ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 342

ตอนที่ 342 ลักขื่นเปลี่ยนเสา

หมอหลวงหลี่เครียดจนเกือบตีอกชกหัว ในใจคิดถึงอย่างทนไม่ไหว ตนเองเป็นหมอหลวงมานานหลายปี นอกจากปีก่อนที่มีพระชายาหมิงอ๋องพูดเยี่ยงนี้ ก็ไม่เคยมีใครกล้าพูดเยี่ยงนี้กับเขา

เรื่องของตอนนั้นมันผ่านมาแล้ว อีกอย่างวิชาการแพทย์ของพระชายาหมิงอ๋องก็เหนือกว่าเขาจริงๆ หลังจากนั้นฮ่องเต้ยังแต่งตั้งนางเป็นหมอเทพเจ้า ตอนนี้เขายอมแพ้จริงๆ

แต่ว่าตอนนี้เด็กผู้หญิงที่มาจากไหนไม่รู้ถือว่าเป็นตัวอะไร? ถึงแม้จะเป็นพระชายาของเวินอ๋อง แต่ก็มิอาจกล้าได้เยี่ยงนี้ ที่มาวิจารณ์ฝีมือการแพทย์ของเขาเยี่ยงนี้

“หมอหลวงหลี่ ท่านได้วัดชีพจรให้ท่านแม่ข้าแล้วหรือไม่?” โล่หวินลานค่อยๆไตร่สวนถึง

หมอหลวงหลี่เป่าหนวกและทำตาตั้งแล้วพยักหน้า “แน่นอน”

โล่หวินหลานกระตุกมุมปากขึ้นแล้วยิ้มเยาะ “นั่นท่านรู้หรือไม่ว่าร่างกายของท่านแม่มีพิษอยู่สองประเภท แต่ไม่ใช่พิษเยียกเย็น?”

“นี่ นี่ข้าก็รู้แน่นอนสิ” หมอหลวงหลี่รู้สึกเกรียวกราวเล็กน้อย พิษสองอย่าง?

“เจ้าไม่รู้แน่จริง ร่างกายภายในของท่านแม่มีพิษเยียกเย็นบดบังพิษอีกอย่างหนึ่งไว้ โดยปกติจะดูออกยาก แต่ท่านกลับบอกว่าจะกลับไปเปิดอ่านตำราดู แค่ว่าท่านไม่รู้ว่าท่านแม่ได้รับสารพิษอะไรกันแน่ ต้องการจะหาข้ออ้างยืดเวลาก็เท่านั้น” โล่หวินหลานว่ากล่าวขึ้นอย่างโมโห

หมอหลวงหลี่ทำท่ากระวนกระวาย สีหน้าเขียวซี้ดเพราะถูกคนอื่นรู้ความในใจของเขา อีกอย่างเวินอ๋องยืนอยู่ต่อหน้า ให้เขารู้สึกละอายใจเป็นอย่างยิ่ง

แต่ว่านางรู้ได้เยี่ยงไรว่าตนเองไม่รู้ว่าต้วนกุ้ยเฟยได้เป็นอะไรไป?

“เจ้าปรักปรำมั่ว!ข้าเป็นหมอหลวงในวังมานับ 30 กว่าปี ทำไมข้าถึงไม่รู้?” หมอหลวงหลี่เถียงช้างๆคูๆ เพื่อที่จะไม่ยอมให้ตัวเองเสียใจเด็ดขาด

โล่หวินหลานเดินไปใกล้เขาอีกหนึ่งก้าว และไตร่ถามขึ้นอีกครั้ง “นั่นถ้าเจ้าเป็นหมอหลวงมานับ 30 กว่าปี ทำไมเจ้าถึงต้องกลับไปเปิดตำราเพราะจะดูอาการของคนไข้? พวกปรัชญาตามตำรา เจ้าก็น่าจะจดจำขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ?”

เขาเจอคำพูดของโล่หวินหลานจนเริ่มเกรงกลัว หมอหลวงหลี่ไม่กล้ามีน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจอย่างเมื่อครู่ สายตาของเขาสื่อให้เห็นถึงคำพูดโกหกที่กำลังจะถูกคนอื่นรู้ เขาทำท่าทางอึดอัดและมือไม้อ่อนไปหมด

“นี่เจ้ากำลังโต้เถียงอย่างไม่มีเหตุผล……เจ้า……” หมอหลวงหลี่ชี้หน้าโล่หวินหลาน ขนาดคำพูดประโยคเดียวยังพูดไม่ออก

เวินอ๋องที่อยู่ข้างๆรู้สึกอึ้งไปสักพัก นึกไม่ถึงเลยว่าพระชายาของตนเองกลับมาทักษะการแทพย์ที่เก่งกาจและมีเสน่ห์เยี่ยงนี้ จนต้องสงสัยวิชาของหมอหลวงหลี่ว่ามีปัญหาจริงๆ

แต่ท่าทีเมื่อครู่ของนาง เหมือนคนๆนั้นมาก

ตอนนี้ นางก็ว่ากล่าวตักเตือนเหล่าบรรดาหมอหลวง และเผยข้อสงสัยต่างๆออกมา

“หมอหลวงหลี่ เจ้าเจ้าออกไปก่อน มีข้ากับองค์หญิงอยู่ที่นี่ก็พอ” เวินอ๋องเก็บสีหน้าที่ดูทึ่งของเขาไว้ ไม่อยากจะเชื่อหมอหลวงท่านนี้อีกต่อไป

หมอหลวงหลี่ถอนหายใจเบาๆ ไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป เลยรีบโน้มคำนับแล้วออกมา

บรรยากาศเต็มไปด้วยความเหน็บหนาว ในใจของเวินอ๋องเชื่อองค์หญิงโดยแท้จริง ครั้งก่อนตอนอยู่ที่สนามแข่งม้า นางก็เป็นคนรักษาขาหลวนอ๋องให้หาย

หมอหลวงทุกคนไม่สามารถรักษาได้ แต่กลับถูกนางรักษาให้หาย นางก็คงจะมีทักษะวิชาการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมมากๆ

“องค์หญิง อาการของท่านแม่เป็นอะไรกันแน่? ท่านต้องบอกตามความจริง “ เวินอ๋องทำตากลม จับไหล่ของโล่หวินหลานแล้วถามขึ้น

โล่หวินหลานพยักหน้า “ท่านอ๋อง อาการของท่านแม่มีพิษเข้าสู่ร่างกาย 2 อย่าง หนึ่งคือพิษเยียกเย็นธรรมดา พิษนี้อาจเกิดกับทุกคนตอนฤดูหนาว อีกอย่างต้องตรวจอีกทีจึงจะรู้ ขอให้ท่านอ๋องอย่ากังวงไปเลย ข้าจะต้องรักษาท่านแม่ให้หายโดยแน่”

พอได้ยินคำๆนี้ของโล่หวินหลาน เวินอ๋องก็รู้สึกวางใจ

มักจะรู้สึกว่าถ้ามีนางอยู่ที่นี่ ทุกอย่างก็มักจะถูกแก้ หรือว่าเขาเชื่อใจในฝีมือของโล่หวินหลานมาก เป็นเพราะนางก็เหมือนโล่หวินหลานมากด้วย

ในตำหนักเวินอ๋อง ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด เย่เซียวหลัวเห็นโล่หวินหลานตามเวินอ๋องไปรับใช้ต้วนกุ้ยเฟยในวัง ในใจก็รู้สึกไม่สงบสุข

“พระชายาเจ้าคะท่านลุกขึ้นไม่ได้นะเจ้าคะ!สุขภาพของท่านยังไม่หายดี หมอกำชับท่านแล้วอย่าให้ไปโดนลมข้างนอกอีก ไม่งั้นร่างกายจะรับไว้ไม่ไหว”ตงอวี๋นกดร่างกายของเย่เซียวหลัวที่พยายามจะลุกขึ้น และจับนางไปนอนอยู่บนเตียง

แต่ว่าเย่เซียวหลัวกลับสะบัดมือของตงหวินออก และผลักนางออก “อย่ามายุ่งกับข้า ข้าจะเข้าไปในวัง นังผู้หญิงคนนั้นมันถามเวินอ๋องเข้าไปในวังแล้ว ถ้านางหน้าแย่งหน้าตาของข้าต่อหน้าท่านแม่จะทำเยี่ยงไร?”

ทีแรกเจ้าหญิงเหอซื่อเข้ามาอยู่ในตำหนักเวินอ๋องก็แย่งหน้าแย่งตานางมากพอแล้ว เพราะว่าการมาของนาง ทำให้เวินอ๋องยิ่งเกลียดตนเอง ถ้าต้วนกุ้ยเฟยไม่ได้อยู่ฝ่ายตนเอง นั่นนางก็ไม่มีจุดยืนในตำหนักนี้อีกต่อไป

ตงอวี๋นเป็นห่วงสุขภาพของนาง จะให้นางออกไปตอนนี้ได้เยี่ยงไร ไม่ว่านางจะพูดเยี่ยงไร นางก็ไม่ได้ฟังเข้าหู แต่กลับเตือนนางขึ้น

“พระชายาเจ้าค่ะ สุขภาพของท่านยังไม่หายดี จะเข้าไปตอนนี้ได้เยี่ยงไรเจ้าค่ะ? ถึงแม้ท่านจะเข้าไปในวังแล้ว ต้วนกุ้ยเฟยเห็นท่านในสภาพเยี่ยงนี้ก็คงเป็นห่วงท่าน ท่านพักผ่อนอยู่ในตำหนักเถอะเจ้าคะ”

แต่ว่าตอนนี้เย่เซียวหลัวจะฟังเข้าหูได้เยี่ยงไร นางรีบลุกขึ้น แล้วสะบักตงอวี๋นออก “ไสหัวไปเดี๋ยวยนี้ วันนี้ยังไงข้าก็ต้องเข้าวังให้ได้!”

พูดจบ นางจับเสื้อคลุมที่อยู่ข้างๆมาคุม ทันใดนั้น นางก็ได้เดินไปข้างนอก แต่จู่ๆข้างหลังลำคอนางนั้นมีแรงบางอย่างกระทบ จนทำให้นางไม่รู้สึกตัวอีกต่อไป

ร่างกายของนางล้มลงกับพื้น ตงอวี๋นเห็นเหตุการณ์ และตะโกนขึ้นเสียงดัง “ช่วยด้วย มีผู้ร้ายบุกรุก!”

มีคนใส่ชุดดำรีบวิ่งเข้าไปหาตงอวี๋น และปิดปากนางไว้แน่นๆ

สายตาอันเย็นชาของนางทำให้อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรออกมา ตงอวี๋นได้แค่จับมือของนางไว้ และบิดตัวไปมา และสามารถจะหนีออกไป

ตงอวี๋นถูกปิดปากแล้วพูดอะไรออกมาไม่ได้ ได้แต่จับแขนของนางไว้

คนๆนั้นก้มหน้าจ้องตานางไว้ และยิ้มเยาะพูดออกมา “เสียดายจริงๆ จริงๆข้าไม่อยากปรากฎตัวเร็วเยี่ยงนี้ แต่ใครสั่งให้เจ้าไม่ได้เรื่อง แค่คนๆหนึ่งจะห้ามไว้ไม่ได้……”

ตงอวี๋นทำตาโบ๋ และจ้องนางไว้ไม่กระพริบตา

คนนั้นๆจับขวดขาวๆออกมาจากชุดสีดำของตนเอง เอาไปประคบไว้ตรงจมูกของตงอวี๋น เพื่อให้นางดม

“ดมไปสิ ดมๆไปเดี๋ยวหลับไปสักตื่นหนึ่งก็คงไม่เป็นไรแล้ว”

ทำไมเสียงของหญิงผู้นั้นจึงเหมือนของตนมากๆ?

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของนางก่อนที่นางจะสลบไป

พอรอให้ตงอวี๋นหมดสติไป คนๆนั้นจึงจะแกะผ้าคลุมหน้าออก หน้าที่เผยออกมาเหมือนหน้านางเด๊ะๆ

สายตาอันเยียกเย็นกวาดไปยังรอบๆห้อง และค่อยๆเดินอยู่รอบๆ ยังโชคดีหน่อยที่ข้างนอกไม่มีคนอยู่สักคน ไม่งั้นนางคงเข้ามาได้ไม่ราบรื่นเยี่ยงนี้

อีกอย่างต้องขอบพระคุณเย่เซียวหลัวที่เตรียมการทุกอย่างไว้ให้แล้ว บ่าวที่อยู่ในตำหนัก เกือบทุกคนก็ถูกไล่ไปอยู่เรือนวี่หยวนแล้ว

“พวกเจ้าเข้าไปกันเถอะ” คนๆนั้นเอ่ยปากขึ้น

พอพูดจบ ข้างก็มีคนที่แต่งตัวเหมือนบ่าวในตำหนักเวินอ๋องได้เข้ามาอยู่ในนี่ มองๆแล้วทุกคนเหมือนเย็นชามากๆ

บ่าวที่อยู่หน้าตนเอง 10 กว่าคน คนๆนั้นพยักหน้าอย่างพอใจ “ตอนนี้พวกเจ้าไปค้นหาตนเอง จดจำ ปฏิบัติการ หลบซ่อน”

คนพวกนั้นพยักหน้า เลยรีบหันหลังเดินออกไปนอกประตู ในห้องกลับสู่ความสงบอีกครั้ง

พอมองเย่เซียวหลัวที่อยู่บนพื้น คนๆนั้นยื่นมือไปอุ่มนางขึ้นบนเตียง

คนที่เป็นตงอวี๋นตัวจริงนอนสลบไว้กับพื้น พอมองนางเสร็จ คนๆนั้นก็เดินไปเคาะหน้าต่าง

ข้างนอกต่างหน้ามีคนมาตอบกลับ ไม่นานก็มีคนที่สวมชุดดำสองคนเดินเข้ามา พวกเขามองตรงไปที่ตงอวี๋น และรีบยกนางออกไป

ในห้องเต็มไปด้วยความสงบเหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบและนิ่ง

ในตำหนักหมิงอ๋อง ผู้คนที่สวมใส่ชุดดำรีบบินออกจากกำแพงโดยเร็ว แต่ไม่ได้เกาะให้เกิดเสียงใดๆ

“ท่านอ๋องขอรับ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น” เย่เฟิงเคาะประตูห้องสมุด เขาเหมือนลมที่ปลิวเข้ามา

“ทำได้ดีมาก ไม่มีใครสังเกตเห็นใช่หรือไม่?” โม่ฉีหมิงปิดหนังสือลง ทำสายตาเย็นชามองหน้าเขา

หมวกของเย่เฟิงบดบังหน้าของเขาไว้ มีแค่ดวงตาอันแหลมคมของเขาโผล่ออกมา เหมือนเหยี่ยวที่หลับใหลมานานแสนนาน

“วันนี้เวินอ๋องและองค์หญิงเหอซือเข้าวังไปแล้ว ในตำหนักมีแค่พระชายาเวินอ๋องที่ตกน้ำอยู่” เย่เฟิงทำน้ำเสียงแหบเล็กน้อย และโทนเสียงต่ำมาก

โม่ฉีหมิงพยักหน้า ทำท่าทางเข้าใจแล้ว มือใหญ่ๆของเขาโบกขึ้น ให้เขาออกไป

เย่เฟิงหันหลังกลับไป เหมือนบินกลับไปเหมือนลม

เข้าวัง? วันนี้ไม่ได้เป็นวันพิเศษอะไร เมื่อวานก็พึ่งไปถวายบังคมต้วนกุ้ยเฟย วันนี้ไม่มีอะไรก็เข้าไปในวังทำไม?

โม่ฉีหมิงขมวดคิ้วคิดใคร่ครวญไปสักพัก ยังคงยับยั้งความต้องการเข้าวังของตนเองไม่ไหว และรีบสวมเสื้อคลุมออกไปข้างนอก

หิมะข้างนอกหยุดตกแล้ว เลยทำให้บนพื้นมีหิมะโบะไว้หนาๆ จนทำให้ไม่เห็นรอยเท้าที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

ตรงระเบียงมีคนๆวิ่งเข้ามาหาเขา พอมองไป ก็เห็นอาลั่วหลันที่ไม่ได้เจอกันมานาน

“โม่ฉีหมิง รอหน่อยเจ้าคะ” พอนางเผยใบหน้าของนางออกมา นางไม่เคยเรียกเขาอย่างมีมารยาท เรียกแค่ชื่อของเขามาโดยตลอด

“เรื่องอะไร?” โม่ฉีหมิงกำลังจะจับเสื้อคลุมของตนแล้วถามขึ้น

อาหลั่วหลันยืดอกหายตาหนักๆ แก้มของนางเริ่มแดง ผ่านไปสักพักค่อยสะโบกจดหมายบนมือของนางขึ้น

“นี่เสี่ยวฮัวเป็นคนให้ข้ามาให้เจ้า เจ้าดูก่อน” อาลั่วหลันหายใจนิ่งขึ้น จึงจะเอาจดหมายนี้ออกมา

ในนั้นเป็นลายลักษณ์อักษรของโล่หวินหลาน คำพูดพวกนั้น นางรู้ว่าเขามีความคิดจะเข้าไปในวัง

“จดหมายนี่ไปอยู่กับเจ้าได้เยี่ยงไร?” โม่ฉีหมิง ซ่อนจดหมายเข้าไปในแขนเสื้อของตนแล้วถามขึ้น

อาลั่วหลันตบมือตนเองไปมาเบาๆอย่างทนไม่ไหว “อยู่ที่ข้ามันไม่ปกติตรงไหนหรือ? ก่อนที่เสี่ยวฮัวจะจากไปก็เอานกพิราบจดหมายไว้ที่ข้า ข้ากับนางส่งจดหมายผ่านทางนี้”

จดหมายนกพิราบ? ทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่องนี้?

“เอาจดหมายนกพิราบให้มาให้ข้า” โม่ฉีหมิง บอกสั่ง

แต่ว่ามันชัดเจนมาที่อาลั่วหลันไม่ฟังเขาอย่างแน่นอน และส่ายหัวถอยหลังออกไป “นั่นเสี่ยวฮัวให้ข้า ทำไมข้าต้องให้เจ้า?”

เขากับโล่หวินหลานต้องการส่งจดหมายเหมือนกัน เขาก็ไม่สามารถไปหานางบ่อยๆที่ตำหนักเวินอ๋อง เขาไม่อยากให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาส่งอะไรกัน

ทุกครั้งก็ต้องส่งจดหมายผ่านอาลั่วหลัน แล้วยังเสียเวลาในการส่งข่าวอีก อีกอย่างทำให้เขารู้สึกไม่ชิน

“ไม่ให้ใช่หรือไม่?” โม่ฉีหมิงทำน้ำเสียงเยียกเย็น ในน้ำเสียงนั่นเต็มไปด้วยความอันตราย

อาลั่วหลันขมวดคิ้วมองเขา ไม่รู้ว่าเขามีจุดประสงค์อะไร

“ไม่ให้ๆ ก็คือไม่ให้ เจ้าจะทำเยี่ยงไร? เสี่ยวฮัวเคยบอกว่าห้ามให้เจ้า ก็คือไม่สามารถให้เจ้าได้ ถ้าเจ้าอยากได้ก็ไปเอากับนาง” อาลั่วหลันทำหน้าตาซุกซนเกเร และรีบหันหลังวิ่งกลับไป

พอเห็นท่าทางเด็กๆของนาง โม่ฉีหมิงทนไม่ได้จนต้องจับหัวของตนเองไว้

นี่โล่หวินหลานสื่อความหมายอะไรกันแน่? ทำไมถึงต้องให้จดหมายผ่านมืออาลั่วหลัน?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก