ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 352

ตอนที่ 352 ถวายพลอยเพื่อได้หน้า

พอมองผักกาดหัวที่อยู่นิ่งๆในกล่อง ดงกวิ๋นหัวเราะอย่างเบิกบาน ก้มหน้าไม่พูดอะไรออกมา

ทางต้วนกุ้ยเฟยเองก็หยุดชะงักไปสักพัก รอยยิ้มนั่นได้จางหายไป ถึงแม้สีหน้าจะแสดงออกไม่ค่อยชัดเจน แต่ว่าก็สามารถดูออกได้ว่านางรู้สึกไม่พอใจ

“ท่านแม่ น่าจะเป็นบ่าวที่ไม่มีลูกตาใส่ผิดมา วันรุ่งขึ้น วันรุ่งขึ้นหลัวเอ๋อจะตรวจให้เรียบร้อยแล้วจะส่งมาให้ท่านแม่อีกครั้ง” เย่เซียวหลัวทำสีหน้าแดงเบาๆ ทั้งอายทั้งเครียด

“ช่างมันเถอะๆ เจ้ามีใจก็พอแล้ว ผักกาดหัวนี่ข้าจะเก็บไว้” ถึงแม้ต้วนกุ้ยเฟยจะพูดเยี่ยงนี้ แต่สีหน้าของนางก็ดูไม่มีความสุข

แต่งเข้ามาในตำหนักเวินอ๋องก็นานพอสมควร ทำไมเรื่องแค่นี้ยังแบ่งแยกไม่ชัดเจน?

ถ้าเป็นนางก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นคนนอก ก็จะอับอายน่าดู

ถึงแม้ต้วนกุ้ยเฟยไม่ได้โทษนาง แต่ว่าเย่เซียวหลัวรู้ดีแก่ใจว่านางต้องโกรธอย่างแน่นอน ตนเองก็ไม่มีหน้าที่จะอยู่ต่อไป หน้าของนางร้อนแดงขึ้นและขอตัวกลับก่อน

ตลอดทางกลับนางไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา แค่ทั้งหน้าของนางดูน่ากลัวและเยียกเย็นกว่าอากาศข้างนอก ทั้งเรือนร่างของนางระเหยซึ่งความโหดเหี้ยมออกมา

จนได้กลับถึงตำหนัก อารมณ์ของเย่เซียวหลัวได้ระเบิดออกมา และนั่งอยู่ตรงตำหนักหลัก สั่งให้ดงกวิ๋นคุกเข่าลง “ของนั่นเจ้าเป็นคนใส่เอง ตลอดทางเจ้าเป็นคนถือ ข้าเลยไม่ได้ดู เพราะว่าข้าเชื่อใจเจ้า แต่เจ้ากลับ!เลี้ยงเจ้าไว้นี่เสียข้าวสุกจริงๆ”

ดงกวิ๋นได้คิดคำพูดที่จะมาตอบนางเรียบร้อย ไม่กี่วันนี้ทำให้นางได้รู้จักเย่เซียวหลัวอย่างละเอียด

จิตใจโหดเหี้ยมและไม่มีสมอง คำพูดที่อุปมานาง

ดงกวิ๋นพยายามบีบน้ำตา และทำท่าทางน่าสงสารแล้วพูดขึ้น “พระชายาเจ้าค่ะ ดงกวิ๋นรับใช้ท่านมานานเยี่ยงนี้ ข้าน้อยจะกล้าทำกับพระชายาได้เยี่ยงไร? ก่อนหน้านั้นข้าน้อยได้เอาโสม เลยให้ไฉ่หลันจับกล่องนั้นไว้ กลับมาเลยไม่ได้ดู ใครจะไปรู้ ข้างในกลับเป็นผักกาดหัว”

พอเห็นดงกวิ๋นน้ำไหลพรากๆ และพูดว่าตนถูกใส่ร้าย เย่เซียวหลัวก็ใจอ่อนลง

ดงกวิ๋นเป็นคนที่นางเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ และยังติดตามนางมาหลังแต่งงาน คาดว่านางก็ไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้

“เจ้าพูดว่า ตอนเจ้าเอาโสมใส่เข้ามา ไฉ่หลันจับกล่องนั้น? ไฉ่หลันคือใคร? ไปเรียกนางมา” เย่เซียวหลัวสั่งฉีมามาที่ยืนอยู่ข้างๆ

ฉีมามารับทราบ นางทำสายตาเยียกเย็น แล้วรีบเดินออกไปตรงประตู

ดงกวิ๋นคุกเข่าอยู่กับพื้น ไม่กล้าหายใจแรงเลยด้วยซ้ำ

นางที่กำลังจับถ้วยชาที่เต็มไปด้วยลวดลายแกะสลัก ความอดทนของเย่เซียวหลัวค่อยๆหายไปทีละนิด สายตาของนางดูเยียกเย็นจนจะทนไม่ไหวแล้ว

พอเทียบกับนางตอนแต่ก่อน ตอนนี้รู้สึกยิ่งน่ากลัวมากยิ่งขึ้น

หลังจากที่องค์หญิงเหอซื่อแต่งเข้ามา นางกลายคนที่ขี้ระแวงและระมัดระวังตนเอง สมองคิดแต่เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือจะปะทะกับเหอซื่อเยี่ยงไร

ไม่ว่าจะที่มืดหรือที่แจ้ง นางก็จะไม่ยอมให้ผลไม้ที่ดีให้นางกิน ดังนั้นเรื่องผักกาดหัวครั้งนี้ ก็คงต้องเป็นฝีมือเหอซื่อ

ฉีมามาลากตัวไฉ่หลันมาที่ตำหนักหลัก และสั่งนางให้คุกเข่าลง

“ท่านคือไฉ่หลัน? บ่าวรับใช้ที่ไหน?” เย่เซียวหลัวถามขึ้นอย่างเย็นชา

ไฉ่หลันสั่นไปทั้งตัว และตอบกลับด้วยเสียงต่ำ “ข้าน้อยอยู่หลังครัวเจ้าคะ”

“หลังครัว? เจ้าได้จับกล่องบนมือของดงกวิ๋นหรือไม่?” เย่เซียวหลัวถามขึ้นต่อ

ไฉ่หลันรู้สึกเกรงกลัว และพูดตามความจริง “ทูลพระชายา บ่าวได้เอากล่องของคุณพี่ดงอกวิ๋น แต่ว่านั่นคือของๆคุณพี่ดงกวิ๋น……”

“พระชายาเจ้าค่ะ นางนี่แหละเจ้าคะ! วันนี้บ่าวได้เอากล่องไปตรงสวน ตอนนั้นบ่าวปวดท้องจนทนไม่ไหว ไฉ่หลันเดินผ่านข้าไปพอดี ข้าเลยวานให้นางจับกล่องไว้ และให้นางรอ หารู้ไม่นางกลับทำเรื่องเยี่ยงนี้ขึ้น ต้องโทษบ่าวเองที่ไปไว้ใจใครง่ายๆ”

ดงกวิ๋นชี้ไฉ่หลัน และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแย่ สีหน้าของนางเหมือนถูกทารุณเป็นอย่างมาก

ดูๆแล้วไฉ่หลันเหมือนอายุยังอ่อน ดูเหมือนทั้งเชื่อฟังและทั้งใส่ซื่อ แต่ตอนนี้นางก้มหน้าลงก็มีความร้ายไม่น้อย

พอเปรียบกับดงกวิ๋นที่ติดตามนางมานาน ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ เย่เซียวหลัวปริตามองนาง

นึกไม่ถึงว่าในตำหนักจะเลี้ยงหญิงสาวที่ประสงค์ร้ายเยี่ยงนี้ ต้องโทษนางที่ไม่ได้ดูบ่าวในตำหนักดีๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่ปล่อยให้นางเข้ามาทำงานที่นี่ได้

“ไฉ่หลัน ข้าไปทำอะไรผิดกับเจ้า? เจ้ากลับทำร้ายข้าได้เยี่ยงนี้? “ เย่เซียวหลัวกัดฟันพูดขึ้น

ไฉ่หลันที่คุกเข่าอยู่บนพื้นไม่ได้เป็นคนทำ รู้ว่าถูกคนใส่ร้าย นางได้อธิบายทุกอย่างไปแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ ยังไงเย่เซียวหลัวก็ชี้หน้าว่าตนเป็นคนทำ

ไฉ่หลันกัดฟันหยุดชะงักไป ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แค่ก้มกราบ “บ่าวไม่ได้ทำ บ่าวไม่ได้ทำ บ่าวถูกใส่ร้าย!”

เย่เซียวหลัวขว้างถ้วยชาลงกับพื้น และขว้างที่หัวของไฉ่หลัน ร่างของนางได้ล้มลง เลือดแดงสดก็ไหลริมออกมาจากหัวของนางไม่หยุด

ไฉ่หลันสั่นไปทั้งตัว สีหน้าดูขาวซี้ด สายตามองไปยังเลือดที่อยู่บนมือของนาง เหมือนนางได้เจอเรื่องที่ทำให้ตกใจเป็นอย่างมาก

“พระชายาเจ้าค่ะ ท่าทีของบ่าวผู้นี้มันช่างน่าอับอาย ไม่เหมาะที่จะเก็บไว้ในตำหนักอีกต่อไป เมื่อป้องกันเรื่องที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ต้องไล่นางออกจากที่นี่” ดงกวิ๋นกำลังเตือนเย่เซียวหลัวด้วยเสียงต่ำข้างหูนาง

เย่เซียวหลัวหันไปมองนางสักแว๊บ แล้วมองไปยังไฉ่หลันที่อยู่บนพื้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

“คนทรยศเยี่ยงนี้ ปล่อยนางไปง่ายๆคงจะง่ายเกินไป” พูดจบ นางมองไปที่ฉีมามา “ตีนาง 20 ที แล้วเอานางไปขว้างแถวชานเมือง จำให้ไม่ต้องให้ข้าเจอหน้านางอีก”

ฉีมามารับทราบ ลุกขึ้นจับมือของไฉ่หลันไว้ แล้วลากตัวนางออกไปอย่างเยียกเย็น

ไม่ว่าไฉ่หลันจะร้องไห้เยี่ยงไร เย่เซียวหลัวก็ไม่ได้ยิน เหมือนพลอยที่นางสะสมปะเปื้อน พอนางเห็นเลือดบนพื้น แล้วรู้สึกกลัว

“พวกเจ้าเก็บกวาดที่นี่ให้เรียบร้อย กลัวมันจะเป็นรางไม่ดี” พูดจบ นางก็เดินกลับไปห้องของตนเอง

บ่าวที่อยู่ในห้องก็แยกย้ายกันไปหมด ดงกวิ๋นทำสายตาเยียกเย็นจ้องมองตรงประตู และถอนหายใจเบาๆ และก็ติดตามนางออกไป

“พระชายาเจ้าค่ะ ข้าแค่จะไปดู เดี๋ยวพวกเขาจะไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอีกเจ้าคะ” ดงกวิ๋นเดินตามฝีเท้าของเย่เซียวหลัว และชี้ไปยังทิศทางที่ไฉ่หลันไป

เย่เซียวหลัวไม่ได้มองนางแล้วพยักหน้าขึ้น

นางไปใส่ร้ายคนอื่นเยี่ยงนี้ ก็ทำให้บ่าวดีๆคนหนึ่งก็พลอยซวยตาม ถึงแม้จะทำให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายแต่ก็ไม่ควรทำเยี่ยงนี้

พอมองเห็นเย่เซียวหลัวยิ่งเดินยิ่งไกล ดงกวิ๋นค่อยๆถอยไปหลบหลังเสา ถือโอกาสตอนที่ไม่มีใครสังเกตเห็น รีบเดินไปตรงทิศทางตะวันออก

โล่หวินหลานตื่นขึ้นมา คนที่อยู่ข้างเขาหายไปแล้ว เมื่อวานอ้อมกอดที่คุ้นเคยเหมือนฝัน พอลืมตาขึ้นมาก็หายไป

ห้องกักขังนี้หนาวเกินไปจริงๆ โล่หวินหลานนั่งอยู่ที่นั่นกำลังเปิดอ่านหนังสือ ถ่านในห้องก็เยอะพอสมควร ทำให้ไม่รู้สึกหนาวอีกต่อไป

ถึงแม้จะจ้องมองหนังสือที่กำลังดู แต่ว่าใจของโล่หวินหลันกลับเหม่อลอยไปที่อื่น

ไม่กี่วันนี้ นางได้มองแผนการของเย่เซียวหลัวออกอย่างชัดเจน นางได้เดินตามเส้นทางที่ตนเองวาดไว้ อีกไม่นาน คาดว่าก็จะสามารถจับผิดนางได้

ตอนนี้ ข้างนอกกลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น โล่หวินหลานเงยหน้าขึ้น มองไปยังไซ่เยว่ที่อยู่ข้างๆ สื่อให้เห็นว่าให้นางไปเปิดประตู

“ถวายบังคมเจ้าค่ะองค์หญิง” ดงกวิ๋นเดินเข้ามาแล้วน้อมคำนับ

ตอนนี้นางมาได้เยี่ยงไร? โล่หวินหลานปิดหนังสือแล้วลุกขึ้น

“มาตอนเวลานี้ มีอะไรมิทราบ?”

ดงกวิ๋นพยักหน้า เอาเรื่องที่เกิดเมื่อครู่เล่าให้ฟังอย่างละเอียด

สุดท้ายคิดๆแล้ว ก็พูดขึ้นอีก”ขอให้องค์หญิงสามารถดูแลไฉ่หลัน ยังไงนางถูกลงโทษก็เพราะข้า”

ดูๆแล้ววันนี้เย่เซียวหลัวรีบเข้าวัง ก็เพราะจะไปฟ้องท่านแม่ นางฉวยโอกาสนี้พูดเรื่องทุกอย่างให้ต้วนกุ้ยเฟยได้ฟัง ถือโอกาสนี้เหยียบนางจมดิน

แค่เสียดายบ่าวดีๆผู้นั้น

โล่หวินหลานพยักหน้า “ไหนๆนางเกิดเรื่องก็เพราะพวกข้า ก็จะให้นางได้อยู่ดีๆ เจ้าวางใจเถอะ”

ดงกวิ๋นถอนหายใจเบาๆ นางรู้ว่าโล่หวินหลานต้องช่วยแน่นอน

บรรยากาศค่ำคืนหนาวเย็นเหมือนดั่งน้ำเย็น ฟ้าเริ่มมืดมัวลง และกำลังปกคลุมดวงจันทร์บนท้องฟ้า มีแค่แสงจันทร์ที่ไม่ค่อยสว่างสอดส่องลงมา

ประตูเมืองได้ค่อยๆปิดลง ประตูเข้าเมืองอันหนักหน่วงค่อยๆปิดลงในช่วงเวลาที่ฟ้ามืดมัวลง

แต่ว่า เสียงม้าวิ่งก็ดังขึ้นจากที่ไกลๆ ม้าทั้งสองตัววิ่งบนพื้นหิมะ และโต้ลมหนาวมา และวิ่งผ่านประตูเข้าเมืองอย่างรวดเร็ว

ทหารที่เฝ้าประตูทางเข้าเมืองมองไม่ออกมาผู้นั้นเป็นใคร เพราะถูกหมอกจากหิมะบดบังขึ้นมองอะไรไม่ชัดเจน

“นี่พวกมันช่างกล้าจริงๆที่เข้ามาเยี่ยงนี้ รีบไปขัดขวางพวกมัน !”หัวหน้านายพลแขว่งดาบยาวบนมือของพวกเขา แล้วชี้ไปยังทั้งสองที่อยู่ข้างหน้า

ทั้งสองประจัญหน้ากันแล้วรีบวิ่งเข้าไปในที่มืด

“มันช่างน่าแปลกใจจริงๆ ทำไมถึงเป็นเยี่ยงนี้? เมื่อครู่ยังเห็นคนวิ่งผ่านอยู่เลย ทำไมตอนนี้กลับไม่เห็น” นายพลคนหนึ่งเกาหัวของตน และมองไปตรงข้างล่างของกำแพง

มีลมหนาวพัดผ่านมาอีกครั้ง ครั้งนี้ร่างของเขาขดตัวลง และเดินไปใต้กำแพงอย่างน่าสงสัย

เงาของทั้งสองบินไปตลอดทาง พื้นหิมะเต็มไปด้วยรอยเท้าที่ลากยาวๆ ไม่นานก็ตามไปตรงกลางชานเมือง

หิมะอันเหน็บหนาวทำให้หนาวไปจนถึงกระดูก เสียงแหบๆของหญิงผู้หนึ่งได้ทำให้ค่ำคืนอันเงียบสงบได้หายไป เสียงต่ำและแหบยิ่งร้องก็ยิ่งต่ำ

คราบเลือดแดงสดค่อยไหลลงบนพื้นหิมะ และค่อยๆซึมเข้าไปข้างใน

“เหมือนอยู่ที่นี่” เสียงของชายผู้หนึ่งดังขึ้นอีก

สายตาอันเปล่งประกายได้มองหาเสียงนั้นรอบๆที่มืดแห่งนั้น เสียงหญิงสาวผู้นั้นมันอยู่ไหนกันแน่ เขาพูดขึ้นอย่างเสียงต่ำ “เอาภาพวาดออกมาดูหน่อย”

คนๆนั้นรีบเอาภาพวาดออกมาจากอกของตนเอง และเปรียบกับหญิงผู้นั้น หลังจากนั้นก็พยักหน้า “ไม่ผิด คือนาง เดี๋ยวนางกลับไป”

ม้าสองตัวได้หยุดลงตรงหน้าประตูตำหนักเวินอ๋อง คนเฝ้าประตูได้มาจูงม้าไว้ และกำลังต้อนรับเวินอ๋องกลับตำหนัก

“หมอเทวดา เชิญทางนี้” เวินอ๋องทำมือเชิญ แล้วให้เขาเข้าไป

คนที่ถูกเรียกเป็นหมอเทวดาได้ลูบหนวดตนเองเบาๆ สีหน้าที่ดูชาญฉลาด เขาสวมใส่เสื้อสีเทาที่ทำให้ดูธรรมดา แต่เขาไม่เคยสนใจเรื่องนี้

และหันไปมองเวินอ๋องแล้วพยักหน้า และเดินตามเข้าไป

สามวันนี้ เวินอ๋องหาเขาในเมืองมู้ฉิงมาสามวันเต็มๆ และอธิบายเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง เลยรีบกลับมาที่นี่โดยด่วน

ไม่ทันใดนั้น ฟ้ากลับมืดมนไปแล้ว แต่เพราะเวินอ๋องกังวลเกี่ยวกับอาการของต้วนกุ้ยเฟย เลยไม่ได้สนใจอะไร ทั้งสองขี่ม้าคนละตัวแล้วรีบกลับมา

“ไม่กี่วันนี้ช่างเหนื่อยจริงๆ หมอเทวดา ข้าได้จัดห้องไว้สำหรับท่านแล้ว จะไม่ทำให้ท่านต้องลำบาก” เวินอ๋องพูดไปด้วยและเชิญเขาเข้ามาด้วย

นี่เวินอ๋องพึ่งเข้ามาในตำหนัก เย่เซียวหลัวก็ได้ข่าวแล้ว นางจึงรีบวิ่งไป แค่พึ่งจะกลับมาจากตำหนักหลัก เห็นแค่เวินอ๋องกำลังเดินหักศอกไป

“คนๆนั้นคือใคร?” เย่เซียวหลัวมองไปสักพักและถามขึ้น

ดงกวิ๋นขมวดคิ้วขึ้นเบาๆ “ได้ข่าวว่าไม่กี่วันนี้เวินอ๋องไปถีงมู้เฉิงไปเชิญท่านหมอเทวดานี่มาเพื่อรักษาต้วนกุ้ยเฟย เมื่อกี้ท่านนั้นน่าจะใช่”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก