ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 365

ตอนที่ 365 เหตุใดต้องมีตัวแทน

เวินอ๋องขังตนเองอยู่ในห้องหนังสืหลายวัน ไม่แม้แต่จะออกมา

ตำหนักเวินอ๋องเงียบสงัด เรือนต่างๆที่เคยมีเสียงหัวเราะ ทะเลาะกันล้วนเงียบสงบ แม้แต่เรือนวี่หยวนเอง เขาก็ไม่แม้แต่จะก้าวเข้ามา

โล่หวินหลานมองไปยังประตูที่ไม่ถูกเปิดมาแสนนาน แล้วรู้สึกปวดใจเล็กน้อย

หรือท่านอ๋องจะรู้สึกผิดที่ตนเองนั้นกรีดหน้าเย่เซียวหลัว รู้สึกผิดที่ขับไล่นางออกไป แต่เขาก็ไม่อาจวางศักดิ์ศรีของตนลงได้ จึงเอาแต่ขังตนเองไว้ในห้องหนังสือ เพื่อใช้ความคิด?

โล่หวินหลานคิดพลาง เดินไปยังห้องหนังสือ

นางเปิดประตูเข้าไปโดยไม่มีเสียง ด้านในห้องเคล้าไปด้วยกลิ่นของสุรา ในมือของเวินอ๋องนั้นมีสุราเหยือหนึ่ง ดวงตาของเขาแดงก่ำแล้วมองภาพวาดในมือ แต่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนเปิดประตูเข้ามา

ที่แท้เขาก็ขังตัวเองในห้องนี้เพื่อดื่มสุรานี่เอง โล่หวินหลานมองเขาด้วยสายตาเย็นชาเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆเดินเข้าไปหาเขา พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนในภาพวาด

นางยืนนิ่ง แล้วจดจ้องไปยังภาพวาดในมือเขา

ที่มีน้ำจากสุราหยดหย้อยจนเปื้อนเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วเป็นปม เวินอ๋องรักเหยือกสุรานี้ในมือของเขามาก

หรือเพราะความโมโห เขากลับ "เพร้ง" เหยือกสุราในมือถูกเขาโยนทิ้งจนแตก จากนั้นสองมือของเขาก็รีบเช็ดไปยังภาพวาดนั่น

"เจ้าเห็นทุกอย่างแล้ว เจ้ารู้ไหมว่านางเป็นใคร?" เวินอ๋องถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

น้ำตาของโล่หวินหลานคลอเบ้า คนในภาพนั้น ก็คือนาง

ไม่ ต้องบอกว่าคือโล่หวินหลานต่างหาก เพราะโล่หวินหลานตายไปเมื่อหนึ่งปีที่แล้วแล้ว

เวินอ๋อง....ทะนุถนอมภาพวาดนี้ราวกับเป็นของล้ำค่า......

"ไม่ ไม่ทราบเพคะ....." โล่หวินหลานพูดเสียงสั่น

ตอนนี้ จู่ๆเวินอ๋องก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “เจ้าต้องไม่รู้อยู่แล้วสิ เรื่องระหว่างข้ากับนางไม่มีใครรู้ หรือแม้แต่ตัวข้าเอง ก็ยังไม่รู้เลย......"

เขาทั้งโหยหา ทั้งโกรธเคือง ที่ไม่สามารถเช็ดคราบน้ำบนภาพวาดได้ ดวงตาของเขาจ้องไปยังภาพวาด แล้วขมวดคิ้วเป็นปม

"นางชื่อโล่หวินหลาน เป็นพระชายาของหมิงอ๋อง" เขากล่าวนิ่งๆ

หลายวันมานี้ เขาขังตัวเองอยู่ในห้องหนังสือ ก็เพราะภาพวาดตรงหน้า ที่แท้ในใจของเขาก็มีเพียงโล่หวินหลานเท่านั้น ที่เขาไม่เคยลืมเลือน

เขาเงยหน้าขึ้นมองโล่หวินหลาน นึกว่านางจะถูกตนเองทำให้ตกใจเสียแล้ว

"การที่ข้าไปหลงรักชายาของพี่ชาย ทำให้เจ้าตกใจหรือไม่?" เวินอ๋องหัวเราะขึ้นมา เสียงหัวเราะของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความเศร้าโศก

โล่หวินหลานนิ่งไป นางพูดไม่ออก

"เจ้าช่างเหมือนนางเหลือเกิน ถึงแม้ว่าหน้าตาของเจ้ากับนางจะแตกต่างกัน แต่ว่าในตัวของเจ้ามีเงาของนางซ่อนอยู่ โดยเฉพาะ.....ยามที่เจ้ายิ้ม เจ้าเหมือนนางมาก มิเช่นนั้นข้าคงไม่อภิเษกกับเจ้าหรอก" เวินอ๋องกล่าวร่ายยาว คำพูดของเขานั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา

โล่หวินหลานพูดขึ้นโดยไม่อาจรู้ได้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด “จริงหรือเพคะ?"

เมื่อคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา โล่หวินหลานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ นางทะลุมิติมานานขนาดนี้ มีเพียงเรื่องวันนี้ทีทำให้นางรู้สึกอึ้งได้ขนาดนี้

"ข้าต้องขอบใจเจ้ามาก หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคงไม่มีวันรู้ว่านางตายได้อย่างไร และไม่มีวันรู้ว่าหญิงที่ข้าเลือกมาเป็นชายานั้น จะเป็นฆาตกรฆ่าคน" เวินอ๋องหัวเราะในลำคอ จากนั้นก็ดื่มสุราเข้าไป

มองดูนางแล้ว เวินอ๋องรู้สึกผิดเล็กน้อย ถึงแม้ว่าตอนนี้พิษสุราจะทำให้เขามึนเมา แต่เขาก็ไม่เคยทำสิ่งใดที่ผิดต่อโล่หวินหลาน

"ท่านดื่มมากเกินไปแล้วเพคะ รีบไปพักผ่อนเถอะ" โล่หวินหลานกล่าว จากนั้นก็ให้บ่าวในตำหนักมาพาตัวเขาไปพัก

เวินอ๋องจับที่ภาพวาดแน่น แล้วมองดูแผ่นหลังของโล่หวินหลานที่เดินออกไป ทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้น “เจ้าเกลียดข้าไหม?"

"เกลียดท่านเรื่องใด?" โล่หวินหลานหยุดฝีเท้า แล้วพูดขึ้นโดยไม่ได้หันกลับมา

"เกลียดที่ข้ามองเจ้าเป็นเพียงตัวแทนของนาง ข้าไม่ได้อภิเษกกับเจ้าด้วยใจจริง หากเจ้าจะเกลียดข้า เจ้าก็เกลียดไปเถอะ" เวินอ๋องพูดเสียงเบา แต่หนักแน่น

ตัวแทน? ใครกันแน่ที่เป็นตัวแทนของใคร?

โล่หวินหลานรู้สึกเจ็บแปล๊บที่ใจ คนที่ควรเกลียดไม่ใช่นาง แต่เป็นเขา

หากวันข้างหน้าเขารู้ความจริงเข้า รู้ว่าสาเหตุที่นางแต่งเข้ามายังตำหนักเวินอ๋องนี้เพื่ออะไร เขาต่างหากที่ควรจะเป็นคนเกลียดนางไม่ใช่หรือ?

โล่หวินหลานสูดลมหายใจเข้า แล้วส่ายหน้า “หม่อมข้าไม่เกลียดท่านหรอก หม่อมข้าพูดตามความจริงนะเพคะ"

นางหันหลัง แล้วออกไป

การก้าวเท้าเดินไปในครั้งนี้ช่างยากลำบาก

นางจับไปที่เสาด้านนอก ลมในฤดูหนาวพัดผ่าน แต่นางกลับรู้สึกด้านชา

ไซ่เย่วมองเห็นนาง ก็รีบนำร่มมากางให้

"องค์หญิง ท่านเป็นอะไรไปเพคะ? ท่านอ๋องทำอะไรองค์หญิงรึเปล่าเพคะ?" ไซ่เยว่มองดูโล่หวินหลานที่ตอนนี้ดูอิดโรย จึงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

ถามไปนานชั่วครู่ กว่านางจะหันกลับมา แล้วส่ายหน้าไปมา

"ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร ข้าอยากอยู่คนเดียว" นางสะบัดมือของไซ่เยว่ทิ้ง จากนั้นก็เดินไปอีกทาง

มองดูแผ่นหลังของนางที่เดินจากไป ไซ่เยว่ไม่รู้ว่าตนเองควรเดินตามไปหรือไม่ นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็ไม่เห็นโล่หวินหลานแล้ว

ไม่อาจรับรู้ได้ว่าเมื่อครู่นางคุยสิ่งใดกับเวินอ๋อง ไซ่เยว่ไม่เคยเห็นนางเป็นเช่นนี้มาก่อน

นางไม่รู้ว่าควรรายงานเรื่องนี้ให้ท่านอ๋องหรือไม่ ไซ่เยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ให้นกพิราบคาบสารไปให้โม่ฉีหมิง เพื่อบอกเรื่องนี้กับเขา

ทางด้านตำหนักหมิงอ๋องนั้น เงียบสงบ และเสียงของร่างบางที่แอบเดินกลับเข้ามานั้น ก็มาทำลายความเงียบ

เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร นางก็โล่งใจ แล้วรีบก้าวเท้าเดิน

เพียงแต่ ตอนที่นางเดินไปตรงหัวมุมนั้น ก็ชนเข้ากับใครบางคนในชุดสีเขียวอ่อน คนผู้นั้นทำสีหน้าเรียบเฉย เห็นเพียงความเย็นชาจากดวงตาคู่นั้น

"หมิงซี เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร ข้าตกใจหมดเลย!ไม่มีใครรู้ใช่ไหมว่าเจ้ามาที่นี่?" อาลั่วหลันถามขึ้นแล้วมองไปทั้งสี่ทิศ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนนางจึงโล่งใจ

หมิงซีโมโหเล็กน้อย “เจ้าแอบหนีออกมาจากตำหนักอีกแล้วหรือ? เหตุใดไม่ฟังคำสั่งของหมิงอ๋อง?"

เมื่อได้ยินหมิงซีพูดเสียงดัง อาลั่วหลันก็รีบเอามือปิดปากเขาเอาไว้ แล้วทำหน้าทำตาให้เขา จนเขาเงียบลงนางจึงคลายมือออก

"เจ้าจะร้องเสียงดังทำไม? เดี๋ยวคนของหมิงอ๋องได้ยินแล้วมาเราจะซวยกันหมด วันนี้ตอนเช้าข้าออกไปทำเรื่องสำคัญ ไม่ได้ออกไปเที่ยว" พูดจบนางก็ยื่นกระดาษสีทองเคลือบน้ำมันให้เขา

"นี่คือขนมที่เจ้าชอบกิน ข้าตั้งใจไปซื้อถึงร้านไกล เดินจนเท้าของข้าอ่อนไปหมด"

อาลั่วหลันทั้งยิ้มทั้งขมวดคิ้ว โม่ฉีหมิงไม่ให้นางออกจากตำหนักก็เพื่อความปลอดภัยของนาง แต่นางก็ยังอยู่ไม่นิ่งมักจะชอบหนีออกไป นิสัยขี้เล่นของนางนั้นแก้ไม่ได้จริง......

"ครั้งหน้าอย่าได้หนีออกไปเช่นนี้อีก เสี่ยวฮัวจะเป็นห่วงได้" หมิงซีบอกด้วยสีหน้าเข้มขรึม

แต่เขาก็ไม่ได้โกรธ อาลั่วหลันจับที่บ่าของเขา อย่างดีใจ

ทันใดนั้นเอง ก็คล้ายกับคิดบางอย่างขึ้นได้ “วันนี้ที่ตลาดข้าพบกับหญิงผู้หนึ่ง นางถูกกรีดที่ใบหน้า ถึงแม้ว่านางจะมีผ้าคลุมเอาไว้ แต่ข้าก็เห็นอยู่ดี ไม่รู้ว่าใครกันที่ช่างใจร้าย ถึงขนาดทำเช่นนี้กับนางได้ หากทำเช่นนี้กับข้า ข้าจะฉีกเนื้อเขาเป็นชิ้น......"

หมิงซีขมวดคิ้วมองหน้านาง เขาไม่ทันพูดสิ่งใด ก็มีเสียงของใครบางคนดังขึ้น “เจ้าแอบหนีออกจากตำหนักอีกแล้วหรือ?"

อาลั่วหลันตกใจ จากนั้นก็รีบเอาถุงขนมในมือยัดใส่มือของหมิงซี แล้วรีบส่ายหน้า

นางไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน สิ่งเดียวที่นางกลัวก็คือโม่ฉีหมิง เพราะเขามีดวงตาที่เย็นชา จนไม่กล้าแม้แต่จะสบตา

"ท่านอ๋อง ข้าได้บอกกับอาลั่วหลันแล้ว คราวหน้าก่อนที่จะออกจากตำหนัก จะมีเรียนให้ท่านอ๋องทราบทุกเมื่อ" หมิงซีแก้ตัวแทนนาง

โม่ฉีหมิงพยักหน้าเข้าใจ เขาไม่ได้ถามไถ่เรื่องนี้ต่อ แต่เขากลับให้ความสนใจในสิ่งที่อาลั่วหลันพูดมากกว่า

"หญิงสาวที่เจ้าเห็นที่ตลาดนั้น ไปที่ใดแล้ว?" โม่ฉีหมิงถามอาลั่วหลัน

อาลั่วหลันแปลกใจ เขาไม่คิดเลยว่าหมิงอ๋องจะถามเรื่องของชาวตำหนักเช่นนี้ นางจึงเล่าเรื่องที่พูดเมื่อครู่ใหม่อีกรอบ

"ตอนที่หม่อมข้าวิ่งตามนางไป เพื่อที่จะถามว่าเพราะเหตุใดใบหน้าของนางจึงเป็นเช่นนี้ แต่นางกลับสะบัดมือของหม่อมข้าทิ้ง แล้วผลักหม่อมข้าทิ้ง ตอนที่หม่อมข้าลุกขึ้นเพื่อที่จะวิ่งตามไป นางก็ขึ้นไปบนรถม้า รถม้านั้นก็ดูเป็นของขุนนางชั้นสูง จึงเดาว่าคงเป็นของญาติที่มีเงินทองแน่นอน......"

โม่ฉีหมิง “รถม้าวิ่งไปทางใด?"

อาลั่วหลันชี้มือ แล้วพูดต่อ “ปกติหม่อมข้าก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหน ครั้งนี้ไม่หลงทางก็นับว่าดีแล้วเพคะ จะให้หม่อมข้าจำได้อย่างไร......."

เสียงของนางที่พูดนั้นมีเพียงหมิงซีที่ยืนอยู่ข้างๆเท่านั้นที่ได้ยิน โม่ฉีหมิงขมวดคิ้ว แล้วถามอีกครั้ง “วิ่งไปทางใด?"

"หม่อมข้าไม่รู้เส้นทาง รู้เพียงแค่ว่าไปทางทิศใต้" อาลั่วหลันพูดเสียงดัง

ทิศใต้? โม่ฉีหมิงครุ่นคิด ทางไปวังหลวง!

ณ ขณะนั้น ก็มีนกพิราบส่งสารบินมา แล้วมาหยุดบนไหล่ของอาลั่วหลัน จากนั้นก็ค่อยๆเคลื่อนตัวไปยังมือของนาง

นี่คือนกพิราบของโล่หวินหลาน คงมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นแน่ๆ

"เอามาให้ข้า" โม่ฉีหมิงกล่าวเสียงเรียบ

อาลั่วหลันอยากที่จะปฏิเสธ แต่อย่างไรเสียนางก็ต้องส่งสารนี่ให้เขา จึงหยิบให้โม่ฉีหมิงไป

เป็นไปตามที่คิด เมื่อเขาอ่านสารในมือจบ ก็ขมวดคิ้ว แล้วหมุนตัวกลับไป

ไม่มีใครรู้ว่าบนจดหมายนั้นเขียนว่าสิ่งใดบ้าง แต่สิ่งเดียวที่รู้คือต้องเกี่ยวข้องกับเสี่ยวฮัวแน่ เพราะอ่านจบโม่ฉีหมิงก็เดินจากไปทันที?

อาลั่วหลันจับที่คางของตนเอง แล้วมองไปทางที่เขาไป จากนั้นก็พึมพำ “นี่ก็เรียกได้ว่าเป็นคนที่กำลังตกหลุมรัก......."

เมื่อได้ยินนางพูดพึมพำ หมิงซีก็ก้มหน้ามองนาง อาลั่วหลันเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของเขา จึงรีบหยิบขนมที่ซื้อมายัดใส่ปากของเขา

กลิ่นของขนมนั้นหอมกรุ่นในปาก

เมื่อออกจากตำหนัก โล่หวินหลานก็วิ่งไปที่ตลอด ที่เต็มไปด้วยเสียงของพ่อค้าแม่ค้าเรียกขายของ นางที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน รู้สึกเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก

บนท้องตลาด เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย นางอยากจะหาที่สงบๆอยู่ครู่หนึ่ง

นางเดินไปตามท้องตลาด แล้วผ่านสะพานเล็กๆ นางจึงรู้ว่าไม่ว่านางจะเดินไปที่ใด ก็ยังคงไม่อาจหยุดความคิดในใจได้

นางเดินไปมาก็มาถึงหน้าตำหนักหมิงอ๋อง จากนั้นก็คลายยิ้ม ผู้คนเดินไปมา ราวกับมีของสำคัญที่ต้องคลื่นย้าย

โม่ฉีหมิงนิ่งไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นนาง จากนั้นก็รีบโผเข้ากอด

โล่หวินหลานยิ้ม นางไม่สามารถสนใจสายตาของผู้อื่นแล้ว นางจึงโผเข้ากอดเขา

"คนดี" โม่ฉีหมิงโอบกอดนาง แล้วพูดด้วยเสียงอบอุ่น ทำให้นางรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก