ตอนที่ 306ความโกรธที่ปะทุออกมา
เย่หวินพอดีกับออกมาจากในห้องของอาลั่วหลันณ เวลานั้นเขาก็ไม่ได้ลงไม้ลงมือหนักทำไมจวบจนกระทั่งตอนนี้ยังไม่ตื่นขึ้นมา แม้แต่อาหารเย็นก็ไม่มีประโยชน์อันใดแล้วเพิ่งจะผ่านทางเลี้ยวตรงระเบียง ร่างที่สวมชุดสีชมพูก็ผ่านเข้าตามาพินิจดูรูปร่างที่คลับคล้ายคลับคลานี้เย่หวินรีบเดินไปด้านหน้า
“ไซ่เยว่เป็นเจ้าจริงๆด้วยๆข้ายังคิดว่าข้ามองคนผิดไปเสียแล้ว”เย่หวินดึงมือไซ่เยว่ไว้อย่างดีอกดีใจหัวเราะออกมาด้วยความเบิกบานใจ
ไม่เจอเพื่อนเก่าเป็นเวลานานจึงรู้สึกปีติยินดีไซ่เยว่กุมมือนางกลับ“ พี่เย่หวินไม่เจอกันเสียนานสองสามครั้งก่อนหน้านั้นเมื่อข้ามาที่นี่ล้วนแต่ไม่เจอพี่พี่ไปอยู่เสียที่ไหนมา?”
“ข้าถูกท่านอ๋องส่งไปทำธุระที่ยงโจวเมื่อสองสามวันมานี้เพิ่งกลับมาไม่ใช่ว่าเจ้าอยู่ที่ภูเขาหมิงเพื่อติดตามท่านอาจารย์บำเพ็ญตบะหรอกหรือเหตุใดถึงได้ลงเขามานี่ได้?”เย่หวินดึงนางไปคุยกันภายในเรือนที่อยู่ข้างๆทั้งสองเดินผ่านผ้าม่านเข้าไปรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อยไซ่เยว่กลั้วหัวเราะพูดออกมา“เดือนที่แล้วท่านอ๋องส่งจดหมายไปให้ท่านอาจารย์ของข้าหลังจากนั้นท่านอาจารย์ก็ส่งข้าลงเขามาหน้าที่ครั้งนี้ก็คือปรนนิบัติองค์หญิงเหอซื่อที่อยู่ในวัง
“องค์หญิงเหอซื่อ?”เย่หวินนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ภายในตำหนักของหวางเฟยชั่วยามนั้นก็ได้ยินข่าวทั้งหมดขององค์หญิงเหอซื่อ“ที่เจ้าพูดมาก็คือเมื่อสองสามเดือนก่อนองค์หญิงเหอซื่อของแคว้นเซิ่งโจวมาเพื่ออภิเษกสมรสเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีหรอกหรือ?”
ไซ่เยว่พยักหน้าเหตุไฉนต้องส่งตัวไซ่เยว่เข้าไปปรนนิบัติองค์หญิงเหอซื่อที่อยู่ในวัง?ท่านอ๋องทำไมต้องจัดการคนสนิทที่ไว้ใจได้ของตนเองให้แก่องค์หญิงผู้ไร้ศักดิ์?
“ เป็นไรหรือ?มีปัญหาใดหรือไม่?” ไซ่เยว่มองดูสีหน้าของเย่หวินที่ฉงนสนเท่ห์ใจพร้อมกับถามออกมาเรื่องนี้ดูเหมือนจะเดาได้ไม่ทะลุปรุโปร่งนักเรื่องราวมากมายล้วนเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกันเพียงแต่รู้ได้ว่าเรื่องครั้งนี้เกิดขึ้นที่ตัวขององค์หญิงเหอซื่อเององค์หญิงเหอซื่อผู้นี้เป็นที่น่าสงสัยที่สำคัญสุด
“ไม่มีอันใดหรอก”เย่หวินก้มหน้าหัวเราะออกมาดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว“ไม่ใช่ว่าเจ้าอยู่ภายในวังหรอกหรือเหตุไฉนวันนี้ถึงได้ออกมานอกวัง?”
ได้ยินเย่หวินเตือนไซ่เยว่เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้ตนเองออกมาด้วยจุดประสงค์ใดตบหัวตนเอง“ท่านดูเอาเถิดพูดคุยกับท่านเป็นเรื่องเป็นราวจนลืมไปหมดแล้ววันนี้ข้าจะออกมาหาท่านอ๋องเพื่อรายงานเรื่องราวภายในวังไม่รู้ว่าท่านอ๋องอยู่แห่งหนใด?”
ตอนนี้สีของท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นเย็นย่ำเสียแล้วต้องรีบพูดคุยให้เสร็จสิ้นแล้วรีบกลับไปถึงจะถูกหากบังเอิญว่าองค์หญิงตื่นขึ้นมาตอนเที่ยงคืนไม่พบนางเข้าเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดข้อสงสัย
เย่หวินเลิกคิ้วสูง“ท่านอ๋องอยู่ที่ห้องเขียนหนังสือเจ้ารีบไปเถิดระวังตัวด้วย” “เจ้าค่ะถ้าอย่างนั้นข้าต้องขอตัวไปก่อน”ไซ่เยว่เลิกผ้าม่านออกไปสายลมและหิมะที่อยู่ภายในความมืดยามราตรีค่อนข้างหนักพัดปะทะแก้มจนแดงเถือกไซ่เยว่รวบเสื้อผ้าตนเองไว้แล้วเดินเข้าไปในห้องเขียนหนังสือเคาะประตูก้าวล้ำเข้าไป
“ข้าน้อยถวายบังคมท่านอ๋อง”ไซ่เยว่แสดงความคารวะโม่ฉีหมิงที่อยู่บนที่นั่งก็วางเอกสารราชการในมือลงแย้มคำพูดออกมา“มีเรื่องสำคัญอันใด?”
ไซ่เยว่ลุกขึ้นยืนแสงเทียนที่อยู่ภายในห้องสว่างจ้าสาดแสงสว่างโล่งเต็มห้องนางก้มหน้าพูดออกมา“ท่านอ๋องเย็นวันนี้ข้าน้อยมาเพื่อจะทูลสองเรื่องเพคะ”กล่าวเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมองสีหน้าของโม่ฉีหมิงเห็นอากัปกิริยาเล็กน้อยของเขาจึงพูดต่อไป
“เรื่องแรกคือมีขันทีหมายจะใช้ยาพิษชนิดหนึ่งทำร้ายองค์หญิงที่ดงหัวเยี้ยนหลังจากที่องค์หญิงรู้เรื่องก็ไม่ได้แพร่งพรายข่าวอันใดออกไปนำขันทีเข้าไปอยู่ในวังรวมกันกับนางสนมกำนัลในครั้นแล้วองค์หญิงก็ให้ข้าน้อยเข้าไปตรวจตราอย่างลับๆให้ประจักษ์ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังขันทีผู้นี้”“ส่วนเรื่องที่สองก็คือ……คือว่า……”ไซ่เยว่ขี้ขลาดอยู่เล็กน้อยมีท่าทีลังเล“องค์หญิงท่านดูเหมือนว่าจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเวินอ๋องอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็ต้องขอพระราชทานต่อฮ่องเต้ให้แต่งเข้าเป็นภรรยาของเวินอ๋อง”
คำพูดแต่ละคำของนางถ่ายทอดผ่านเข้ามาในโสตประสาทของโม่ฉีหมิงชัดเจนหัวคิ้วของเขาตึงขมึงสีหน้าไม่น่าดู
“นางต้องการแต่งงานกับเวินอ๋อง?” หน้าตาของโม่ฉีหมิงกราดเกรี้ยวในประเดี๋ยวนั้นก็กวาดไปที่ใบหน้าของไซ่เยว่น้ำเสียงไร้เยื่อใยเยือกเย็นฟังดูเขย่าขวัญ“โครม”เสียงหนึ่งดังแหลมก้องขึ้นมาในค่ำคืนมืดมิดที่เงียบสงัดเสียงแก้วแตกขึ้นมาอย่างน่าฉงนไซ่เยว่ก้มหน้าไม่กล้าพูดคำใดออกมานางคาดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะทำให้โม่ฉีหมิงมีปฏิกิริยามากมายขนาดนี้ในใจจึงรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
ตามข้อมือของโม่ฉีหมิงมีเลือดสดๆไหลออกมาเขาปล่อยแก้วที่ละเอียดในมือออกไม่ว่าอย่างไรเลือดในมือก็ไหลออกมาไม่หยุดราวกับไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดแม้แต่นิดเดียว
“ดีดีมาก”เขาผงกศีรษะด้วยสีหน้าที่บึ้งตึงและเย็นชาในใจก็เหมือนกับถูกกรงเล็บจิกไว้แน่นใกล้ที่จะบิดทำลายหัวใจของเขาไม่คาดคิดว่านางจะกล้าแต่งงานกับเวินอ๋อง?ไม่คิดว่าจะเป็นเวินอ๋อง
หรือว่านางอดใจไม่ไหวขนาดนั้นจนต้องแต่งตนเองออกไป?
ไซ่เยว่รีบคุกเข่าลงหายใจอย่างหนักหน่วงฟังเขาข่มความโกรธแค้นไม่ให้ปรากฏออกมานางไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
“เจ้ารีบไปบอกนางเถิดถ้าหากว่านางกล้าที่จะแต่งงานกับเวินอ๋องข้าก็จะเด็ดหัวมันผู้นี้ในจวนเสีย”โม่ฉีหมิงเปล่งคำเข้าออกอย่างยากลำบากแต่ไหนแต่ไรมาไซ่เยว่ก็ไม่เคยเห็นว่าเขาจะมีลักษณะอาการอย่างนี้มาก่อนช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาล้วนแต่สำรวมกิริยาความรู้สึกชอบพอเกลียดชังไม่เคยปรากฏออกมาทางสีหน้าของเขานึกไม่ถึงว่าบนใบหน้าของเขาจะปรากฏอารมณ์โมโหปะทุออกมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเพราะผู้หญิงคนหนึ่งในใจของไซ่เยว่เหมือนกับจะรับรู้ได้ว่าองค์หญิงเหอซื่อมีความสำคัญต่อเขาเพียงใด
ทว่าองค์หญิงเหอซื่อกลับไม่รู้ว่านางมีความสำคัญต่อโม่ฉีหมิงท้ายที่สุดประโยคนี้ควรจะพูดเช่นไรดี
“ท่านอ๋องข้าน้อยไปๆมาๆระหว่างท่านองค์หญิงไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกใดๆทั้งสิ้นข้าน้อยควรจะพูดเช่นไรกัน?”ใบหน้าของไซ่เยว่ปรากฏความลำบากใจทอดเสียงต่ำถามออกมาใครจะไปนึกว่าโม่ฉีหมิงกลับไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมและเฉียบขาด“ทำตามที่ข้าสั่ง”
ไซ่เยว่ตกใจรีบก้มหน้าลง
บรรยากาศภายในห้องเขียนหนังสือมีความอึมครึมอึดอัด ไซ่เยว่กัดริมฝีปากเขาไม่ออกคำสั่งนางก็ไม่กล้าที่จะถอยออกไป “ท่านอ๋องถ้าอย่างนั้นถ้าอย่างนั้นขันทีผู้นั้นที่วางยาพิษควรจะจัดการเช่นไรดี?” ไซ่เยว่คิดออกมาได้ว่ายังมีเรื่องนี้อีก
โม่ฉีหมิงปิดเปลือกตาลงเล็กน้อย“สืบข่าวต่อไป”“เพคะ ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยขอทูลลา” ไซ่เยว่พูดเสร็จก็หันกายเดินออกไปจากห้องเขียนหนังสือ
หลังจากที่รอให้นางออกไปแล้วสีหน้าของโม่ฉีหมิงก็บึ้งตึงและเย็นชายิ่งขึ้นดวงตาแคบยาวคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อยแสงลุกจ้าอันตรายปะทุออกมามือล่ำสันกำยำกำขอบโต๊ะไว้แน่นดูเหมือนกับว่าความรู้สึกไม่พอใจที่อยู่ในใจของเขาต้องอดกลั้นไม่แสดงออกมา
หลายปีที่ผ่านมานี้เขาคิดมาตลอดว่าไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถกระตุ้นอารมณ์ของเขาได้คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ต้องแพ้ให้กับตัวนาง
เมื่อไม่นานมานี้เขารู้แล้วว่าตัวเองพ่ายแพ้แพ้อย่างถึงที่สุดสีท้องฟ้าของวันรุ่งขึ้นช่างเลือนรางโล่หวินหลานหวีผมล้างหน้าแต่งตัวเสร็จกำลังเตรียมรับประทานอาหารสีหน้าของไซ่เยว่ยังไม่ดีขึ้นมักจะมองมาทางนางเหมือนอยากจะพูดสิ่งใดแต่ก็ไม่พูดออกมา
โล่หวินหลานดึงเสื้อคลุมของตนเองเงาของร่างสูงโปร่งและผอมบางกั้นแสงจากนอกหน้าต่างไว้ได้เกือบทั้งหมด
“ไซ่เยว่เจ้ามีสิ่งใดอยากพูดกับข้าหรือไม่?”โล่หวินหลานเงยหน้าไปทางไซ่เยว่เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัยจริงอย่างที่คาดไว้สีหน้าของไซ่เยว่เปลี่ยนไปในเร็วพลันก็ก้มหน้าลง“ไม่มีเพคะองค์หญิงรีบเสวยพระกระยาหารเถิดเพคะมิเช่นนั้นแล้วมันจะเย็นเสียก่อนจนทำร้ายพระวรกายได้”เมื่อวานโม่ฉีหมิงกำชับนางให้ทูลองค์หญิงเหอซื่อด้วยประโยคนั้นจากตอนนั้นจนถึงตอนนี้นางก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรออกมาดี
ไซ่เยว่ยื่นมือนำสำรับแยกให้นางอย่างละมุนการเคลื่อนไหวของมือมีความคล่องแคล่วชำนาญนำสิ่งที่นางชอบมาให้และนำสิ่งที่นางไม่ชอบทั้งหมดนั้นแยกออกไป
“ไซ่เยว่วันนี้น่าจะเป็นวันสุดท้ายที่ฮ่องเต้ให้ราชินีค้นหาหลักฐานใช่หรือไม่?”โล่หวินหลานวางตะเกียบลงคำนวณวันเวลาก็น่าจะประมาณนี้“ความจำองค์หญิงดีมากเพคะวันนี้คือวันสุดท้ายแล้ว”ไซ่เยว่ตอบออกไป“ถ้าอย่างนั้นราชินีมีความคืบหน้าอย่างไรบ้างแล้ว?” โล่หวินหลานซักถามต่อไปอีกสองสามวันมานี้ไซ่เยว่สืบข่าวคราวของราชินีเย่แต่กลับรู้สึกว่ามีเรื่องหนึ่งที่คิดไม่ตกอย่างยิ่ง
“องค์หญิงเพคะตัวข้าน้อยเองสองสามวันมานี้พบเจอเหตุการณ์ที่น่าประหลาด”คิ้วอันเรียวโก่งของไซ่เยว่ขมวดเล็กน้อยพูดเสียงทุ้มต่ำ
“เรื่องประหลาดใจอันใด?”ภายในใจโล่หวินหลานรู้สึกสงสัยขึ้นมาซักถามออกไป“ตามที่ตัวข้าน้อยสองสามวันมานี้สืบข่าวอยู่ข้างกายองค์ราชินีเย่กลับไม่เคยพบว่าพระนางลงมือไปตรวจสอบขันทีว่าเข้ามาในวังได้อย่างไรและประตูใหญ่ในวังล้วนปิดสนิทอยู่ตลอดเวลาไม่เคยออกไปนอกวังไม่เคยมีคนมาเยี่ยมเยียน” ไซ่เยว่พูดถึงเหตุการณ์เมื่อสองสามวันก่อนที่นางพบเห็นแต่ทว่ากลับเดาทางไม่ออกว่าราชินีเย่มีเหตุอันใดที่ต้องทำเช่นนี้
“ราชินีเย่ไม่ได้ไปสืบที่วังในเลยจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?หรือว่าพระนางวางแผนว่าพรุ่งนี้จะทูลต่อฮ่องเต้เจียเฉิงว่าไม่รู้สิ่งใด?”โล่หวินหลานขมวดคิ้วคาดเดาความคิดของราชินีเย่
มันเป็นไปไม่ได้ขันทีผู้นี้เข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้าอย่างเห็นได้ชัดวางแผนการไปตรวจสมุดรายนามก็ไม่เจอสิ่งใดสู้รอไม่กี่วันแล้วเริ่มยอมรับผิดต่อฮ่องเต้เจียเฉิงเสียจะดีกว่า“องค์หญิงเพคะคงจะไม่เป็นเพราะว่าราชินีจงใจไม่ไปตรวจสอบเพียงแต่รอในวันพรุ่งนี้เพื่อทูลต่อฮ่องเต้ว่าไม่รู้สิ่งใด ถ้าเช่นนั้นแล้วพระนางจะทำไปเพื่อสิ่งใดกันหรือว่าลำเอียงและปกป้องขันทีผู้นั้น?”เป็นหนึ่งข้อสงสัยที่อยู่ในใจของไซ่เยว่กลับกันนั้นเมื่อนางพูดมันออกมาโล่หวินหลานกลับไม่เคยนึกถึงด้านนี้เลย
ฉับพลันดวงตาคู่นั้นของนางก็มองไปยังไซ่เยว่แสงนัยน์ตาสว่างวาบขึ้นมา
“ ลำเลียงและปกป้องขันที?ที่ผ่านมาข้าล้วนนึกไม่ถึงเรื่องนี้ความสัมพันธ์ของราชินีกับขันที?”โล่หวินหลานลูบหน้าผากยิ้มออกมาเล็กน้อยนี่มันเป็นไปได้อย่างไร
“องค์หญิงเพคะเป็นไปได้ไหมที่เรื่องมันจะเป็นเช่นนี้จริง?”ไซ่เยว่เลิกคิ้วสูง
ภายในห้องมีเพียงพวกเขาสองคนโล่หวินหลานปล่อยมือลงอย่างช้าๆรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าอ่อนลงเงยหน้าขึ้นมองไซ่เยว่
ไซ่เยว่คือคนที่โม่ฉีหมิงส่งเข้ามาแน่นอนว่าต้องมีความลับที่ไปมาหาสู่กับเขาไม่แน่ว่าเรื่องนี้ไซ่เยว่ต้องสืบล่วงหน้านำไปก่อนแล้ว
“ไซ่เยว่ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงเท็จอย่างไรล้วนไม่อาจแพร่งพรายออกไปได้เจ้าไปสืบความสัมพันธ์ขันทีผู้นั้นกับราชินีเย่อย่างลับๆแน่นอนว่าต้องสืบรู้ให้ได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา”โล่หวินหลานกำชับกำชาไว้ไซ่เยว่พยักหน้าหันกายเดินออกไปนอกประตู
ตามติดโล่หวินหลานมานานไม่คิดว่านางจะเริ่มเชื่อฟังคำสั่งของโล่หวินหลานอย่างช้าๆโดยที่ไม่มีข้อสงสัยอันใดไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ภายในใจของนางเกิดความเปลี่ยนแปลงไซ่เยว่ถูกความคิดนี้ของตนเองทำให้ตกใจหันหน้ากลับไปมองหันกายไปก็เจอโม่ฉีหมิงที่เดินมาจากบริเวณด้านนอกของดงหัวเยี้ยน“ ข้าน้อยถวายบังคมท่านอ๋ององค์หญิงอยู่ภายในเพคะ ”ไซ่เยว่ชี้ไปทางห้องโถงเข้าใจได้ทันทีว่าวันนี้เขามาด้วยเจตนาอันใด
สองคนนานแล้วที่ไม่ได้พบพานกันและก็ควรพบปะปราศรัยด้วยกันดีๆ
คำพูดของเขาเมื่อวานค่ำนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องช่วยจัดการให้แล้ว“เจ้าออกไปก่อนเถอะเฝ้าไว้ไม่ให้ผู้ใดเข้ามา” โม่ฉีหมิงกำชับกำชาเสร็จก็เดินไปทางห้องโถงใหญ่
เสียงฝีเท้าของเขาทุ้มเยือกเย็นเสียงรองเท้าบู๊ทที่ย่ำลงไปบนหิมะขาวโพลนมีความหนักแน่นไม่เหมือนกันกับของผู้คนทั่วไป
โล่หวินหลานได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่ด้านนอกเดิมทีเสียงนั้นไม่ใช่เสียงฝีเท้าของไซ่เยว่ณ เวลานี้ในที่สุดแล้วเป็นผู้ใดกันแน่ที่ย่างกรายมา
นางค่อยๆผ่อนฝีเท้าเดินไปริมประตูสองมือคู่เล็กบอบบางขาวผ่องจับไปบนประตูพริบตาเดียวที่ดึงเปิดออกพบเพียงสายตาของโม่ฉีหมิงที่อยู่ตรงกันข้ามกับนาง
นางจำไม่ได้แล้วว่านานเท่าใดที่ไม่ได้พบเจอกับเขาแม้กระทั่งแววตาของเขาก็ล้วนจำไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้วเป็นเช่นใดความรู้สึกที่ลึกล้ำในอดีตจิตใจที่มุ่งมั่นของในวันวานชั่วพริบตาเดียวปลิวล่องลอยสลายไปราวกับควันเพียงเพราะรูปร่างหน้าตาก็ตัดสินโทษประหารชีวิตนางแล้วให้นางไม่มีทางที่จะฟื้นคืนได้ตลอดไป
โล่หวินหลานอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะออกมา“เดิมทีเป็นหมิงอ๋องนี่เองชีวิตการแต่งงานใหม่ที่มีความสุขเหมือนข้าวใหม่ปลามันของท่านไม่ได้รอคอยอยู่ภายในตำหนักหรอกหรือมาหาข้าที่นี่ด้วยเหตุอันใดเล่า?”น้ำเสียงเยาะเย้ยถากถางที่เพิ่งจะเอ่ยปากออกมาฉับพลันนั้นเงาของเขากลับพรวดพราดต่ำลงมามือข้างนึงคว้าเอวของนางไว้นำร่างนางยันไปริมประตู
เขาเข้าประชิดร่างนางไว้แน่นเสียงลมหายใจหอบถี่ตึงเครียดรดลงบนหน้าของนางดูเหมือนว่าปรารถนาอย่างยิ่งที่จะใกล้เข้ามาอีกนิดเพื่อที่จะสามารถประทับรอยจูบลงบนริมฝีปากของนางให้ได้
สองมือของโล่หวินหลานกำลังลั่นดาลวงกบประตูก้าวถอยหลังด้วยความตื่นตระหนกแต่ทว่าทำอย่างไรก็ไม่อาจถอยไปได้อีกแล้ว
ทันใดนั้น นางสำนึกตัวอย่างฉับพลันผลักโม่ฉีหมิงพรวดออกมา
“เจ้าจะทำสิ่งใดกัน? เจ้าเห็นว่าข้าเป็นคนเยี่ยงไรกัน?”น้ำเสียงโล่หวินหลานเจือไปด้วยความเฉียบขาด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก