ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 343

ตอนที่ 343 จัดการทุกอย่างอย่างราบรื่น

ช่วงเวลาแห่งค่ำคืนได้มาถึง แผ่นฟ้าเต็มไปด้วยความมืดมัว ไม่มีแม้แต่ดาวสักดวงที่ระยิบระยับออกมา ทั้งผืนฟ้าช่างดูมืดครึ้มและปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำ

ทั้งสองลงจากรถม้าและเข้าไปในตำหนักเวินอ๋อง เมื่อครู่พอเดินไปถึงสวน เวินอ๋อง เวินอ๋องกำลังเดินตามโล่หวินหลานไป และเดินไปที่เรือนวี่หยวนด้วยกัน

แต่ว่าฝีเท้าของเขายังไม่ทันก้าวไปถึงไหนเลย ก็ถูกโล่หวินหลานปฏิเสธ

“ท่านอ๋อง คืนนี้ถ้าต้องพลิกตำราแพทย์เพื่อศึกษาอาการของท่านแม่ ไม่อยากให้ใครมารบกวน เชิญท่านไปนอนพักที่เรือนคุณพี่จะดีกว่า” โล่หวินหลานค่อยๆน้อมคำนับ และปฏิเสธกลับมาด้วยความเคารพ

นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เวินอ๋องถูกปฏิเสธ เรือนร่างของเขาแข็งไปทั้งตัว เหมือนยังเรียกสติกลับมาไม่ได้ และกำลังจ้องมองโล่หวินหลานอยู่

“ใช่ เจ้าศึกษาตำราแพทย์ต้องการสภาพแวดล้อมที่สงบ เจ้าไปเถอะ ข้าอยู่ตรงนี้จะมองเจ้าเดินกลับไป” นึกไม่ถึงว่าเวินอ๋องจะไม่เดินตามไปต่อ

โล่หวินหลานพยักหน้า ไซ่เยว่ที่อยู่ข้างๆพยุงนางเดินไปเรือนวี่หยวนทีละก้าวอย่างช้าๆ

เงาของนางค่อยๆหายไปในสายตาของเขา นางหักศอกตรงโค้งของระเบียง เหลือแต่เพียงความว่างเปล่าและความมืดมัว

“ท่านอ๋อง ท่านเป็นอะไรไปขอรับ?” ทหารที่ยืนอยู่ข้างๆทูลถามถึง

เขาไม่เคยเห็นเวินอ๋องใช้สายตาส่งผู้หญิงคนหนึ่งเดินจากไปเลย นอกจากจะจับผิดนาง?

“ไม่เป็นไร ไป……ห้องสมุด” เวินอ๋องไม่ได้สงสัยใดๆ หันหลังเดินไปยังทิศทางที่ไปห้องสมุด

ทีแรกอยากไปฝูเซิงหย้วนดูหน่อย แต่ว่าแค่นึกถึงหน้าโมโหของเย่เซียวหัลว กลับไม่มีความคิดนี้อีกต่อไป

หลังจากที่ไซ่เยว่มั่นใจว่าไม่มีใครตามมา คงค่อยๆเดินตามหลังของโล่หวินหลาน และส่งนางไปประตูหลังของตำหนักเวินอ๋อง

ประตูหลังไม่ได้ปิดแน่น โล่หวินหลานค่อยๆเปิดประตูขึ้น

“องค์หญิงเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าน้อยจะไปดูการเคลื่อนไหวของเวินอ๋องเองเจ้าคะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะส่งสัญญาณไปให้เจ้าคะ” ไซ่เยว่พยักหน้า

โล่หวินหลานเชื่อไซ่เยว่ เดินออกไปอย่างไม่พูดไม่จาสักคำ

ซอยข้างๆของข้างนอกตำนักเวินอ๋องมีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ รถม้าสีดำจอดอยู่ท่ามกลางหิมะทำให้ดูไม่ชัดเจน ดูๆไม่โดดเด่นเลย

ฉินหยิ่นที่นั่งอยู่ในนั้นพอเห็นนางออกมา เลยรีบเปิดประตูรถม้าเพื่อให้นางเข้าไป

โม่ฉีหมิงนั่งอยู่ข้างในอย่างเฉยชา บรรยากาศในรถม้าอบอุ่นมากๆ มืออันเหน็บชาของโล่หวินหลานถูกเขาจับไว้อย่างแน่นๆ

“ทำไมต้องใช้นกพิราบส่งจดหมายให้อาลั่วหลัน? อยากเจอข้าตอนนี้คือเกิดอะไรขึ้น?” โม่ฉีหมิงถามขึ้น

ก็ต้องมีเรื่องสำคัญอย่างแน่นอนสิ ไม่งั้นนางคงไม่ใช่จดหมายนกพิราบง่ายๆส่งให้เขา

“วันนี้ข้าเข้าวังไปเยี่ยมต้วนกุ้ยเฟย”

โม่ฉีหมิงจับนิ้วของนาง และตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “ข้ารู้”

โล่หวินหลานเอียงหัวมองเขา “ร่างกายของต้วนกุ้ยเฟยมีพิษเข้าไปชนิดหนึ่ง ตรวจไม่พบว่าคืออะไร น่าจะเป็นพิษชนิดพิเศษที่มีในซีเจียง”

โม่ฉีหมิงไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเอามือเย็นๆของนางกุมไว้ในมืออันใหญ่ๆของเขาเพื่อให้ความอบอุ่น

“เวลานี้นางจะตายไม่ได้ ยังสืบหาเรื่องทุกอย่างไม่เจอ” โล่หวินหลานมองเขาทำท่าทางไม่ใส่ใจ นางเข้าไปจับคางเข้าไว้ แล้วบังคับให้สายตาของเขามองตนเอง

หนวกของเขาถือไปถือมาตรงมือของนาง โล่หวินหลานรู้สึกฝ่ามือคันหน่อยๆ แต่ว่าเขาจะไม่ยอมคุยกับตนเองสักคำเลยใช่หรือไม่?

“นางเป็นมีชีวิตรอดอยู่แล้ว เจอพิษที่แก้ไม่ได้หรือ? จะให้ข้าเรียกสวินโม่มาช่วยเจ้าหรือไม่ ถึงแม้ช่วงนี้เขาจะออกไปท่องโลก แต่ว่าวิชาการแพทย์ของเขาก็ยังเก่งกาจ” โม่ฉีหมิงยังคงไม่เห็นความสำคัญของปัญหาของนาง ยังคงเหมือนพูดไปงั้นๆ

ทั้งสองเหมือนจะไม่ได้คุยเรื่องเดียวกัน โล่หวินหลานถามขึ้นอย่างจริงจัง “พิษของต้วนกุ้ยเฟย เจ้าไม่รู้เรื่องจริงๆหรือ?”

ฟังจากคำพูดของเขา หรือว่าเรื่องนี้เขาไม่รู้จริงๆ หรือเขาอยากไม่ใช่คนทำ?

ฟังจากคำพูดของนาง โม่ฉีหมิงจึงจะยอมเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาสบกับของนาง เอ่ยปากขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าสงสัยว่าข้าเป็นทำนั่นหรือ?”

ดวงตาของโล่หวินหลานกระพริบไปสองสามที เหมือนกำลังจะพูดว่าหรือว่าอาจจะไม่ใช่?

เรื่องพิษเขาจะเป็นคนทำได้เยี่ยงไร? แต่เหมือนนางทำท่าทีว่ากำลังสงสัยตนเองอยู่ ถ้าไม่อธิบายให้ชัดเจนต้องมีโกรธ

โม่ฉีหมิงทำเหมือนกำลังจะยอมแพ้อย่างไม่เต็มใจ “เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับข้า แต่เรื่องที่เย่เซียวหลัวตกน้ำข้าสั่งคนไปทำเอง นี่ข้ายอมรับ”

ร่างกายของโล่หวินหลานหยุดชะงักไปสักพัก นางหมุนคอไปมองเขาอย่างตกใจ สายตาแสดงถึงความเข้าใจ “เรื่องที่เย่เซียวหลัวตกน้ำคือเจ้าสั่งคำไปทำ? ทำไม?”

นางคิดมาตลอดว่าเย่เซียวหลัวลื่นอยู่พื้นหิมะแล้วล้มเอง ไม่ระวังลื่นไปตกลงในบ่อน้ำ นึกไม่ถึงว่าจะมีคนอยู่เบื้องหลัง

“หลังจากที่นางตกน้ำ ข้าก็แอบเปลี่ยนของคนข้าให้เป็นคนของเวินอ๋อง นางจะได้รู้สึกว่าเวินอ๋องเป็นคนทำ จะได้เกลียดเวินอ๋องขึ้นมา”

“เจ้าอยากให้พวกเขามีความรู้สึกห่างหายกัน แต่ว่าเย่เซียวหลัวรักเวินอ๋องอย่างมาก ถึงแม้นางจะรู้ว่าเรื่องนี้เวินอ๋องเป็นคนทำ นางก็คงยังจะสั่งคนไปสืบหาอยู่ดี ถ้าถึงเวลานางหาอะไรบางอย่างเจอแล้วจะทำเยี่ยงไรดี?” โล่หวินหลานขมวดคิ้วแล้วถามขึ้น

อยากใช้เรื่องนี้ทำให้เย่เซียวหลัวเกลียดเวินอ๋องคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าเวินอ๋องเป็นคนทำจริงๆ นางก็คงไม่ยอมทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาห่างเหินกันอยู่ดี

โม่ฉีหมิงพยักหน้าเบาๆ มันชัดเจนมากที่เขานึกถึงเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว ยังไงทุกอย่างสามารถอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ตอนนี้จะเป็นเยี่ยงไรก็ไม่เป็นไร

“ยังไงโอกาสก็เยอะอยู่แล้ว แค่เรื่องทุกอย่างข้าสามารถควบคุมไว้ได้ก็พอ” โม่ฉีหมิงพูดถึง

ดูจากการตอบสนองของเขาแล้ว ไม่ได้กังวลเรื่องนี้ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็เหมือนไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขามาก

โล่หวินหลานรู้ว่าเขาคิดอะไร ก็ไม่ได้พูดอะไรเยอะอีกต่อไป จบแล้ว เหมือนเขานึกถึงอะไรบางอย่างแล้วพูดขึ้น “กำลังคนข้าให้ได้ให้พวกเขาแฝงตัวเข้าไปเรียบร้อย นี่เป็นรูปร่างหน้าตาของพวกนาง เจ้าลองดูก่อน ถ้ามีเรื่องอะไรก็สามารถสั่งการพวกนางได้

โม่ฉีหมิงเขากระดาษบางอย่างออกมาจากอ้อมกอดของเขา แล้ววางใส่บนมือโล่หวินหลาน

โล่หวินหลานพลิกไปประมาณสองสามหน้า เห็นภาพวาดใสนั้น แค่รู้สึกคุ้นตามากๆ คนอื่นๆก็ไม่ค่อยรู้จัก

“ตงอวี๋นคนที่คอยติดตามเย่เซียวหลัว ซีเจี้ยนที่คอยติดตามเวินอ๋อง ทั้งสองข้าเคยเห็น แค่คนอื่นๆไม่รู้จักเลย”

“บ่าวที่อยู่ในตำหนักเวินอ๋อง ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุด ห้องครัว ห้องซักผ้า บ่าวยกน้ำชา…….ข้าได้เอาคนไปเสียบเรียบร้อย เจ้าคงไม่รู้จักทั้งหมดหรอก แค่คุ้นหน้าไว้ก่อนก็พอ ถ้ามีเรื่องอะไร พวกนางจะมาหาเจ้าเอง และจะเชื่อฟังคำสั่งของเจ้า” โม่ฉีหมิงยิ้มขึ้นเบาๆ

ดูๆแล้วเหมือนทุกอย่างจะถูกวางไว้อย่างครบถ้วน โล่หวินหลานพยักหน้า แล้วก้มหน้าตั้งใจดูภาพวาดของทุกคน แต่ละคนนางพยายามจดจำหน้าตาของพวกนางเอาไว้

ก่อนจะไป นางเก็บกระดาษพวกนั้นไว้ให้โม่ฉีหมิง ถ้าจะเอาเข้าไปในตำหนักเวินอ๋องก็คงไม่ปลอดภัย ถ้าถูกเวินอ๋องสังเกตเห็นก็ยิ่งจะถูกสงสัย

“ใช่แล้ว เรื่องที่ต้วนกุ้ยเฟยโดยยาพิษต้องไปรอสืบดูดีๆ มันต้องไม่ง่ายขนาดนี้” ก่อนที่โล่หวินหลานจะลงจากรถแล้วพูดขึ้น

“ได้ เจ้าระวังตัวหน่อยนะ ห่างจากเขาเยอะหน่อย” โม่ฉีหมิงมองนางจากไปอย่างเสียดาย

พอลงจากรถม้า โล่หวินหลานรีบเข้าไปในตำหนักเวินอ๋อง ระหว่างทางไม่เจอบ่าวใดเลย คิดว่าน่าจะเฝ้าอยู่ฝูเซิงหย้วน

ในฝูเซิงหย้วน แสงเทียนค่อยๆอ่อนลง แสงไฟจากตำเกียงค่อยๆมืดลง โล่หวินหลานจึงจะค่อยๆลืมตาขึ้น แค่รู้สึกว่าหลังบ่าของนางรู้สึกปวดเมื่อย

“ดงกวิ๋น…..ดงกวิ้น” เย่เซียนหลัวเรียกขึ้นด้วยเสียงแหบ

ดงกวิ๋นที่คอยเฝ้าอยู่ตรงประตูค่อยๆเดินเข้าไปข้างใน หน้าของนางไม่สบอารมณ์ใดๆ แค่พูดขึ้นอย่างเฉยเมย “พระชายามีอะไรจะใช้บ่าวหรือเจ้าคะ?”

เย่เซียวหลัวมองบนใส่นาง “หูเจ้าหนวกหรือยังไง? เรียกเจ้ามีหลายรอบไม่ได้ยินเลยหรือไง? ข้าถามเจ้า คอของข้าเป็นอะไรไป? ทำไมมันปวดเยี่ยงนี้ อีกอย่างข้าไม่ได้เข้าวังหรือไง? ทำไมถึงมานอนอยู่ที่นี่?

สีหน้าของดงกวิ๋นไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรเลย ชัดเจนเลยว่านางได้เตรียมคำพูดมาตอบแล้ว “พระชายาเจ้าคะ จริงๆท่านจะเข้าวัง แต่ว่าท่านรีบเกินไป ตอนที่ท่านจะถึงประตูกลับลื่นล้ม คอเลยไปฟาดกับขอบประตู ทำให้ข้าน้อยตกใจมากๆ”

คำตอบนี้ไม่ได้ทำให้เย่เซียวหลัวเชื่อได้อย่างไร แต่ว่าที่นางพูดมาก็ไม่ผิดอะไรเลย

ก่อนที่นางจะไป สมองสลืมสลือเหมือนไม่ค่อยได้สติ พอนางเดินไปถึงประตูก็รู้สึกว่าเจ็บคอ หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวเลย

เย่เซียวหลัวจับคอของตนเองไว้ ขมวดคิ้วพยายามคิดว่าเกิดอะไรนั้น แต่กลับคิดอะไรไม่ออกเลย

“ถ้าเจ้าก็ยังกล้าโกหกข้า ข้าเจอดีแน่ๆ รีบไปเอาสำลักมาให้ข้าหน่อยเร็ว ข้าหิวจะตายแล้ว” เย่เซียวหลัวไม่มีแรงจะคิดอะไรอย่างอื่น มาเติมท้องก่อน ถึงจะมีสุขภาพที่ดีไปจัดการกับคนอื่น

ดงกวิ๋นพยักหน้า เลยถอยออกมา

รอให้ถึงปีใหม่ นางจะคิดวิธีที่จะจัดการกับเหอซื่อ ยังไงหนามยอกอกนี้ไม่ควรเก็บไว้นาน

แค่ว่าร่างกายของตนเองยังไม่หายดี จะทำอะไรก็ไม่ง่าย ข้างกายของนาง ก็มีแค่ดงกวิ๋นที่คอยจงรักภักดีแต่กำลังคนคงไม่พอ

อีกอย่างเวินอ๋องสำหรับนางแล้ว ก็คือหนามยอกอกที่ใหญ่ที่สุด ต้องทำเยี่ยงไรถึงจะให้เขาหย่ากับเหอซื่อ?

คิดไปคิดมา เรื่องนี้ต้องเตรียมการไว้ระยะยาวถึงจะถูก ถ้าตนเองไม่ไหว นางก็ยังมีตระกูลเย่คอยหนุนหลัง

แต่เหอซื่อ มีแค่นามที่เป็นองค์หญิงแห่งแคว้นเซิ่งโจวแต่เพียงอย่างเดียว ไม่ได้มีอำนาจอะไรโดยเที่ยงแท้ จัดการกับนาง มันง่ายยิ่งเหมือนสิ่งอื่นใดอีก

ตำหนักเย็นในวัง ต้องเหงาและโดดเดี่ยวมากๆ

ฮองเฮาเย่จับเข็มไว้ในมือ และนางกำลังเย็บถุงผ้าใต้แสงเทียนที่สว่างไสว ลวดลายที่กำลังเย็บอย่างประณีต เหมือนเป็นลวดมือมังกรที่สง่างาม

แต่มองจากที่ไกล ก็เหมือนหุบเขาที่สูงใหญ่ ด้ายสีเหลืองอ่อนเย็บลวดลายเยี่ยงนี้ออกมา บนโครงร่างยังเย็บด้วยด้ายอีกสี ให้ลวดลายนั้นดูชัดเจนมากยิ่งขึ้น

“ฮองเฮาเจ้าคะ ตอนนี้ดึกแล้ว ถึงเวลานอนแล้วเจ้าคะ ระวังเดี๋ยวจะทำให้สายตาเสียนะเจ้าคะ” บ่าวที่อยู่ข้างเย่ฮองเฮายกชาร้อนมา และบอกเตือนถึง

เย่ฮองเฮาพยักหน้า “เหลือแค่นิดเดียวก็จะเย็บเสร็จแล้ว เขาชอบถุงผ้า โดยเฉพาะถุงที่มีลวดลายอันประณีต ลวดลายนี้ช้าคิดมาหลายคืน เจ้าว่าสวยหรือไม่?”

พูดจบ ถุงผ้าก็ได้ยื่นไปอยู่ตรงหน้าของบ่าวคนนี้ แล้วให้นางมองให้ชัดเจน

บ่าวคนนี้พยักหน้า และยิ้มแล้วทูลกลับ “ฝีมือการเย็บของเหนียงๆยิ่งอยู่ก็ยิ่งดี เย็บได้ประณีตมากเลยเจ้าคะ”

ถึงแม้คำพูดของนางเหมือนจะกล่าวเกินจริง แต่ว่าเย่ฮองเฮากลับเชื่ออย่างไม่สงสัยใดๆ และหัวเราะได้มีความสุขมากๆ

พูดจบนางก็ก้มหน้าก้มตาเย็บต่อไป แก้มของนางเผยรอยยิ้มอ่อนๆออกมา นางก็เย็บไปยิ้มไป “นี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของข้าแล้ว พวกเขาใช้ได้ใช้ชีวิตอยู่ดีๆ ทำไมข้าถึงต้องมาอยู่ในตำหนักเย็นนี่ล่ะ?”

บ่าวที่อยู่ข้างๆรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย นึกไม่ถึงเลยว่านางจะพูดคำพูดเยี่ยงนี้ออกมาได้ แต่มันกลับเป็นเรื่องปกติมาก และนางก็ไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป ได้แต่นั่งมองนางอยู่ข้างๆ

บรรยากาศในห้องพึ่งสงบไปสักพัก ข้างนอกกลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้นางรู้สึกสะดุ้ง

ตำหนักเย็นแห่งนี้ไม่ได้มีใครเข้าออกได้ตามอำเภอใจ นี่ก็ดึกพอสมควร ทำไมถึงมีคนมีเคาะประตูได้?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก