ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 321

ตอนที่ 321 สุดท้ายก็กลับมาสานสัมพันธ์กันใหม่

“นับจากเวลานี้ต่อไป ในที่สุดใจของข้าก็ไม่ต้องแบกมันไว้อีกต่อไป ไม่ต้องให้ผู้คนจำนวนมากออกไปตามหาเจ้า ทุกวันไม่ต้องคำนึงว่าเจ้าอยู่ที่ใดกันแน่ ราวกับทำเรื่องอันใดก็ล้วนมีที่หมาย มีทางออกแล้ว ข้าไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดใดมาอธิบายความรู้สึกของข้าตอนนี้ได้……” โม่ฉีหมิงร้อนรนต้องการที่จะแสดงความรู้สึกของตนเองออกมา

ทว่า โม่ฉีหมิงไม่คุ้นเคยกับคำพูดรักๆใคร่ เห็นได้ชัดเจนว่าไม่เคยได้ศึกษาเรื่องเหล่านี้มาก่อน

เห็นโม่ฉีหมิงขมวดคิ้วมีลักษณะท่าทางหวาดหวั่นวุ่นวายไปหมด โล่หวินหลานก็ยื่นมือปิดปากโม่ฉีหมิง นางส่ายหน้ากับเขา “ข้ารู้ ข้าล้วนรู้ทั้งสิ้น ถึงท่านจะไม่เอ่ย ข้าก็รู้ได้”

สายตาของโม่ฉีหมิงหยุดชะงักไปชั่วขณะ เป็นเวลานาน สุดท้ายจึงอดใจไม่ไหวดันมือโล่หวินหลานออก รั้งท้ายทอยนางเข้ามา รีบประทับจูบริมฝีปากนาง ไม่มีอะไรที่จะสามารถอธิบายความรู้สึกของเขาได้ดียิ่งกว่าการกระทำเยี่ยงนี้ จากที่พบนางเวลานั้น เขาก็อยากทำสิ่งนี้แล้ว

โล่หวินหลานตะลึงงันไปชั่วครู่ ค่อยๆจูบตอบรับโม่ฉีหมิง ทั้งสองคนตระกองกอดกันโดยไม่เคยลืมความรักความห่วงใยที่อยู่ภายในใจได้ ระบายอารมณ์ความรู้สึกที่อัดอั้นมานานกว่าหนึ่งปี จนกระทั่งโล่หวินหลานรับการจูบอย่างบ้าคลั่งของโม่ฉีหมิงไม่ไหว เมื่อต้องการที่จะผลักเขาออก เขากลับปล่อยนางเสียก่อน

เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว โล่หวินหลานไม่ทันมองท่าทีของโม่ฉีหมิง เขาก็พลิกกายทาบทับนางลงไปบนพื้น

ร่างสูงยาวใช้พละกำลังกดขี่ โล่หวินหลานมองเห็นเส้นโลหิตที่ขยายในดวงตาของเขา เหมือนกับโม่ฉีหมิงได้อดทนจนถึงขีดสุดแล้วเพียงแต่การกระทำสิ่งเดียวก็สามารถปลุกนิสัยป่าเถื่อนของเขาออกมาได้

“หมิง……เจ้า เจ้าลุกก่อน” โล่หวินหลานกะพริบตาคู่นั้น ค่อยๆดันหน้าอกโม่ฉีหมิงออก ทว่า เขากลับกดขี่ข่มเหงนางอีกครั้ง

“อย่าพูด อย่าเอ่ยชื่อข้า ให้ข้ามองดูเจ้าอย่างนี้เถิด” โม่ฉีหมิงพูดเสียงทุ้มต่ำอยู่ข้างหูของนาง

โม่ฉีหมิงควบคุมเสียงของตัวเองไม่ได้จริงๆเพียงแค่นางร้องเรียกชื่อเขา เขาก็รู้สึกว่าไฟที่อยู่ทั่วทั้งร่างปะทุไปยังหัวของตัวเอง เดิมทีสติสัมปชัญญะของตนเองก็ห้ามมิให้หัวใจเต้นรัวมิได้

มองอย่างนี้? โล่หวินหลานรู้สึกกระดากจึงหันศีรษะหนี โม่ฉีหมิงก็ยันร่างไว้บนกายนางอย่างนี้ นางจะมีทีท่าผ่อนคลายให้เขาเห็นได้อย่างไรกัน?

“ท่านลุกขึ้นก่อนแล้วค่อยพูด จะพูดในท่าแบบนี้ได้อย่างไร” โล่หวินหลานผลักโม่ฉีหมิงออก

โม่ฉีหมิงส่ายหน้า “ข้าอยากจะมองเจ้าแบบนี้ เจ้าไม่ชอบแบบนี้หรือ ถ้าอย่างนั้นทำอย่างอื่นกันดีไหม”

พูดจบ โม่ฉีหมิงจะจูบลงบนริมฝีปากของนาง โชคดีที่โล่หวินหลานมือเร็วกว่ารีบป้องปากเขาเอาไว้

“ทำไมท่านถึงเป็นคนพาลเยี่ยงนี้ได้” โล่หวินหลานเลิกคิ้วพูดน้ำเสียงโกรธ

“คนพาล?ข้าชอบคำนี้ แต่ว่าข้าเป็นคนพาลกับเจ้าเพียงคนเดียว” ใบหน้าของโม่ฉีหมิงยากมากที่จะปรากฏใบหน้าเปื้อนยิ้มเช่นนี้ให้เห็น

โม่ฉีหมิงยากยิ่งนักที่จะยิ้มแบบนี้ เดิมทีแล้วท่าทางที่เขายิ้มออกมามันช่างดูดี เหมือนกับพระอาทิตย์ที่สาดแสงลูบไล้เข้าไปดวงตาของโล่หวินหลาน

“ถูกแล้ว ภายหลังก็ควรจะยิ้มเช่นนี้ ยิ้มออกมาน่าชมทีเดียว” โล่หวินหลานยื่นมือบิดแก้มของเขา นัยน์ตาเหมือนจะเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ

โม่ฉีหมิงจับแขนของนางไว้ เปล่งเสียงหัวเราะพูดออกมาเกินจริง “ดีเลย หลังจากนี้ข้าจะยิ้มแบบนี้ต่อหน้าเจ้าทุกวัน”

ทว่า รอยยิ้มของโม่ฉีหมิงกลับอ่อนลงเล็กน้อย สุดท้ายก็จางหายไปอย่างไร้ร่องรอย

มือของโม่ฉีหมิงลูบไล้บนใบหน้าของโล่หวินหลานอย่างอ้อยอิ่ง เลิกคิ้วค้างไว้ นัยน์ตาบ่งบอกความเจ็บปวดใจ “วันนั้น ตกลงแล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้น?ทำไมอยู่ดีๆถึงมีไฟลุกได้?แล้วหลังจากนั้นล่ะ เจ้าไปอยู่ที่ใด?ใบหน้านี้ในที่สุดแล้วเปลี่ยนไปเช่นไรบ้าง?เจ้าต้องทุกข์ยากลำบากเป็นแน่แท้ ……ข้าเกลียดตัวเองแทบตาย……”

โล่หวินหลานกุมมือของเขา ส่ายหน้า “ เรื่องได้ผ่านพ้นไปแล้ว ความทุกข์ทั้งหมดล้วนเป็นอดีต ที่พวกเราเป็นอยู่ตอนนี้มันดีแล้ว”

นางไม่สามารถบอกโม่ฉีหมิงได้ว่าทะลุกาลเวลามา และก็ไม่สามารถบอกเขาได้ว่าใบหน้านี้เป็นของนางจริงๆ นางกลัวว่าจะทำให้เขาตกใจ กลัวว่าเขาจะไม่เชื่อ

“ไม่ สุดท้ายผู้ใดทำให้เจ้ากลายเป็นเช่นนี้ ข้าต้องสืบให้แน่ชัดเสียก่อน ทำให้มันอยู่ก็เหมือนตาย” เส้นโลหิตบนหน้าผากของโม่ฉีหมิงปูดโปนขึ้น อากัปกิริยาที่ลุกขึ้นฉับพลันเหมือนกับพวกบ้าคลั่งก็ไม่ปาน

โล่หวินหลานเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้ก็รีบพูดปลอบขวัญ “ปีกว่าๆ ที่ผ่านมาล้วนเป็นอดีต ภายหลังจากที่ข้ากระโดดออกมาจากกองไฟที่ลุกโชน ก็ถูกคนช่วยชีวิตไว้ หลังจากนั้นข้าก็อาศัยอยู่ในหุบเต๋ เป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกินที่พบว่าผู้ที่ช่วยเหลือข้านั้นกลับเป็นท่านตาของข้าไปได้ ท่านตาพยายามคิดหาทางที่จะรักษาเยียวยาใบหน้าของข้า เพื่อให้ข้าสามารถกลับมาได้อีก”

หุบเต๋?ท่านตา?” โม่ฉีหมิงพูดเสียงต่ำเบาๆ “เมื่อท่านตาเป็นผู้ช่วยชีวิตเจ้าไว้ พวกเราหาวันไปเยี่ยมเยียนท่านผู้เฒ่าด้วยกันเถิด เพื่อขอบคุณท่านตาที่ดูแลเจ้ามา”

โล่หวินหลานพยักหน้า ทั้งฟังเขาสักถามต่อ “ถ้าอย่างนั้นเจ้ากลายมาเป็นองค์หญิงเหอซื่อผู้ที่จำเป็นต้องเข้าอภิเษกสมรสได้อย่างไรกัน?แม้แต่ท่านแม่ทัพเจ๋อเออร์ล้วนแต่โอนอ่อนผ่อนตามกับเจ้า

โล่หวินหลานบอกเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาแก่โม่ฉีหมิงอย่างละเอียดถี่ถ้วน ภายในโสตประสาทของโม่ฉีหมิงนั้นกลับรู้สึกหวาดเสียวขึ้นมา เขาพลิกตัวนางไปมาเพื่อดูว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่

โล่หวินหลานเลิกคิ้ว ตบลงบนมือของเขา “ถ้าหากว่าข้าบาดเจ็บจะสามารถมายืนอยู่ตรงนี้ได้อีกหรือ?”

ถึงกระนั้นแล้ว แม้ในอดีตจะเจ็บป่วยอันใดก็ตามแต่ ภายหลังจากที่กินหู้ซินตัน(ยาบำรุงหัวใจ) เรื่องใดๆก็ล้วนไม่เป็นไรแล้ว

พูดถึงแคว้นเซิ่งโจว โล่หวินหลานก็นึกถึงอาลั่วหลัน นางหรี่ตาคู่นั้นมองดูโม่ฉีหมิง สายตาเต็มไปด้วยคำถาม

“ก่อนหน้านั้นไม่นานท่านก็รู้สถานะของข้า เหตุใดยังจะแต่งกับหญิงรับใช้ข้าให้ได้?” โล่หวินหลานเลิกคิ้วถามเขาออกไป

เมื่อยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด โม่ฉีหมิงกลับโกรธ หางคิ้วที่ยกขึ้นทั้งสองข้างขมวดแน่น “ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าว่าเหตุไฉนต้องพูดว่าบทเพลงนั้นนางเป็นคนสอนให้เจ้า?และทำไมยังต้องให้นางผู้นั้นมาหลอกข้าอย่างง่ายดายเช่นนี้?”

“ข้า……” โล่หวินหลานพูดไม่ออก คำพูดจุกอยู่ที่คอหอย ทั้งหมดไม่ใช่เพราะว่าทำตามอารมณ์ตนเอง ต้องการเพียงหยั่งเชิงความรู้สึกของโม่ฉีหมิงที่มีต่อตนเอง

โม่ฉีหมิงแกล้งโกรธไปอย่างนั้นเอง “โชคดีที่ความเข้าใจผิดทั้งหมดตอนนี้ล้วนกระจ่างแจ้งแล้ว เจ้ายังคงเป็นหวินหลานของข้าเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว”

ทว่าเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว โม่ฉีหมิงเบิกบานใจจนไม่ได้เอะใจต่อสิ่งใด เขาคงจะลืมเรื่องเวินอ๋องเสียแล้ว

เรื่องนี้ช้าเร็วก็ต้องพูด จะพูดช้าพูดเร็วก็ไม่เท่าฉวยโอกาสพูดตอนที่โม่ฉีหมิงอารมณ์ดี โล่หวินหลานเอ่ยปากพูดอย่างช้าๆ “ ยังมีเรื่องของเวินอ๋อง……”

โม่ฉีหมิงพยักหน้าพูด “เรื่องนี้ก็เป็นอดีตไปแล้ว ข้าจะไม่เอาเรื่องแล้วกัน”

โม่ฉีหมิงคิดว่าเรื่องนี้นางต้องปล่อยมันไป โล่หวินหลานกัดริมฝีปาก ไม่แข็งใจพอที่จะบอกความจริงเขาไป แต่จะไม่พูดก็ไม่ได้ นางไม่อยากโกหกเขาอีกครั้ง

“ข้าจะแต่งงานกับเวินอ๋อง เรื่องนี้ข้าคิดดีแล้ว” โล่หวินหลานก้มหน้า ไม่กล้าสบตาโม่ฉีหมิง

เพียงแค่ได้ยินนางพูดประโยคนี้จบ ทันใดภายในห้องนั้นก็เกิดคำถามค้างคาใจขึ้นมา โล่หวินหลานรู้สึกได้ว่าบรรยากาศได้กลายเป็นเย็นยะเยือก นางไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

ตั้งนาน เพิ่งจะได้ยินเสียงของโม่ฉีหมิง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?เจ้ายอมรับในความสัมพันธ์กับข้าแล้ว เหตุใดยังต้องแต่งงานกับเวินอ๋องเล่า?ตลอดมานั้นเจ้าไม่ได้เอาคำพูดข้าใส่ไว้ในใจของเจ้าบ้างหรอกหรือ?”

สายตาที่เยือกเย็นของโม่ฉีหมิงราวกับต้องการมองทะลุตัวนาง ไม่ให้นางมีโอกาสได้จากไปไหนทั้งสิ้น

โล่หวินหลานรู้ว่าเขากำลังโกรธ เรื่องนี้นางก็ไม่คิดที่จะปิดบังเขา

ถึงแม้นางต้องการที่จะซ่อนเร้นไว้ นางก็รู้ว่า โม่ฉีหมิงไม่สามารถให้นางแต่งงานกับเวินอ๋องได้ สู้บอกความจริงกับเขาจะดีเสียกว่า

“ท่านฟังที่ข้าพูดเถิด การที่ข้าต้องแต่งงานกับเวินอ๋องก็มีสาเหตุอยู่ ปีนั้นเรื่องที่เกิดขึ้น ข้าตรวจสอบดีแล้วว่าผู้ใดเป็นคนทำ ครั้งนี้ที่ต้องแต่งเข้าไปในตำหนักของเวินอ๋อง ก็เพื่อแก้แค้น” โล่หวินหลานหรี่ดวงตาคู่นั้นลงเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม

หาฆาตกรพบแล้วหรือ?ดวงตาคู่นั้นของโม่ฉีหมิงเบิกกว้างทันที เขาตามหามาตั้งนานก็ยังหาฆาตกรไม่เจอ แล้วโล่หวินหลานรู้ได้อย่างไรกัน?

“ฆาตกรคือผู้ใด?”

โล่หวินหลานพูดเสียงต่ำถึงชื่อหนึ่งอยู่ริมหู หัวคิ้วของเขาย่นหนัก สายตามองดูนางอย่างลึกล้ำ

“ข้าเคยสงสัยนาง แต่นางก็เป็นเพียงหญิงสาวที่มีกำลังวังชาเพียงน้อยนิด ตั้งใจวางแผนเรื่องราวให้ออกมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?“เพราะว่า……ข้าค่อนข้างชะล่าใจไปจริงๆ มิฉะนั้นแล้วคงจับนางไว้ได้” โม่ฉีหมิงพูดด้วยความเสียใจ มือใหญ่ทุบไปบนเสาข้างๆอย่างแรง

“ตอนนี้รู้ไว้ก็ไม่สายไป ข้าคิดวิธีจัดการนางได้แล้ว” โล่หวินหลานเลิกคิ้วยิ้มพราย

โม่ฉีหมิงกลับมีใบหน้าที่มองดูนางด้วยความไม่พอใจ อารมณ์ที่แสดงออกบนใบหน้ามีความโกรธเกรี้ยว “ถ้าหากว่าวิธีที่เจ้าว่าคือแต่งเข้าไปในตำหนักของเวินอ๋อง ข้าไม่เห็นด้วยที่ต้องไปรับมือกับนางเช่นนี้ ข้ามีหลายวิธี”

“แต่ว่าไม่มีวิธีใดที่พอจะเทียบได้ ข้าแต่งเข้าไปในตำหนักของเวินอ๋องให้นางทำร้ายข้าให้สาสมใจ” โล่หวินหลานก็ไม่ได้อยากจะโต้แย้งกับโม่ฉีหมิงเท่าใดนัก

สายตาของโม่ฉีหมิงมองดูนางอย่างไม่อาจนิ่งเฉยได้

ไม่เข้าใจในคำพูดของโล่หวินหลาน ว่าทำไมนางต้องแต่งเข้าไปในตำหนักของเวินอ๋องให้เย่เซียวหลัวทำร้ายให้สาแก่ใจ

โล่หวินหลานพยายามอย่างที่สุดที่จะให้ตนเองอยู่แบบสงบต่อไปได้ นางมองดูตาของโม่ฉีหมิง แล้วพูดอธิบาย “คนที่เย่เซียวหลัวรักที่สุดคือเวินอ๋อง เรื่องที่ไม่ปรารถนาที่จะเห็นก็คือคนที่ตัวนางรักอย่างลึกซึ้งไปแต่งงานกับหญิงสาวคนอื่น และตัวข้าที่ต้องทำก็คือแต่งเข้าไปในตำหนักของเวินอ๋อง ให้นางกังวลในส่วนได้ส่วนเสียของตัวเอง สุดท้ายก็ให้เวินอ๋องมาจัดการนาง ให้คนที่นางรักที่สุดทำร้ายนาง”

ไม่ยอมรับมิได้ โล่หวินหลานพูดมาก็มีเหตุผลมากเพียงแต่เรื่องนี้ แต่งงานกับเวินอ๋อง ท้ายที่สุดแล้วโม่ฉีหมิงไม่อาจวางใจได้

“เจ้าจึงจะฉกฉวยโอกาสหลังจากแต่งเข้าไปในตำหนักของเวินอ๋อง ไม่รู้ว่าเวินอ๋องจะทำตัวอย่างไรกับเจ้าบ้าง เจ้าสามารถให้เวินอ๋องจัดการกับเย่เซียวหลัวได้ราบรื่นหรือไม่?” โม่ฉีหมิงเลิกคิ้วถาม

โล่หวินหลานพยักหน้า “ในเมื่อข้าพูดเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็คิดถึงทางหนีทีไล่ทั้งหมดของเรื่องไว้แล้ว ข้าไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องตกไปอยู่ในที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายได้ง่ายๆอย่างแน่นอน”

ทว่า โม่ฉีหมิงยังวางใจมากไม่ได้ เดินช้าๆกระวนกระวายอยู่ภายในห้อง ในทันใดก็โบกมือ “เรื่องนี้ยิ่งคิดยิ่งไม่เหมาะ หรือจะทำตามวิธีของข้ามาจัดการกับเย่เซียวหลัว ในเมื่อนางกล้าทำร้ายเจ้า ก็ควรจะคิดถึงผลสุดท้ายไว้ด้วย”

แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายแบบนั้น

โล่หวินหลานมองดูโม่ฉีหมิงแล้วพูด “จัดการเย่เซียวหลัว ความทุกข์ทางเนื้อหนังตลอดกาลมิอาจเทียบได้กับจิตใจที่ทรมาน รู้จักนางมานาน ข้ารู้ว่าคนที่นางใส่ใจที่สุดก็คือเวินอ๋อง”

เรื่องประชิดเข้ามาค่อนข้างกระทันหัน ถึงแม้ว่าโม่ฉีหมิงจะไม่สมัครใจ แต่ไม่เคยขัดขวางโล่หวินหลาน ยิ่งกว่านั้นนางพูดถึงวิธีรับมือ ก็นับว่ามีผลลัพธ์แน่นอนที่สุด

ในเมืองหลวง มีผู้ใดไม่รู้จักคุณหนูสามแห่งตระกูลเย่ผู้ลุ่มหลงในความรักมากที่สุด

“เรื่องนี้ข้ารับปากเจ้า แต่ให้ข้าจัดการเถิด” โม่ฉีหมิงพูดออกมาอย่างเยือกเย็น

โม่ฉีหมิงสามารถเห็นด้วยได้ มันคือทางออกที่เห็นผลที่สุดแล้ว

โล่หวินหลานรู้ว่าโม่ฉีหมิงต้องใช้เวลาทำใจอย่างมาก เพื่อให้ตัวเองสามารถเห็นด้วยกับเรื่องพรรค์นี้ได้ และนางจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไรกัน?

“แน่นอนว่าต้องให้ท่านมาจัดการ คนอื่นจัดการข้าไม่อาจวางใจ ตัวข้าเองก็จัดการไม่ได้เรื่องราวอันใด” โล่หวินหลานยิ้มตาหยีคล้องแขนของโม่ฉีหมิง ทั่วทั้งร่างแผ่ซ่านไปด้วยอารมณ์ของสาวน้อย

มีเพียงตอนที่อยู่ต่อหน้าโม่ฉีหมิง โล่หวินหลานถึงจะปรากฏลักษณะท่าทางแบบนี้ออกมา

สีหน้าของโม่ฉีหมิงดูดีขึ้นมาเล็กน้อย ทันใดก็นึกออกเรื่องหนึ่ง จึงพูดออกไป “วันนี้หญิงรับใช้ของเจ้าก็เข้าวังแล้ว ต้องการที่จะไปพบหรือไม่?”

อาลั่วหลันเข้าวังมาแล้วหรือ ?โล่หวินหลานพยักหน้าหงึกหงักติดต่อกัน ไม่ได้เจอกันเสียนานแล้ว

“คิดว่าตอนนี้นางคงอยู่ด้วยกันกับหมิงซี พวกเราไปกันเถอะ” โล่หวินหลานรั้งแขนของโม่ฉีหมิงไว้ เดินออกไปข้างนอกอย่างสบายใจ

โม่ฉีหมิงรับรู้ได้ว่ายากยิ่งนักที่จะเห็นความอ่อนโยนของนาง ภายในใจของเขาไม่นานมานี้ก็เหมือนกับจะเปลี่ยนไปเป็นหวานปานน้ำผึ้ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก