ตอนที่ 305 ถอดหน้ากาก
อาลั่วหลันตกใจจนหน้าถอดสี ที่แท้พวกเขามาก็เพื่อรักษานางอย่างนั้นหรือนี่?
นอกจากใบหน้าปลอมแผ่นนี้แล้วส่วนอื่นบนร่างกายของนางก็ไม่มีบาดแผล และเพราะอย่างนั้นเองนางจึงไม่สามารถพูดออกไปได้
หากทักษะการแพทย์ของหมอที่พวกเขาพามาสูงส่งจริงล่ะก็จะต้องดูออกเป็นแน่ว่าใบหน้านี้ของนางเป็นของปลอม
“เจ้าจะรักษาอย่างไร” อาลั่วหลันเห็นว่าไม่อาจหลบเลี่ยงได้แล้วจึงทำได้เพียงแค่ถ่วงเวลาออกไปอีกสักนิด
“ง่ายมากพะย่ะค่ะ พระชายาจำเรื่องเมื่อกี้ไม่ได้นั้นเป็นเพราะศีรษะของท่านได้รับความกระทบกระเทือนด้วยแรงกระตุ้นบางอย่าง กระหม่อมมีวิธีรักษาหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้ท่านจำเรื่องที่ในอดีตได้พะย่ะค่ะ”
สวินโม่พยักหน้าให้นางอย่างหนักแน่น บอกใบ้ว่านางไม่ต้องกังวล
“ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้าไม่ใช่พระชายา เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่เคยพบเจอมาก่อนแล้วจะนึกออกได้อย่างไร? ต่อให้เจ้าที่เป็นหมอมารักษาข้าก็จำไม่ได้อยู่ดี” อาลั่วหลันเบะปาก นางรู้สึกคารวะต่อจิตนาการล้ำเลิศของพวกเขาจริงๆ
แต่ว่าสวินโม่กลับไม่สนใจคำพูดของนางสักนิด ชี้นิ้วไปที่กล่องยาสีหน้ามีความรักใคร่เอ็นดูยิ่ง“พระชายาท่านดูนั่นสิพะย่ะค่ะ เหล่านั้นล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าของกระหม่อม ขอเวลาให้กระหม่อมสักนิด กระหม่อมรับปากกับท่านว่าจะใช้พวกมันรักษาท่านให้หายให้จงได้”
โม่ฉีหมิงมุมปากกระตุก น้ำชาในถ้วยที่เขากำไว้เพื่อสกัดไม่ให้ตัวเองสั่นขึ้นมากระฉอกออกมาด้านนอกสามหยดก่อนหน้านี้ไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าสวินโม่มีพรสวรรค์ด้านนี้ของพวกนั้นยังสามารถเรียกว่า “สมบัติล้ำค่า” ได้อีกรึ?
มองดูเข็มเงินที่ทั้งยาวทั้งเรียวเล็กอาลั่วหลันก็แทบจะเป็นลม หรือชีวิตของนางจะสิ้นสุดในวันนี้เอง?
“ข้าบอกไม่ได้ก็คือไม่ได้ เจ้าถอยไป ไม่อย่างนั้นข้าจะลงมือจริงๆด้วยนะ” อาลั่วหลันถือหมอนขึ้นมาหนึ่งใบสะบัดไปมารอบตัวเองเพื่อไล่สวินโม่
“พระชายา กระหม่อมหวังดีต่อท่านจริงๆ ไม่ว่าท่านจะนึกเรื่องเมื่อก่อนนี้ออกหรือไม่ ของให้กระหม่อมฝังเข็มให้ท่านสักคราก็รู้แล้ว ไม่เจ็บมากหรอกพะย่ะค่ะ” สวินโม่เอ่ยจบก็ยื่นมือไปคว้าเข็มเงินหนึ่งจากในกล่องยาทำท่าจะเข้าไปฝังมันลงบนร่างของอาลั่วหลัน
เคยเห็นทะษะจี้จุดของโม่ฉีหมิงมาแล้วอาลั่วหลันจึงไม่คิดอยากจะซ้ำรอยเดิม เห็นสวินโม่ใกล้เข้ามาถึงตนจึงรีบใช้หมอนในมือโบกไปที่หน้าเขาอย่างรวดเร็ว
แต่ทว่าเพิ่งจะยืดแขนออกไปครึ่งเดียวหลังคอก็พลันรู้สึกเจ็บขึ้นมาจากนั้นความรู้สึกนึกคิดก็หายไปภายในห้องเงียบลงชะงักเหลือเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของคนไม่กี่คน
เย่หวินมองโม่ฉีหมิง ลดมือที่ตีอาลั่วหลันสลบลง เช็ดเหงื่อที่ผุดพลายออกมาบนหน้าผาก
เมื่อยื่นมือออกไปรวบร่างของอาลั่วหลันแล้วก็วางนางลงบนเตียงจากนั้นก็ห่มผ้าให้ถ้าไม่ใช่เพราะนิสัยของนางกับโล่หวินหลานต่างกันราวฟ้ากับเหวเช่นนี้
อาศัยแค่ใบหน้านี้ของนางก็เพียงพอทำให้คนหลงเชื่อแล้วว่าคือโล่หวินหลานตัวจริง“ท่านอ๋อง เรื่องนี้เป็นมาอย่างไรรึเพคะ?” เย่หวินขมวดคิ้วมองโม่ฉีหมิง
เดิมทีนางทำภารกิจอยู่ที่ยงโจวอีกไม่กี่วันก็จะลุล่วงสามารถกลับมาเมืองหลวงได้แล้ว แต่สอนวันก่อนมีนกพิราบสื่อสารได้ส่งจดหมายบอกให้นางกลับมาที่เมืองหลวงอย่างเร่งด่วน บนจดหมายไม่ได้ทิ้งรายละเอียดอะไรไว้
เมื่อกลับมาถึงจึงพบว่าที่แท้ก็พบตัวพระชายาแล้ว
ความยินดีนี้กระหึ่มในสมองนางไม่หยุด นี่เป็นช่วงเวลาที่นางมีความสุขที่สุดในรอบหนึ่งปี
แต่เมื่อพบหน้าจึงค่อยพบว่าแม้พระชายาคนนี้จะมีใบหน้าเหมือนกับโล่หวินหลานทุกกระเบียดนิ้วแต่นิสัยของนางกับพระชายาแตกต่างราวกับไม่ใช่คนเดียว ทำให้นางผิดหวังอย่างมาก
“ข้าพบนางในวัง แต่เดิมนางเป็นหญิงรับใช้ขององค์หญิงเหอซื่อที่มาเข้าพิธีอภิเษกสมรสจากแคว้นเซิ่งโจว ข้าเข้าใจผิดคิดว่านางเป็นโล่หวินหลานมาตลอด ผลสุดท้ายกลับพบว่าแค่หน้าเหมือนเท่านั้น” โม่ฉีหมิงแค่นหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ รู้สึกว่าตัวเองเลอะเลือนเกินไปแล้ว
แม้แต่สตรีในดวงใจตัวเองยังแยกไม่ออก ทั้งยังหุนหันพลันแล่นเข้าใจผิดคิดว่าคนที่หน้าตาเหมือนโล่หวินหลานก็คือนาง
“องค์หญิงเหอซื่อ? ตอนที่หม่อมฉันอยู่ที่ยงโจวก็เคยได้ยินชื่อของนางเหมือนกัน ข้างนอกนั่นลือวันว่านางแข่งประลองม้ากับพระชายาเวินอ๋องที่ลานล่าสัตว์ แล้วก็ได้ช่วยอ๋องหลัวไว้ด้วย คนข้างนอกนั้นล้วนกล่าวกันว่านางเป็นองค์หญิงที่ไม่เลวเลยน่าเสียดายที่ฮ่องเต้เจียเฉิงไม่ยอมเลือกคู่ให้นางสักที” เย่หวินย่นคิ้วขณะกล่าว
ที่แท้คนผู้นี้ก็คือหญิงรับใช้ขององค์หญิงเหอซื่อ แต่ก็ไม่แปลก ในเมื่อองค์หญิงเหอซื่อเป็นผู้ที่มากความสามารถ ที่ข้างนอกนั่นอยากจะเก็บนางไว้ก็ถือว่าไม่แน่
โม่ฉีหมิงพยักหน้ารับอย่างยากลำบาก ไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมาอีกเพียงแค่มองไปที่สวินโม่เท่านั่นจุดมุงหมายที่มาวันนี้ก็เพื่อยืนยันเรื่องที่เขาคิดไว้ บางทีเขาอาจจะผิดตั้งแต่ต้นก็ได้
สวินโม่ปิดกล่องยา วันนี้ไม่จำเป็นต้องใช้กล่องยาสักนิด เขาก็เพียงแค่อยากดูว่าหากเป็นโล่หวินหลานตัวจริงย่อมต้องรู้ว่าเขาจะทำอะไร
อาลั่วหลันนอนอยู่บนเตียงอย่างสงบ ขนตาสะท้อนกับแสงแดดเป็นเงายาวดูแล้วช่างบริสุทธิ์ไร้พิษภัย
เพราะอะไรใบหน้านี้จึงเหมือนกับโล่หวินหลานไปทุกกระเบียดนิ้วถึงเพียงนี้?
สองมือของสวินโม่สัมผัสกับหน้าผากของนางอย่างช้าๆ ผิวหน้าของนางไม่ผิดไปจากคนปกติกระทั่งผิวยังอ่อนนุ่มเรียบรื่นเสียด้วยซ้ำ
บนผิวบางราวปีกจั่นนั้นถูกเขาวาดมือลงไปอย่างค่อยๆ ไล่ตั้งแต่ส่วนมุมสุดจรดปลายจมูก รู้สึกคล้ายกับว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่กลับไม่พบ
ใบหน้าของนางไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาด ดูไปแล้วไม่ผิดจากคนทั่วไปสักนิด แต่นั่นก็หมายความว่าก็ยิ่งมีปัญหาทันใดนั้นก็พบก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งนูนออกมาบริเวณหลังหูของนางสองมือของสวินโม่ชะงักก่อนจะยื่นออกไปจับ จริงเสียด้วยสิ่งที่นูนออกมานั้นมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
“ท่านอ๋อง เจอแล้วขอรับ” สวินโม่หันไปเอ่ยกับโม่ฉีหมิง สีหน้าแสดงออกว่าตื่นตกใจ
“มันคืออะไร?” โม่ฉีหมิงถาม
“มันเป็นทักษะการแปลงโฉมที่หายสาบสูญไปนานแล้วขอรับ” สวินโม่เอ่ยออกไปอย่างไม่รู้สึกตัว
ทักษะการแปลงโฉมงั้นรึ?
อารมณ์บนใบหน้าของทุกคนแตกต่างกัน แต่ล้วนแฝงไปด้วยความตกตะลึง
ที่แท้ก็เป็นทักษะการแปลงโฉมที่หายสาบสูญไปนาน
“เคยมีระยะหนึ่งที่เมืองแห่งหนึ่งของแค้วนโม่ฉีมีกลุ่มคนที่มีวิชาแปลงโฉม พวกเขาไม่ใช่คนแคว้นเราแต่เป็นคนแคว้นอื่นที่มาที่นี่เพราะต้องการก่อจลาจล
ฝ่าบาทไม่มีทางเลือกจึงส่งทหารไปรวบตัวพวกเขา แต่เป็นเพราะมีฝีมือแปลงโฉม ระหว่างที่ทำการรวบตัวคนเหล่าทหารจึงเผลอฆ่าคนของตัวเองไปไม่น้อย สุดท้ายจึงต้องรวบรวมเอาตำราและยาที่เกี่ยวข้องกับการแปลงโฉมนั่นเผาทำลายจนสิ้นถึงสามารถจับพวกเขามาได้” เรื่องนี้โม่ฉีหมิงจำได้แม่นยำนัก
ต่อมาเขาเคยคิดอยากออกไปหาซากหนังสือที่ยังไม่ถูกเผาจนหมดพวกนั้น แต่หาอย่างไรก็ไม่พบ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ทักษะการแปลงโฉมก็ควรจะหายไปแล้ว เหตุใดตอนนี้จึงโผล่ขึ้นมาได้?” เย่หวินถามอย่างไม่เข้าใจ
“บางทีตอนนั้นคงมีบางคนได้รับผลประโยชน์จึงให้เขาเก็บตำรานั่นเอาไว้” โม่ฉีหมิงคาดเดา
สวินโม่ขมวดคิ้ว “ในเมื่อหญิงรับใช้ผู้นี้เป็นคนขององค์หญิงเหอซื่อ เช่นนั้นไม่แน่ว่าเรื่องแปลงโฉมในครั้งนี้องค์หญิงเหอซื่อก็อาจจะมีส่วนร่วมด้วย พวกเราลองถามนางดีรึไม่ขอรับ?”
ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เป็นมาอย่างไรโม่ฉีหมิงรู้แจ้งดี ที่ทั้งหมดกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ก็เพราะความผิดของเขา
“ในเมื่อเรื่องถูกตรวจสอบออกมาแล้วพวกเจ้าก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปเสีย ส่วนคนผู้นี้พวกเจ้าก็จงทำเหมือนว่านางคือพระชายาต่อไป” โม่ฉีหมิงไพล่มือไปด้านหลัง กล่าวประโยคโดยไม่หันหน้ามา
ไม่มีใครรู้ว่าในใจเขาคิดอะไร แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันเพราะใบหน้านี้เขาจึงปล่อยมือจากคนที่เขาพยายามเสาะหาจนเจอ ช่างเป็นเรื่องโง่งมอย่างแท้จริง
แต่ว่ายังดีที่ตอนนี้เขาได้รู้แล้วและโล่หวินหลานก็ยังไม่ได้เลือกใคร เขายังมีโอกาสท้องฟ้าค่อยๆมืดลงแล้ว ไซ่เยว่จุดตะเกียงไฟหลายอันทำให้ในห้องดูอบอุ่นขึ้นมา
“องค์หญิง เตียงปูเสร็จแล้วเพคะ ท่านรีบเข้าบรรทมเถอะเพคะ” ไซ่เยว่เอาถุงร้อนสอดไว้ใต้เตียงเพื่อรักษาความอบอุ่น รอจนโล่หวินหลานขึ้นเตียงก็จะไม่รู้สึกหนาวเท่าไหร่นัก
“เรื่องที่ข้าวานให้เจ้าไปตรวจสอบระยะนี้เป็นอยางไรบ้าง?” โล่หวินหลานถอดรองเท้า ผมยาวสยายถึงกลางหลังขณะนั่งอยู่บนเตียง
“เมื่อองค์หญิงสั่งมาไซ่เยว่ย่อมต้องพยามยามทำงานอย่างดีที่สุดเพคะ สองสามวันมานี้แม้ข่าวสารจะไม่มาก ถูกคนมากมายปกปิดเอาไว้ แต่ว่าหม่อมฉันก็ได้ข่าวที่เกี่ยวข้องมาไม่น้อยเลยเพคะ” ไซ่เยว่กำสองมือเป็นกำปั้นขณะเอ่ยขึ้นมา
เรื่องนี้ซับซ้อนมากไม่ใช่แค่ใช้เวลาครู่หนึ่งก็สามารถตรวจสอบออกมาได้ แต่เวลาเพิ่งผ่านไปไม่กี่วันไซ่เยว่ก็มีความคืบหน้าแล้ว ไม่เสียทีที่เป็นคนที่โม่ฉีหมิงส่งมา
“องค์หญิงเพคะ ตั้งแต่ที่ขันทีผู้นั้นถูกจับขังคุกก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้อีกเลย เพราะคำพูดประโยคนั้นของฮ่องเต้เจียเฉิง ฮองเฮาจึงตรวจสอบบันทึกของนางกำนันรวมถึงขันทีในวังมาโดยตลอดเพคะ แต่ก็ไม่พบเบาะแสใดๆ” ไซ่เยว่ตอบ
“แล้วทางด้านหลงผินล่ะ?” โล่หวินหลานเอนหลังพิงเตียง
“ด้านหลงผิงยังไม่มีความเคลื่อนไหวเพคะ แล้วก็ยังไม่ได้พบหน้าฮ่องเต้เจียเฉิงแม้สักครั้งเลยเพคะ” ไซ่เยว่ย่นคิ้วคิดแต่ก็เอ่ยออกมา
เรื่องนี้คนที่ได้รับผลประโยชน์ชิ้นโตสุดก็คือหลงผิน นางไม่ต้องทำสิ่งใดเลย เรื่องในครั้งนี้ถูกกำหนดแล้วว่าฮองเฮาจะต้องถูกหลงผินเหยียบไว้ใต้เท้าอย่างโหดเหี้ยม
“หลงผินช่างวางแผนการเก่งเสียจริง เวลานี้ยังสามารถหลบหลีกมิให้น้ำครำสกปรกโดยตัวได้แม้แต่หยดเดียว” คำพูดของโล่หวินหลานมีความชื่นชมอยู่หลายส่วน
เมื่อก่อนตอนที่นางยังอยู่กับโม่ฉีหมิง พวกเขาทั้งสองชอบเดินเข้าตำหนักนู้นออกตำหนักนี้ นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างหรงผินกับเฉินเฟยก็ไม่ใช่ธรรมดา พวกเขาย่อมเพิ่มความใกล้ชิดสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากขึ้นด้วย
“หรงผินผู้นี้เป็นคนที่เก่งกาจจริงๆเพคะ” ไซ่เยว่ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
“หรงผินเก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพียงแค่ตั้งแต่เกิดเรื่องที่เฉินเฟยตายนางก็ตรอมใจมาตลอด ไม่มีความคิดที่จะต่อสู้แย่งชิงกับใคร มาวันนี้ขอเพียงนางคิดย่อมไม่มีใครสามารถงัดข้อกับนางได้แน่” ความหมายในคำพูดโล่หวินหลานชัดเจนแล้วว่าในวังหลวงแห่งนี้ วังหลังไม่ได้เป็นของฮองเฮาผู้เดียวอีกต่อไปแล้ว
“เอาล่ะ ข้าอยากนอนแล้ว เจ้าเองก็รีบพักผ่อนเถอะ” โล่หวินหลานเอนกานนอนลงบนเตียง สองมือหนุนอยู่ใต้ศีรษะ
เมื่อออกประตูมาในใจของไซ่เยว่ก็คิดถึงเรื่องนี้ไม่หยุด ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว โล่หวินหลานเองก็นอนแล้ว
เวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับออกจากวัง
ไซ่เยว่คิด หากนางเอาเรื่องคืนนี้ทั้งหมดไปบอกแก่ตำหนักหมิงอ๋อง ท่านอ๋องจะต้องมีวิธีรับมือแน่ๆ
คิดได้อย่างนี้แล้วไซ่เยว่ก็เข้าห้องไปเปลี่ยนชุดทั้งตัว ชุดยามราตรีห่อหุ้มร่างนางอย่างรัดกุม
นางเดินไต่บนหลังคาอย่างง่ายดาย ร่างบางของไซ่เยว่กระโดดไปบนกำแพงสูง หลบหลีกจากทหารยามทุกนายที่เจอ
เมื่อหยุดเท้าลง ไซ่เยว่ก็เห็นยอดหลังคาที่คุ้นตาจากนั้นก็กระโดดลงสู่สวนในตำหนักหมิงอ๋อง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก