ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 303

ตอนที่ 303 บังเอิญพบกัน

​“เจ้าช่างตาดีเสียจริง นี่เป็นหยกโลหิตหงส์จริงๆ ดูเหมือนว่าที่ตำหนักของเจ้าเหมือนจะมีอยู่หนึ่งคู่ด้วยมิใช่หรือ?” เย่เซียวหลัวลูบหยกโลหิตหงส์ที่เป็นมันเงาบนศีรษะ มีความกระหยิ่มกระหย่อมเล็กน้อย

​“แม้ที่ตำหนักของหม่อมฉันจะมี แต่ว่าไม่ใช่หยกโลหิตหงส์หายากเหมือนดังที่พระชายาใช้เพคะ เวินอ๋องดีต่อพระชายาถึงเพียงนี้ ช่างน่าอิจฉาจริงๆเลยเพคะ” สตรีนางนั้นขุดรอยยิ้มออกมาไม่หยุด คิดเพียงแค่อยากให้อีกฝ่ายชอบนาง

​เอ่ยถึงเวินอ๋องขึ้นมาใบหน้าของเย่เซียวหลัวก็ชะงัก ไม่ปรากฏความลำพองใจเช่นเดิมเหลือเพียงความอึดอัดใจเท่านั้น

​ในสายตาของคนภายนอกล้วนต่างก็คิดว่าเวินอ๋องดีต่อนาง ความจริงมีเพียงแค่นางเท่านั้นที่รู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจอมปลอม

​“พระชายา ท่านเป็นอะไรไปรึเพคะ?” สตรีนางนั้นเห็นนางเปลี่ยนสีหน้าก็คิดไปว่าตนได้ทำให้นางโกรธเสียแล้วจึงรีบถามไถ่​

​ทั้งสองเดินเลี้ยวผ่านตรงมุมมุมหนึ่ง อารมณ์ของเย่เซียวหลัวย่ำแย่ลงไม่น้อยทว่าต่อหน้าสตรีนางนั้นนางกลับไม่แสดงสีหน้าใดๆออกมา

​ใบหน้าเผยรอยยิ้มจางๆ “เปล่า เพียงแค่คิดถึงเรื่องต่างๆก็เท่านั้น ท่านอ๋องดีกับข้ามากจริงๆ...”​กล่าวยังไม่ทันจบเมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเงาร่างขององค์หญิงเหอซื่อยืนอยู่ตรงหน้านาง ทั้งร่างปกคลุมไปด้วยสีขาว ท่อนล่างสวมกระโปรงสีขาว เส้นผมยาวราวกับนกเป็ดน้ำสยายอยู่ที่เอวราวกับดอกบัวบริสุทธิ์ที่โผล่พ้นออกมาจากน้ำ​มุมปากของนางค่อยๆแสยะเป็นรอยยิ้มราวกับหัวเราะเยาะถ้อยคำที่เย่เซียวหลัวเพิ่งกล่าวออกไปเมื่อครู่

ปากของเย่เซียวหลัวต้องการจะกล่าวประโยคต่อไปแต่หลังจากเห็นองค์หญิงเหอซื่อคำพูดเหล่านั้นก็อันธารหายไป

​“อา!” เย่เซียวหลัวพลันร้องขึ้น ยกสองมือขึ้นกุมศีรษะค่อยๆย่อกายลงกับพื้น​

นางยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร นางมิใช่ว่าตายไปแล้วหรอกเหรอ?อย่าบอกนะว่านี่เป็นเพียงความฝัน?

​“เข้าเฝ้าองค์หญิงเพคะ” เป็นสตรีด้านหลังที่ทำย่อกายคารวะนาง ช่างเป็นคนที่เข้าใจอะไรดีเสียจริง

​“ลุกขึ้นเถอะ” โล่หวินหลายเอ่ยยิ้มๆ ใบหน้าเผยรอยยิ้มสนิทสนม

​สตรีนางนั้นจึงค่อยก้มเอวมองว่าเย่เซียวหลัวเกิดอะไรขึ้น มือเพิ่งจะแตะเข้าที่ไหล่ของนางก็ถูกนางสะบัดออกทันที

​“อย่าแตะข้า” ทั้งร่างของเย่เซียวหลัวสั่นไปทั้งตัว

​เห็นนางลุกลี้ลุกลนเสียสติถึงเพียงนี้โล่หวินหลานถึงนึกขึ้นได้ว่าคืนนั้นอาลั่วหลันกับหมิงซีได้ร่วมมือกันทำเอาเสียนางตกใจก้นขวิดปัสสาวะราด

​วันนี้นางได้มีโอกาศเข้าวังที่หาได้น้อยครั้ง กลับมาได้พบเจอกับคนที่ตนได้ลงมือฆ่าตายไปแล้ว​“ข้าจัดการเอง อาจเป็นเพราะพระชายาของพวกเจ้าเห็นข้าจึงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาก็เป็นได้” ใบหน้าโล่หวินหลานมีรอยยิ้ม นางย่อกายลงช่วยพยุงเย่เซียวหลัว

​“ไสหัวไป ข้าไม่ต้องการน้ำใจจอมปลอมของเจ้า! ข้าบอกไปแล้วว่าข้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเจ้า เหตุใดเจ้าจึงยังมาหาข้าอีก?” เย่เซียวหลัวก้มศีรษะ

​รีบใช้มือของตนปัดสองมือของโล่หวินหลานออก

​“เจ้าเป็นผีหรือว่าเป็นคน?” น้ำเสียงของเย่เซียวหลัวที่เอ่ยออกมาสั่นสะท้านอย่างกลั้นไม่อยุ่

​เป็นผิดหรือว่าคนงั้นรึ? ไม่มีคำถามไหนง่ายไปกว่านี้แล้ว

​“พระชายาท่านเลอะเลือนไปแล้วหรือเพคะ? หม่อมฉันอยู่ที่ดงหัวเยี้ยนมาตลอด เหตุใดจึงถามคำถามเช่นนี้กันล่ะเพคะ?” โล่หวินหลานถามยิ้มๆ

​สีหน้าเย่เซียวหลัวดูไม่ดี ประเดี๋ยวขาวประเดี๋ยวซีด

​นางไม่แน่ใจจริงๆว่านางดูผิดไปเองหรือว่าโล่หวินหลาน...

​เป็นไปไม่ได้ โล่หวินหลานในตอนนี้ทั้งพูดได้เดินได้ ทั้งยังมีชีวิตอยู่ใต้แสงอาทิตย์คงไม่ใช่คนที่ตายไปแล้วแน่ๆ

​“องค์หญิงเหอซื่อ เจ้า คิดจะทำอย่างไรกันแน่?” เย่เซียวหลัวค่อยๆเงยหน้าขึ้น พยายามข่มกลั้นให้ตัวเองสงบลงลง

​ยังมีคนอยู่ด้านหลังนาง นางไม่สามารถเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ออกมาได้และไม่สามารถแสดงท่าทางที่ผิดปกติเกินไป​“ดูแล้วพระชายาคงนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ขึ้นมากระมัง จึงได้มีปฏิกิริยาใหญ่โตถึงเพียงนี้?” โล่หวินหลานแพ่งสายตาทั้งรุนแรงทั้งรวดเร็วไปยังเย่เซียวหลัว

​เดิมทั้งร่างของเย่เซียวหลัวยังคงสั่นเทา แต่นาทีนี้ค่อยๆสงบลงแล้ว แม้แต่ใบหน้าก็ยังปรากฏรอยยิ้มบางเบาหนึ่งสาย ไม่เหลือท่าทางหวาดกลัวเมื่อครู่อีกแล้ว

​“ช่างเป็นการโคจรมาเจอศัตรูจริงๆ” เย่เซียวหลัวพึมพำเสียงต่ำจากนั้นก็ฉีกยิ้มขึ้นมาทว่าใบหน้ากลับไม่น่ามองราวกับว่าจะมีเลือดทะลักออกมา “เหตุใดวันนี้องค์หญิงเหอซื่อจึงออกมาได้? อย่าบอกนะว่าอยู่ที่สวนจนเบื่อแล้วจึงออกมาหาดูเรื่องสำราญ”

​โล่หวินหลานไม่แสดงสีหน้าใดออกมา ยังคงยิ้มเช่นเมื่อครู่ “หม่อมฉันแค่ออกมาเดินเล่นเท่านั้น ไม่ได้ทำสิ่งใด ไม่คิดว่าจะได้มาเจอพระชายาเวินอ๋องที่นี่ ช่างบังเอิญจริงๆเพคะ”

​“บังเอิญ? วันนี้ข้ากับเวินอ๋องเข้ามาในวังทุกคนล้วนรับรู้ เจ้าตั้งใจออกมาขวางทางข้าเช่นนี้เพื่ออะไรกัน? อย่าบอกนะว่าคิดจะมาเจอใครที่นี่?” เย่เซียวหลัวพลันนึกถึงเวินอ๋องขึ้นมา

วินาทีนั้นโทสะก็ลุกโชนขึ้นมาในอกอย่างควบคุมไม่อยู่​ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนคิดถึงแต่เวินอ๋อง ชีวิตนี้ในใจของนางนอกจากเวินอ๋องแล้วคงไม่สามารถยัดผู้ใดเข้าไปได้อีก​และเวินอ๋องก็ยังเป็นจุดอ่อนของนางเสมอมา

​โล่หวินหลานไม่มีทางให้ความสนใจที่สตรีจอมเกรี้ยวกราดผู้นี้ร้องโวยขึ้นมา ทำเพียงแค่ยืนมองสีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่ายเท่านั้น รอจนนางใจเย็นลงจึงค่อยกล่าวว่า

​“องค์หญิง หากเดินต่อไปอีกสองก้าวก็จะเป็นดงหัวเยี้ยนเพคะ หม่อมฉันกำลังจะกลับตำหนัก หากองค์หญิงไม่มีธุระอะไรไม่สู้ไปนั่งเล่นที่ดงหัวเยี้ยนสักครู่เถอะเพคะ” โล่หวินหลายเชิญแขกอย่างมีไมตรี

​คาดไม่ถึงว่าเย่เซียวหลัวจะทำเพียงเหยียดยิ้มราวกับไม่เต็มใจจะตอบว่า “ดงหัวเยี้ยนแห่งนั้นมีที่สำหรับนั่งด้วยงั้นรึ? เวินอ๋องยังคอยข้าอยู่ ข้าไปก่อนล่ะ”

​โล่หวินหลานยิ้มอ่อน “เช่นนั้นพระชายาก็เดินดีๆนะเพคะ”

​เย่เซียวหลัวคิดเพียงแค่อยากจะจากไปเร็วๆ เพียงแค่มองโล่หวินหลานมากกว่านี้อีกหน่อยนางก็รู้สึกเหมือนท้องไส้ปั่นป่วนแล้ว

​“พระชายาดูเหมือนท่านจะกลัวองค์หญิงเหอซื่อนะเพคะ?” เมื่อสาวเท้าตามเย่เซียวหลัวทัน สตรีนางนั้นก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

​เย่เซียวหลัวหันไปมองนาง สายตามีทั้งความเย็นชาและความสงสัย “หมายความเช่นไรของเจ้า? ข้ากลัวนางงั้นรึ? ข้าก็แค่ไม่อยากเจอนางก็เท่านั้น”

​เงาร่างของทั้งคู่ยังไม่พ้นตรงหัวมุมถนน โล่หวินหลานเองก็ยังไม่ได้เดินจากไปไกลดังนั้นจึงนำคำของคนผู้นั้นมาใจ

​“ข้าย่อมเชื่อท่านอยู่แล้วเพคะพระชายา เพียงแค่รู้สึกว่าองค์หญิงดูไปแล้วช่างแตกต่างนัก หว่างคิ้วของนางแฝงไปด้วยความงามจางๆ ช่างน่าดูชมจริงๆเลยเพคะ” สตรีนางนั้นกล่าว

​ถูกต้อง โล่หวินหลานมีใบหน้างดงามชวนตะลึงอย่างยิ่ง แต่ความงามของเย่เซียวหลัวเองก็เป็นที่หนึ่งในเมืองเช่นกัน องค์หญิงเหอซื่อผู้นี้มีเพียงใบหน้าน่าดูชมเช่นนี้จะรู้ได้อย่างไรว่าลึกๆแล้วนางทำอะไรไว้บ้าง

​“องค์หญิงเหอซื่อมีรูปโฉมไม่เลว แต่ว่าต่อให้งดงามกว่านี้ก็ต้องมีวันที่แก่ชราลง ถึงตอนนั่นยังจะมีอะไรให้น่าดูอีกหรือ?” เย่เซียวหลัวหันไปมองสตรีด้านข้าง ใช้สายตาเดือดดาลจ้องไปที่นางบอกใบไม่ให้นางพูดจาเลอะเทอะ

​“เพคะ พระชายากล่าวถูกต้องแล้วเพคะ” สตรีนางนั้นรีบเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เอ่ยอย่างตื่นตระหนก​เย่เซียวหลัวเห็นสตรีนางนั้นไม่ได้คัดค้านนางอีกก็หมุนกายจากไปอย่างพอใจ

​โล่หวินหลายที่อยู่ด้านหลังใช้สายตามองตามไปยังร่างของนางกระทั่งร่างนั้นลับสายไปตรงมุมอับ

​“องค์หญิงเพคะ จะปล่อยนางไปเสียอย่างนี้รึเพคะ?” ไซ่เยว่นึกถึงยามที่เย่เซียวหลัวมองมายังโล่หวินหลานก็คิดว่าควรจะจัดการสั่งสอนให้ดีๆ

​โล่หวินหลานกลับมิคิดเช่นนั้น “หลายวันแล้วที่เย่เซียวหลัวไม่ได้เข้าวัง เหตุที่อยู่ๆนางก็เข้าวังมาเช่นนี้ต้องเป็นเรื่องที่นางล้มลงกับพื้นครั้งก่อนรวมเรื่องในวันพรุ่งนี้แน่ๆ ในเมื่อฮ่องเต้เจียเฉิงประกาศเรียนกนางเข้าวังจะต้องเป็นเพราะเรื่องทั้งหมดถูกจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งยังไม่มีผลเสียต่อนางอีกด้วย”

​“องค์หญิงเพคะ เรื่องเมื่อครั้งก่อนโด่งดังไปทั่วทั้งเมืองแต่กลับเงียบหายไปแบบนี้เสียเฉยๆรึเพคะ? แม้แต่ฮ่องเต้เจียเฉิงก็คิดไม่เอ่ยถามอะไรเลยรึเพคะ?” ไซ่เยว่พยุงนางไปยังดงหัวเยี้ยนพลางเอ่ออย่างโมโห

​โล่หวินหลานมองไซ่เยว่ยิ้มๆ นางก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่งเหมือนกัน จึงทำเพียงแค่อธิบายง่ายๆ “สถานการ์ณตอนนี้ของหมิงอ๋องได้กลบเย่เซียวหลัวไปเสียมิดแล้ว ครั้งนี้ที่ประชาชนทั้งเมืองวิพากษณ์วิจารณ์ไม่ใช่เป็นหกล้มบนพื้นนั่นอีกแล้ว ดังนั้นฮ่องเต้เจียเฉิงจึงไม่เอาเรื่องนี้ไปใส่ใจ”

​กล่าวไปแล้วก็ไม่ใช่เป็นเพราะเรื่องของโม่ฉีหมิงหรอกรึ ทว่าอย่างไรเรื่องนี่ยังอยู่ในการควบคุมนาง สถานการ์ณจึงยังไม่เบนเข็มหลุดออกไปไกลเท่าไหร่นัก

​ไซ่เยว่พยักหน้าแล้วก้มหน้าลง ไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่

​เดินพ้นออกมาจากมุมแล้ว เย่เซียวหลัวก็ไม่อาจสงบจิตสงบใจได้อยู่เป็นนาน ใจคิดถึงแต่ใบหน้านั้นของโล่หวินหลานที่ไม่เหมือนกับเคยถูกนางใช้มีดกรีดเลยแม้แต่นิดเดียว อย่าบอกนะว่า...

​นางผู้นั้นหลอกคนอื่นมาโดยตลอด?

แม้ความรู้สึกนึกคิดของเย่เซียวหลัวจะชัดเจนเพียงใด แต่ที่แท้แล้ววันเวลาที่ผ่านมานางได้หลอกตัวเองมาตลอด ที่แท้นางก็ไม่ได้ตาย

​แต่ว่าทำไมนางต้องทำแบบนี้ด้วยล่ะ?

​ทำไมนางไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกฮ่องเต้เจียเฉิงให้พระองค์ช่วยออกหน้าให้นาง แต่กลับทำเป็นเหมือนว่าที่ผ่านมาไม่เคยเกิดอะไรขึ้น?​นางทำแบบนี้แล้วได้อะไร?

​“พระชายาเวินอ๋อง... พระชายาเพคะ? ท่านเป็นอะไรไปเพคะ” สตรีที่อยู่ข้างกายนางเรียกอีกครั้งถึงดึงสติของนางกลับมาได้​

“ไม่มีอะไร แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย” เย่เซียวหลัวแสร้งยิ้มตอบกลับไป

​สตรีนางนั้นเห็นนางไม่เป็นอะไรก็ชี้นิ้วไปที่ด้านซ้าย เอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่หม่อมฉันเห็นเวินอ๋องออกมาจากตรงนั้น หม่อมฉันเรียกท่านหลายรอบแล้วแต่กลับไม่ได้ยิน”

​เวินอ๋อง? เย่เซียวหลัวช้อนตาขึ้นทันที ทั้งสองกำลังเดินไปที่สวนในเขตพระราชฐาน เวินอ๋องเดินตรงไปทางนั้นคิดจะไปที่ใดกัน?

​วันนี้พวกเขามาคารวะต้วนกุ้ยเฟย ตอนที่นางออกมาเวินอ๋องยังอยู่ที่ตำหนักของต้วนกุ้ยเฟย เหตุใดเขาจึงออกมาเร็วขนาดนี้?

​“ข้าจะไปดูสักหน่อย เจ้าไปก่อนเถอะ” เย่เซียวหลัวกล่าวจบ ก็ลากขาไปตรงตำแหน่งที่เวินอ๋องอยู่

​เดินบนพื้นหิมะเช่นนี้ลำยากไม่น้อยแต่เย่เซียวหลัวที่ไม่สนใจสิ่งใดก็ยังก้าววิ่งไปยังจุดตรงหัวมุมหนึ่งที่ปรากฏชายแขนเสื้อของเวินอ๋อง ครั้นเมื่อนางกระพริบตาก็ไม่เห็นเสียแล้ว

​นางพยายามวิ่งไปด้านหน้า หวังจะตามฝีเท้าเขาให้ทัน แต่ว่าจนใจที่ก้อนหินด้านหน้าก้อนหนึ่งทำนางสะดุดล้มลง ร่างทั้งร่างพลันลมลงบนพื้น

​กินหิมะเข้าไปเต็มๆคำ ไอเย็นค่อยๆเข้าไปทางปากไหลลงสู่กระเพาะ ปลายจมูกเย็นเยือกราวกับถูกแช่แข็งไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น

​คิดจะยันกายขึ้นมาแต่ข้อเท้ากลับเจ็บจึงทำได้เพียงแค่ฟุบกายลงบนหิมะเท่านั้น รอจนอาการเจ็บที่ข้อเท้าบรรเทาลงแล้วจึงค่อยลุกไปต่อได้

​โล่หวินหลานเพิ่งเข้ามาในห้องไซ่เยว่ก็เพิ่มถ่านฟืนเข้าไปอีกจากนั้นจึงค่อยส่งเตาอุ่นพกใส่มือของนาง

​“เมื่อครู่ออกไปนานแล้ว องค์หญิงกอดเตาอุ่นพกนี่ก่อนเถอะเพคะ” โล่หวินหลานเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ คิดถึงเรื่องที่ตัวเองได้พบกับเย่เซียวหลัวเมื่อครู่นี้

เมื่อหลับตาลง ในสมองกลับไม่สามารถใจเย็นลงได้จึงค่อยๆเปิดตาทั้งสองข้างขึ้นอย่างช้าๆ​เวลานี้ด้านนอกกลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

​ไซ่เยว่เปิดประตู เห็นเพียงร่างของเวินอ๋องยืนอยู่ด้านนอกคล้ายกับว่าความตกใจเล็กน้อย

​“องค์หญิง เวินอ๋องมาเจ้าค่ะ” ไซ่เยว่หันหน้ากลับมาเอ่ย

​เวินอ๋อง? วันนี้เย่เซียวหลัวเข้าวังเวินอ๋องย่อมเข้าวังมาด้วย โล่หวินหลานรู้ดีว่าวันนี้ที่เขามาต้องมาเพราะเรื่องเมื่อคราวก่อนแน่

​โล่หวินหลานคิด เวลานี้ก็ผ่านไปหลานวันแล้ว วันนี้คงต้องให้คำตอบแก่เขาแล้วกระมัง

​“ให้เขาเข้ามา” โล่หวินหลานสวมรองเท้าหุ้มข้อ ยามเดินออกจากหลังกำแพงก็พอดีเห็นเงาร่างของเวินอ๋องเข้ามา​

“วันนี้เวินอ๋องเข้าวังมาเข้าเฝ้ากุ้ยเฟย เหตุใดจึงออกมาเร็วถึงเพียงนี้กันเพคะ?” โล่หวินหลานไม่ได้ย่อกายคารวะเขา ราวกับที่การทั้งคู่เจอกันเป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์ฉันท์สหายธรรมดา

​สำหรับเขา โล่หวินหลานไม่คิดอยากจะแสดงเคารพ

​เวินอ๋องนั่งลง ไซ่เยว่ที่อยู่ด้านข้างหลังจากช่วยรินชาให้ทั้งสองแล้วก็ก้าวถอยหลังออกจากประตูไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก