งที่แอบลอบวางยาพิษในวังหลวงย่อมก่อให้เสียงเอะอะฮือฮาในไม่น้อย จะอย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องดึงดูดความสนใจจากฝ่าบาทได้อยู่ดี
“บ่าวเข้าใจแล้วเพคะ ยังเป็นเหนียงเหนียงที่ปราดเปรื่องที่สุด” ไซ่เยว่ยิ้ม
โล่หวินหลานเคาะหน้าผากนาง “เจ้านี่นะ ช่างพูดเสียจริง ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้แต่ก็ไม่อาจไม่เตรียมตัวรับมือให้ดี เราจะต้องคิดวางแผนดีๆแล้วรีบจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด”
ลากยาวไปก็ไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีอะไรขึ้นมา
ที่ตำหนักของฮองเฮาไม่ง่ายนักที่ฝ่าบาทจะทรงเสด็จมาประทับที่นี่ ในห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่นปรองดอง
ฮ่องเต้เจียเฉิงนอนหนุนบนตักของเย่ฮองเฮา ส่วนตัวนางที่รู้ทักษะการนวดมาเล็กน้อยก็ช่วยนวดศีรษะให้เขา
หลายวันมานี้รู้สึกเหนื่อยล้ายิ่ง ที่ตำหนักของเย่ฮองเฮาไม่ได้รู้สึกสบายใจมาสักพักหนึ่งแล้ว
“ฮองเฮา ข้าจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เจ้านวดให้ข้าแบบนี้ก็ห้าปีได้แล้วใช่หรือไม่?” ฮ่องเต้เจียเฉิงคำนวณวัน
นึกถึงเมื่อก่อนเย่ฮองเฮาก็รู้สึกว่าวันเวลาช่างผ่านไปเร็วราวกับติดปีก
ในอดีตนางไม่ใช่ฮองเฮา เขาไม่ใช่ผ่าบาท ในการดำเนินชีวิตของสองคนไม่มีสิ่งใดที่เป็นภาระให้กังวล ไม่มีผู้หญิงมากมายมาแบ่งปันความรักจากเขา
แต่ทว่า ตั้งแต่หลังจากขึ้นครองราชย์ ผู้หญิงที่อยู่นอกวังก็ถูกส่งตัวเข้ามาต่อเนื่องไม่ขาดสาย คนที่เข้ามาในแต่ละปีต่างรูปโฉมงดงามและชวนตะลึงไม่ซ้ำหน้า
ในขณะที่นางก็แก่ลงทุกปี รูปโฉมถดถอยลงทุกปี
แม้นางใช้ยาบำรุงไม่ขาด เสาะหาวิธีให้ความงามของตนคงอยู่ตลอดไป แต่เวลาผ่านไปไวราวติดปีก รูปโฉมของนางก็แก่ลง นางไม่อาจควบคุมวันเดือนที่รุกรากเข้ามาได้
เย่ฮองเฮาลูบคลำแก้มของตนเองอย่างอดไม่ได้ “เวลาก็ได้ผ่านนานมาแล้ว ยากที่ฝ่าจะทรงจำได้”
“ข้าย่อมจำได้ มีบางคราที่นึกถึงวันเวลาเหล่านั้นในใจพลันก็รู้สึกทนไม่ได้” ฮ่องเต้เจียเฉิงหลับตาถอนหายใจ “ข้ายังจำครั้งแรกที่เจ้าเต้นรำและจำเพรงแรกที่เจ้าร้องไห้แก่ข้าได้ เรื่องบางเรื่องก็ถูกสลักลึกเอาไว้ในใจ”
ที่แท้เขาก็จำได้ทุกอย่าง....
ตอนฮองเฮากำลังจะเอ่ยขึ้นมา ด้านนอกก็แว่วเสียงมา “ฝ่าบาท ฮองเฮาเพคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ!”
ฮองเฮาที่ถูกขัดจังหวะตอนกำลังจะพูดรู้สึกหัวเสีย แต่เสียที่ตอนนี้อยู่เบื้องหน้าพระพักตร์จึงทำอะไรไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้น? ฮ่องเต้เจียเฉิงถาม
“ตอบฝ่าบาท มีข่าวมาบอกว่าหรงฝินจับขันทีที่กำลังแอบลองวางยาได้คนหนึ่งเพคะ” นางกำนัลคนหนึ่งรีบร้องบอก
“อะไรนะ?” ฮ่องเต้เจียเฉิงดันมือของเย่ฮองเฮาออกผุดลุกขึ้นนั่ง
เย่ฮองเฮาที่ถูกเขาสลัดจนไปลอยอีกด้าน ดีที่นางมือไวรีบพยุงตัวได้ก่อน
แต่สีหน้านางกลับดูไม่ดี หากไม่ใช่เพราะใบหน้าแต้มชาดเอาไว้ต้องดูออกอย่างแน่นอนว่ายามนี้ใบหน้านางซีดเพียงใด
เวลานี้ในใจนางรู้สึกซับซ้อนปั่นป่วนไปหมด สีหน้าย่ำแย่
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทเพคะ นางกำนัลด้านนอกนั่นชอบฟังข่างลือไร้สาระ จะดูผิดหรือก็ยังไม่แน่ พระองค์ต้องทรงดูแลให้ความสำคัญกับร่างมังกรของพระองค์นะเพคะ” เย่ฮองเฮาตบเบาๆที่หลังพลางเอ่ยขึ้นที่ข้างหูของเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก