ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 348

ตอนที่ 348 รู้สึกดีจนยากที่จะอดทน

รถม้าค่อยๆวิ่งผ่านซอกซอยในเมือง ล้อวิ่งผ่านพื้นหิมะจนทำให้เป็นรอยยาวตลอด 2 ข้าง และค่อยๆวิ่งไปยังทิศทางไปตำหนักเวินอ๋อง

โล่หวินหลานนั่งอยู่ในรถม้า สองตาของนางได้หลับลง เพราะกำลังจะพักผ่อนสายตาและตั้งสติ

เมื่อครู่นางแต่มองเรื่องพวกนั้น แต่ไม่มีปัญญาไปขัดขวาง แค่เสียดายว่าถ้าเย่ฮองเฮาออกมา วังในก็คงวุ่นวะวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง

“ไซ่เยว่ นี่ถึงไหนแล้ว?” โล่หวินหลานพลิกผ้านม่านขึ้นแล้วถามขึ้น

ไซ่เยว่ที่อยู่ข้างนอกทูลกลับ “กำลังอยู่แถวตลาด อีกไม่นานก็จะถึงตำหนักเวินอ๋องแล้ว”

โล่หวินหลานพยักหน้า และคิดๆดูแล้วพูดขึ้น “เจ้าให้พวกเขาจอดก่อน ข้าจะซื้อของหน่อยค่อยกลับ”

ตอนนี้ยังไงนางต้องแอบไปตำหนักหมิงอ๋อง เรื่องที่ผ่านมาที่พวกเขาพยายามทำมันเสียเปล่าหมดแล้ว

นกพิราบส่งจดหมายให้ชิวโม่ไป๋ก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป แผนทุกอย่างของพวกเขาต้องเริ่มใหม่

ไซ่เยว่รีบบอกให้คนขับจอดรถลง แต่ว่าคนขับรถม้าเป็นคนของเวินอ๋อง ก่อนที่เวินอ๋องจะไป ได้สั่งอะไรบางอย่างไว้ เขายังไม่กล้าถามคำพูดพวกนั้น จะกลับจากไปได้เยี่ยงไร?

แต่ยังพูดไม่จบ ก็ถูกโล่หวินหลานไล่

“องค์หญิง ท่านจะไปตำหนักหมิงอ๋องใช่หรือไม่?” ไซ่เยว่กระซิบข้างหูโล่หวินหลาน

ติดตามตนเองมานานเยี่ยงนี้ ไซ่เยว่ก็สามารถเอาความในใจของตนออก โล่หวินหลานมองนางอย่างชื่นชม และพยักหน้ายิ้มขึ้น “พูดได้ไม่ผิดจริงๆ เจ้ารู้หรือไม่ว่าทางไหนมีคนน้อยกว่า ถนนเส้นไหนใกล้กว่า ต้องรีบไปให้ถึงตำหนักหมิงอ๋องด้วย”

ไซ่เยว่ไม่ได้อยู่ที่ตำหนักหมิงอ๋องบ่อยๆ แต่เพราะช่วงนี้ที่นางเข้าออกบ่อย จึงทำให้คุ้นเคยขึ้นมาบ้าง

“องค์หญิงเจ้าคะ เวลานี้ช้างนอกคงไม่มีคนเฝ้าแล้ว บ่าวจะเข้าไปช่วยท่านเปิดประตูออกมาก่อน” ไซ่เยว่เงยหน้ามองกำแพงเขียวๆนั้น แล้วใช้วิชาตัวเบาบินเข้าไปข้างใน

นางหันไปแล้วบินเข้าไปเลย

มองเห็นนางเหมือนนกตัวที่มีชีวิตชีวาบินเข้าไปในตำหนักหมิงอ๋อง โล่หวินหลานจึงรู้สึกอึ้งในวิชาที่คนสมัยก่อนมี

ผ่านไปไม่นาน ข้างในกลับมาเสียงตะโกนขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!โจรที่ไหนบุกรุกเข้ามาในตำหนักหมิงอ๋อง”

เสียงที่ต่อมาอีกคือเสียงอาวุธที่ดังขึ้นท่ามกลางหิมะโปรยปรายก็ยิ่งทำให้ได้ยินเสียงพวกนี้อย่างชัดเจน

หรือว่าจะถูกทหารในตำหนักเห็น? ไซ่เยว่เป็นคนในตำหนัก ทำไมถึงไม่รู้จัก?

ผ่านไปไม่นาน เสียงอาวุธนั้นได้เงียบสงบลง ประตูหลังได้เปิดขึ้น คนที่มาไม่ใช่ไซ่เยว่ แต่เป็นเย่หวิน

นางก็ยังเหมือนแต่ก่อน ไม่เจอกันแค่ปีเดียว ทำไมนางดูผอมแห้งกว่าเก่า คงจะเป็นเพราะช่วงเวลาหนึ่งปีนี้ นางต้องโกรธตัวเองมาตลอด?

ทั้งสองเจอหน้ากันไม่ถึงสองวิ เย่หวินเหมือนดูนางไม่ออก ได้แต่ขยับริมฝีปากอย่างยากลำบากแล้วถามขึ้น “ท่าน ท่านคือองค์หญิงเหอซื่อหรือ?”

โล่หวินหลานเหม่อเข้าไปในความทรงจำจนได้สติกลับมา พยักหน้า “ใช่ ข้ามาเข้าพบท่านอ๋องของพวกเจ้า”

เย่หวินทำตัวไม่ถูก ได้แต่พยักหน้า “เชิญท่านเข้ามา ท่านอ๋องอยู่ห้องสมุด”

ขอบคุณ โล่หวินหลานค่อยๆก้าวฝีเท้าของตนเองแล้วเดินไปทางไปห้องสมุด สำหรับตำหนักหมิงอ๋อง นางหลับตาก็รู้ว่าว่าแต่ละที่ต้องไปเยี่ยงไร

ทั้งสองที่อยู่ข้างหลังไม่ได้ติดตามไป แค่มองนางค่อยๆเดินออกจากประตูหลัง ไซ่เยว่จึงพูดขึ้น “พี่เย่หวิน เจ้าเป็นอะไรไป?”

เย่หวินจ้องไปยังโล่หวินหลาน ทำไมนางถึงให้ความรู้สึกสนิทกับตน ความรู้สึกที่ตอนนั้นที่นางเคยรับใช้พระชายาได้โผล่ขึ้นมาเรื่อยๆ

“เหมือนนางจะคุ้นเคยกับตำหนักหมิงอ๋อง?” เย่หวินได้สติจึงมองไซ่เยว่แล้วตอบกลับ

“ใช่ มาบ่อยมา ท่านอ๋องใส่ใจนางมา ชอบไปหานางที่ตำหนักเวินอ๋อง” ไซ่เยว่นึกย้อนถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้รู้สึกนางไม่เหมือนใคร

เย่หวินส่ายหัว ไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงมีความคิดเยี่ยงนี้ หรือว่าตนเองคิดมากเกินไป

นางกับพระชายาต่างกันมากเยี่ยงนั้น บุคลิกและท่าทางของทั้งสองก็ต่างกัน แค่ดวงตาคู่นั้นก็สามารถแบ่งความแตกต่างออก

นางอยู่นอกห้องสมุดลังเลไปสักพัก และปัดหิมะบนตัวออก กำลังจะผลักประตูเข้าไป นอกประตูกลับมีบ่าวถือของหวานมาด้วย เหมือนกำลังจะเดินเข้าไปตรงประตู

แต่ว่าพอเห็นโล่หวินหลานก็ทำท่าทางตกใจ อ้าปากแล้วตะโกนขึ้น หลังจากนั้นก็ถูกโล่หวินหลานใช้มือปิดปากนางไว้

“ห้ามเรียก เอาของมาให้ข้า เจ้าก็ไปได้แล้ว” โล่หวินหลานมองมานาง แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ

คนๆเหมือนอยากพูดอะไรต่อ แต่กลับโดนสายตาอันเยียกเย็นของโล่หวินหลานข่มขู่ไว้จนไม่กล้าพูดอะไรอีก แค่รู้สึกคนๆนี้คุ้นตามากๆ แต่ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของนาง

นางได้แต่พยักหน้ารัวๆ โล่หวินหลานก็ปล่อยมือออกจากปากนางแล้วให้นางเดินจากไป

นางยกของหวานนั่นไว้ และเคาะประตู เสียงแห่งความเฉยชาได้ดังขึ้น “เข้ามา”

ห้องสมุดได้จุดเทียนไว้ แสงสว่างข้างนอกค่อยๆสอดส่องเข้าไปข้างใน และไปรวมกับแสงเทียนด้านใน จึงทำให้ยิ่งสว่างมากขึ้น

โม่ฉีหมิงนั่งอยู่ตรงตำแหน่งหลัก มือของเขาจับหนังสือไว้ อ่านหนังสืออย่างไม่เงยหน้าเลย

จนโล่หวินหลานได้วางถาดของหวาน เขาก็เอ่ยปากพูดขึ้น “ออกไป”

โล่หวินหลานหยุดชะงักไปสักพัก คงจะยังไม่รู้ว่าเป็นตนเอง นางจึงเดินเข้าไปใกล้เขา สองมือของนางเก็บไว้ด้านหลังของตน “จะให้ข้าออกไปจริงๆใช่หรือไม่?”

พึ่งพูดจบ เขาก็รีบเงยหน้าขึ้นและรีบปิดหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ เขารู้สึกตกใจมาที่ได้เจอโล่หวินหลาน น้ำเสียงของเขากลั้นกลืนความตื่นเต้นลงไป

“หวินหลาน มานี่” เขายื่นมือมาให้นาง และดึงนางเข้าไปกอด

โล่หวินหลานไม่ได้ทำท่าทีอะไร ดวงตาที่สวยเหมือนภาพวาดของนางมองไปที่เขา มีแสงแยงตานาง เหมือนตอนนี้ได้มีแสงสว่างล้อมรอบตัวเขาไว้ ทำให้เห็นเขาไม่ชัดเจน

“ข้ามานี่คือมีเรื่องสำคัญจะบอกเจ้า” โล่หวินหลานเกือบจะถูกดวงตาของเขาดูดกลืนเข้าไป ยังดีที่ยังเลิกจ้องตาเขาก่อน

แต่ว่าเขาจะตั้งใจฟังนางพูดได้เยี่ยงไร เขาดึงนางปุ๊บ ทั้งร่างกายของนางก็ไปนั่งอยู่บนตักของเขา และเขาก็ได้โอบเอวนางไว้อย่างแน่นๆ

“เจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดเยี่ยงนี้ได้หรือไม่ พอมองเจ้าข้าไม่สามารถจดจ่อและตั้งใจฟังได้” โม่ฉีหมิงอธิบายถึง

โล่หวินหลานมองมืออันใหญ่ๆของเขา และขมวดคิ้วพยักหน้า “กอดข้าไว้แล้วเจ้าจะจดจ่อและตั้งใจได้หรือ?”

คนๆนั้นส่ายหัวอย่างไม่อับอาย “กอดเจ้าไว้ข้าฟังได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นไง”

คางของเขาได้เข้ามาพาดไว้ตรงลำคอของตน ลมหายใจของเขากระทบลงที่ลำคอ ทำให้รู้สึกคันมากๆ โล่หวินหลานยกมือเอาคางเขาออก แต่ผ่านไปไม่นานเขาก็เอามาพิงต่อ

ทนไม่ไหวแล้ว ได้แค่ปล่อยๆมันไป แล้วให้เขาพาดไว้เยี่ยงนี้

“เย่ฮองเฮาได้ออกจากตำหนักเย็นแล้ว” โล่หวินหลานพูดขึ้นทันที

“อืม” คนๆนั้นทำเสียงต่ำแล้วตอบกลับ ไม่ได้ตกอกตกใจอะไรเลย

“ข้าเห็นนางออกมากับตา” โล่หวินหลานพูดต่อ

“อืม !” โม่ฉีหมิงพิงคอของนางไว้ และพูดด้วยเสียงต่ำอีกครั้ง

ทำไมไม่มีปฏิกิริยาใดๆ หรือเขารู้ตั้งนานแล้ว?

“เจ้าเดาออกตั้งนานแล้วใช่หรือไม่?” โล่หวินหลานชี้ขนตาลง แล้วมองหน้าข้างของเขา

โม่ฉีหมิงเงยหน้าขึ้น ดวงตาอันสุขุมของเขาสบตากับนาง และพูดขึ้น “ออกมาก็ดี จะได้จับนางง่ายหน่อย ถ้านางยังอยู่ตำหนักเย็น ก็ไม่สามารถให้โทษหนักๆที่นางกระทำผิดได้”

ถึงแม้เขาจะพูดเยี่ยงนี้ แต่ว่าเย่ฮองเฮาก็เป็นคนเก่าคนแก่ในวังมานาน เยี่ยงนี้ก็จะทำให้นางระวังตัวมากขึ้น คราวหน้าถ้าจะจัดการกับนางก็ยิ่งยากมากขึ้น

“แต่ว่า การกลับมาของนางครั้งนี้ นางก็ไม่ปล่อยคนที่เคยทำร้ายนางไปง่ายๆแน่ๆ โดยเฉพาะหรงฝินและหลัวอ๋อง” โล่หวินหลานคาดเดาถึง

ใช้ชีวิตอยู่ในตำหนักเย็นมาเป็นเวลาหนึ่งเดือน สำหรับนางแล้ว มันทรมานยิ่งกว่าตายไปอีก

นางพยายามจะดีดตนเองออกมาให้ได้ เกรงว่าอยากจะมาแก้แค้น

“ข้าจะส่งทหารไปเฝ้าที่ตำหนักน้องสิบเจ็ดในมากยิ่งขึ้น เพื่อระวังความปลอดภัยของเขา ทางหรงฝิน นางก็คงรู้ดีว่าเย่ฮองเฮาจะทำอะไร นางเองก็คงจัดการได้” โม่ฉ๊หมิวคิดๆแล้วพูดขึ้น

“ต้วนกุ้ยเฟยก็ตื่นแล้ว เย่ฮองเฮาเป็นคนให้ยาแก้พิษเอง หรือว่าพิษของต้วนกุ้ยเฟยก็เป็นฝีมือของเย่ฮองเฮา ครั้งนี้นางหลอกใช้ต้วนกุ้ยเฟย ความสัมพันธ์ของพวกนางคงแตกแยกกันไปแล้ว” โล่หวินหลานยิ้มเยาะเบาๆ

ครั้งนี้โม่ฉีหมิงมองนางด้วยความสงสัยและถามขึ้น “ต้วนกุ้ยเฟยได้รับพิษอะไร?”

“พิษไฟ” โล่หวินหลานจำได้แม่นยำมากๆ

พิษไฟ? โม่ฉีหมิงมีความคุ้นชินมาก แค่รู้ว่าพิษไฟมีธาตุร้อน ตรงข้ามกับพิษเยียกเย็น ถ้าทั้งสองบรรจบกัน ก็จะทำให้รักษายากมาก

คิดว่าต้วนกุ้ยเฟยน่าจะถูกคนวางยาพิษไฟตั้งนานแล้ว พอเจออากาศเยี่ยงนี้ เลยทำให้พิษทั้งสองบรรจบกัน จนทำให้นางสลบไม่ตื่นเยี่ยงนี้

“พิษไฟจะควบคุมไม่ได้ก็ต่อเพราะเจออากาศหนาวเย็น และเย่ฮองเฮาอยากช่วยต้วนกุ้ยเฟยตอนเวลานี้ หลังจากนี้ก็ออกจากตำหนักเย็น ดูๆแล้วก็คือแผนที่นางวางไว้ตั้งแต่แรก” โม่ฉีหมิงปริตาลงเล็กน้อย เขาอุตส่าห์ระมัดระวังมากๆ สุดท้ายกลับป้องกันอะไรไม่ได้เลย

กลับให้โอกาสนางออกจากตำหนักเย็น

ในวังในยากที่จะปรากฎคนที่กล้าและฉลาดในการวางแผน ที่สามารถปะทะกับเย่ฮองเฮา จริงๆก็ได้สำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่เพราะเรื่องนี้จนทำให้คนอื่นยากที่จะรับได้

ตอนนี้โม๋ฉีหมิงไม่ได้จดจ่อกับเรื่องนี้ หนทางยังอีกยาวไกล เขาหาวิธีมากมายที่จะจัดการกับเย่ฮองเฮา

แต่ว่าตอนนี้เย่ฮองเฮาไม่ได้สำคัญที่สุด ที่สำคัญคือจะจัดการกับเย่เซียวหลัว ให้นางพูดเรื่องจริงทุกอย่างออกมาจึงจะสำคัญที่สุด

“เจ้าเป็นห่วงตัวเองจะดีกว่า อยู่ตำหนักเวินอ๋องมาหลายวันแล้ว คิดออกหรือยังว่าจะจัดการกับเย่เซียวหลัวเยี่ยงไร?” โม่ฉีหมิงจ้องมองไปที่นาง และอยากจะโอบกอดนางเข้าไปในอ้อมกอดอย่างเต็มทน

โล่หวินหลานใช้นิ้วชี้ต้านริมฝีปากของเขาไว้ และแกล้งทำทีท่าโมโห “ข้าไม่ได้บอกว่าให้เวลาข้าหนึ่งเดือนหรือไง? นี่ผ่านไปแค่ไม่กี่วัน?

“สำหรับข้าแล้ว มันเหมือนเวลาผ่านไปนานเป็นปี” โม่ฉีหมิงพูดด้วยเสียงต่ำ

น้ำเสียงอันน่าดึงดูดของเขาดังขึ้นข้างหูนาง ลมหายใจอันเร่าร้อนกระทบตรงหูนาง ทำให้นางรู้สึกคัน นางจึงหดลำคอตนเองให้สั้นลง ริมฝีปากของเขาประกบลงมาแล้ว

ริมฝีปากของเขาโหยหาริมฝีปากของนางมาก ข้างริมฝีปากของนางมีร่องรอยจูบของเขา และค่อยๆนำนางเข้าสู่จังหวะของเขา จมูกของนางเต็มไปด้วยลมหายใจของเขา

โล่หวินหลานยากที่จะหลุดพ้นออกมา นางยื่นมือไปพาดตรงลำคอของเขา ทั้งสองโอบกอดกันไว้แน่นๆ

ลมหายใจของโม่ฉีหมิงยิ่งอยู่ยิ่งหายใจแรงและเร่าร้อนมายิ่งขึ้น จังหวะหายใจอันเล้าโลมจิตใจของเขาโอบร่างของนางไว้แน่นๆ และพลิกตัวแล้วกดตัวนางไปนอนไว้บนโต๊ะ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก