ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 382

ตอนที่ 382 เสียใจ

ในวังหลวงก็ไม่สงบ ตำหนักของเย่ฮองเฮาก็ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีใครเข้าไป แม้แต่ฮ่องเต้เจียเฉิงเองก็ไม่ไปวังหลังเลย

นางกำนัลเก็บดอกพลัมสีแดงเข้ามา เย่ฮองเฮาตัดกิ่งของดอกพลัม เพื่อทำให้มันเป็นรูปเป็นขึ้นมา ทำให้กิ่งก้านใบมันดูเป็นระเบียบเรียบร้อยขนาดนี้

“ช่วงนี้ฝ่าบาทกำลังทำอะไรอยู่?” เย่ฮองเฮาก้มหน้าตัดแต่ง

นางกำนัลเป็นสายสืบให้กับนาง เห็นนางถาม ก็เลยรีบตอบ “ทูลฮองเฮา วันนี้ฝ่าบาทตรวจฎีกาอยู่ในห้องอักษรตลอดทั้งวันเลยเพคะ ไม่ได้ไปไหนเลย”

ตรวจฎีกา? มีฎีกามากขนาดไหนกันเชียวถึงได้ต้องตรวจกันทุกวัน หรือว่าไม่รู้ว่าวังหลังควรจะได้น้ำชะโลมใจด้วย

เพียงตานางไม่มีสิทธิ์สั่งแล้ว นอกจากตำแหน่งในนามของนางแล้ว ในความเป็นจริง นางทำอะไรไม่ได้เลย

“ช่างเถอะ เจ้าไปตามรัชทายาทเข้าวังที ข้าไม่เจอหน้ารัชทายาทนานมากแล้ว ข้ามีเรื่องอยากจะถามเขาสักหน่อย” เย่ฮองเฮายิ้มแล้วพูดว่า

เด็กคนนี้ ปกติก็ไม่ค่อยได้เจอตัว ช่วงนี้ก็ไม่รู้ทำอะไรอยู่ ไม่ได้มาถวายพระพรหลายวันแล้ว

ได้ยินมาว่าจวนเวินอ๋องถูกศัตรูบุกมาแก้แค้น ฮ่องเต้สั่งให้รัชทายาทไปตรวจสอบ แล้วทำไมเรื่องของอ๋องหลัวถึงได้เงียบไปแล้วล่ะ?

เย่ฮองเฮาคิดไม่ตก ก็เลยให้คนไปเชิญรัชทายาทมา

เมื่อเข้ามายังวังหลวงที่คุ้นเคย เย่ฮองเฮากำลังตัดกิ่งไม้อยู่ ดอกพลัมสีแดงงดงามมาก ทำให้สีหน้าที่ซีดเซียวของเย่ฮองเฮานั้นดูมีเลือดฝาดขึ้นมา

“ถวายพระพรเสด็จแม่” รัชทายาทคำนับ

“ลุกขึ้นเถอะ มานั่งนี่มา” เย่ฮองเฮากวักมือเรียกเขามา แล้วหันไปพูดกับนางกำนัลว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับรัชทายาท อย่าให้ใครเข้ามากวนล่ะ”

นางกำลนัลรีบออกไป ภายในห้องเงียบและอุ่น เย่ฮองเฮาถามด้วยความร้อนใจว่า “ลูกแม่ ช่วงนี้เจ้าเป็นอะไรไป? เราลงทุนทำอะไรไปตั้งมากมาย ทำไมเจ้าถึงได้ไปออกหน้าแบบนั้นอีกล่ะ? บอกให้เจ้าแกล้งป่วยอยู่ในจวนแล้วไม่ใช่หรอ?”

“เสด็จแม่ ลูกก็อยู่ในจวนตลอด แต่ว่าหลายวันก่อนเวินอ๋องกลับหันกลับมาลงมือกับลูก บีบให้ลูกต้องไปที่หน้าผา เขาวางแผนคิดที่จะสังหารลูก ต่อมาหมิงอ๋องได้ช่วยชีวิตลูกเอาไว้”

รัชทายาทปิดเรื่องจิ่นซื่อเอาไว้ ไม่ได้เล่าให้ฟังทั้งหมด

หากเย่ฮองเฮารู้ว่าเขายังไปมาหาสู่กับจิ่นซื่อ จะต้องขัดขวางไม่ให้เขาไปตามหาจิ่นซื่อแน่นอน จิ่นซื่อโดดหน้าผาเพื่อเขา เขาจะทิ้งนางไม่ได้เด็ดขาด

“อะไรนะ?” เย่ฮองเฮาตาโต ท่าทีของนางดูตกใจมาก นางลุกขึ้นมา “เวินอ๋องบังอาจมากไปแล้วนะ กล้าลงมือกับเจ้าเชียวหรอ? แต่ว่าหมิงอ๋องทำไมถึงได้มาช่วยเจ้าได้ล่ะ?”

นางกับโม่ฉีหมิงอยู่กันคนละโลก รัชาทายาทเองก็ไม่ได้ค่อยไปมาหาสู่กับเขาเท่าไหร่ แล้วทำไมเขาถึงได้ออกหน้าช่วยล่ะ?

รัชทายาทจ้องไปที่เย่ฮองเฮาด้วยความสงสัย เขาหยุดไป แล้วถามว่า “เสด็จแม่ หลังจากที่โม่ฉีหมิงช่วยลูกไว้แล้ว เขาได้บอกความจริงกับลูกเรื่องหนึ่ง ลูกคิดว่าเสด็จแม่น่าจะรู้เรื่องนี้ดี”

เรื่องในตอนนั้น? เย่ฮองเฮายิ้มแห้ง หรือว่าจะเป็นเรื่องที่นางวางเพลิงในตอนนั้น

ในเมื่อทุกคนก็รู้อยู่แล้ว แล้วจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกทำไมกัน?

“ข้าอยากจะรู้นักว่าเขาพูดอะไรบ้าง” เย่ฮองเฮายิ้มฝืนๆ

เห็นสายตาของเย่ฮองเฮาเหมือนไม่ค่อยพอใจ รัชทายาทเหมือนไม่รู้ว่าเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวในตอนนั้น นางเคยเสียใจกับมันบ้างหรือเปล่า?

รัชทายาทเริ่มเล่าอย่างละเอียดให้เย่ฮองเฮาฟัง สายตาของเขาจับจ้องไปที่นาง เห็นนางเริ่มมีท่าทีที่เปลี่ยนไป

เย่ฮองเฮากำเสื้อของตัวเองไว้แน่น รอยยิ้มของนางมันหายไปแล้ว หลังจากฟังเรื่องเล่าจากรัชทายาทแล้ว นางถึงได้รู้ตัวขึ้นมาว่านางได้ทำอะไรลงไปบ้าง

เรื่องเลวร้ายที่ทำไปพวกนี้ ล้วนแต่เป็นเพราะนางเชื่อสนมต้วนกุ้ยเฟยตอนนั้นหรอ?

นางค่อยๆจับไปที่หน้าอกของตัวเอง หัวของนางปวดจนแทบระเบิด

มือข้างที่วางที่โต๊ะปัดแจกันดอกพลัมจนหล่นพื้นดัง “เพล้ง”

รัชทายาทเห็นนางสติหลุดไปแล้ว ก็รีบไปพยุงนางเอาไว้ นางได้ยินเสียงคนเรียกว่า “เสด็จแม่ ท่านเป็นยังไงบ้าง? ใครก็ได้ ใครก็ได้มานี่ที”

เย่ฮองเฮาจับมือของรัชทายาทเอาไว้ เล็บของนางจิกเข้าไปในเนื้อของเขา ใบหน้ากับปากที่ซีดเซียวเหมือนนางอยากจะพูดอะไร แต่ก็พูดไม่ออก

ชั่ววินาทีตรงนั้น นางก็สลบไป

หมอหลวงเข้ามาตรวจอาการให้ แล้วพูดกับรัชทายาทว่า “ฮองเฮามีอาการปวดพระเศียรเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อีกทั้งมีเรื่องกังวลพระทัยมากเกินไป นอนหลับไม่สนิท ทำให้ร่างกายอ่อนแอ กระหม่อมจะไปจัดยามาให้ เสวยพักผ่อนสักสองสามวันก็จะดีขึ้น”

รัชทายาทถึงได้เบาใจ มองเห็นเย่ฮองเฮาสีหน้าซีดเซียว ในใจของเขารู้ดีว่านางกังวลเรื่องอะไร

คงเป็นเพราะเรื่องของอ๋องหลัว แต่ว่าต่อให้เป็นอย่างนั้น ก็ไม่ได้ทำให้โรคปวดหัวของนางกำเริบแบบนี้หรอกมั้ง

“หมอหลวง เสด็จแม่เป็นโรคปวดพระเศียรตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” รัชทายาทเริ่มถาม

หมอหลวงตอบว่า “โรคปวดหัวของฮองเฮาไม่ได้หนักมาก เพียงแต่จะกำเริบบ่อยๆ แต่ว่าต้องระวังควบคุมให้ดี จะให้มีอะไรกระตุ้นมากไม่ได้พะยะค่ะ”

สีหน้าของรัชทายาทแย่มากตอนนี้ หมอหลวงหลีเป็นหมอหลวงประจำตัวของเย่ฮองเฮา แต่ว่ากลับไม่ยอมพูดความจริง?

“ที่ข้าต้องการจะถามคือ ทำไมเสด็จแม่ถึงได้เป็นโรคนี้? แล้วเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่?” รัชทายาทถามด้วยความโกรธ

หมอหลวงลังเล

ขณะที่รัชทายาทกำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมา นางกำนัลข้างๆก็พูดขึ้นมาว่า “ทูลรัชทายาท หม่อมฉันเป็นผู้ถวายงานดูแลฮองเฮาเพคะ พระนางเป็นโรคนี้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในตำหนักเย็นเพคะ ตอนนั้นหมอหลวงปล่อยผ่านไม่ได้ใส่ใจมาก ทำให้พระอาการของพระนางถึงได้หนักขึ้น”

ที่แท้ก็เป็นตั้งแต่ตำหนักเย็น รัชทายาทกำมือไว้แน่น

“ตอนที่เสด็จแม่อยู่ที่ตำหนักเย็น ใครเป็นคนดูแล?” น้ำเสียงของรัชทายาทดุ น้ำเสียงของเขาไม่มีเยื่อใย

“เป็น เป็น ......” นางกำนัลพูดยังไม่ทันจบ ก็มีเสียงอ่อนแรงดังมาจากที่เตียง

“ข้าไม่เป็นอะไร ร่างกายของข้ายังไหว” เย่ฮองเฮาลุกขึ้นมานั่ง

ร่างกายของนางอ่อนแอแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมถึงได้ถูกกระตุ้นจนเป็นล้มไป?

เมื่อกี้ยังคุยไม่จบ นางยังอยากรู้เรื่องราวหลังจากนั้นอีก ถึงจะได้รู้ว่าต้องรับมือกับต้วนกุ้ยเฟยยังไง

ปล่อยให้นางทำอะไรตามใจนานมากเกินไปแล้ว ต้องหาเรื่องให้นางรับผลกรรมที่นางทำมา

“พวกเจ้าออกไปให้หมด” เย่ฮองเฮาสีหน้าซีด ไม่มีเลือดฝาดเลย

“เสด็จแม่ ร่างกายของท่านยังไหวหรือเปล่า?” รัชทายาทเดินหน้าขึ้นไปหา แล้วพยุงเย่ฮองเฮาเอาไว้

นางโบกมือ “แม่ไม่เป็นไร ตอนนี้เจ้าคิดจะร่วมมือกับหมิงอ๋องรับมือกับต้วนกุ้ยเฟยกับเวินอ๋องอย่างนั้นใช่ไหม?”

รัชทายาทรู้ดีว่าคงปิดนางไม่ได้แน่ เขาพยักหน้า “ใช่ ดังนั้นตอนที่ตรวจสอบเรื่องนี้ เราจะเอาเรื่องเก่าในตอนนั้นมาพูดด้วย ดังนั้นมันก็จะเกี่ยวข้องกับเสด็จแม่ หากถึงเวลานั้นเกิดอะไรขึ้นมา ลูกจะรับผิดชอบเอง”

เขาจะไม่ทำให้เย่ฮองเฮาต้องเข้าตำหนักเย็นเพราะเรื่องนี้อีกแน่นอน ตอนนั้นเพราะเขา นางถึงต้องมารับเคราห์แบบนี้

“ลูกรัก แม่ทำทุกอย่างเพื่อเจ้านะ ขอแค่เจ้าปลอดภัย แม่ก็พอใจแล้ว” เย่ฮองเฮายิ้ม

ความคาดหวังของนางอยู่ที่รัชทายาททั้งหมด หากวันนี้นางต้องเลือก นางก็ไม่ลังเลเลยที่จะเลือกสละตัวเอง

คนอย่างโม่ฉีหมิง ความคิดคาดเดาไม่ได้ การจะรับมือหรือทำอะไรกับเขา มันไม่ง่ายเลย

เมื่อถึงเวลาที่จำเป็น นางก็จะคิดทุกวิถีทางกำจัดขวากหนามรอบตัวของรัชทายาท

ขอแค่รัชทายาทสามารถขึ้นครองราชย์ได้อย่างราบรื่น ต่อให้นางต้องตาย นางก็ยินดี

ณ ห้องหนังสือในตำหนักหมิงอ๋แง

ภายในห้องหนังสือเงียบสงบ มีเพียงเสียงพู่กันสัมผัสกระดาษเท่านั้นที่ดังอยู่ โล่หวินหลานก้มหน้าเขียนอะไรอยู่

หลังจากเกิดเรื่อง นางก็เริ่มว่าง ตอนนี้พอมีเวลาเหลือ ก็เลยนั่งเขียนจดหมายให้กับชิวโม่ไป๋

จู่ๆนางก็หยุด ไม่รู้ว่านางนึกอะไรออก นางหันไปหยิบอะไรบางอย่างที่ชั้นวางหนังสือ

จำได้ว่าแต่ก่อนตอนที่อยู่ที่ตำหนักหมิงอ๋แง นางวางจดหมายเอาไว้ที่ชั้นวางหนังสือฉบับหนึ่ง เป็นจดหมายของแม่นาง ตอนนั้นนางเอาออกมาจากจวนโล่ด้วย

แต่ว่า ทำไมตอนนี้มันหายไปแล้วล่ะ?

“มันอยู่ไหนนะ?” โล่หวินหลานบ่น

นางเขย่งตัวไปคลำ แต่คลำยังไงก็หาไม่เจอ

ช่างเถอะ เหยียบขึ้นไปหาดีกว่า

โล่หวินหลานเหยียบไปบนเก้าอี้ คลำไปจนชั้นสูงสุดก็หาจดหมายไม่เจอ หรือว่านางจะจำผิด?

นางไม่ได้เอาจดหมายนั่นมาจากจวนโล่หรอ? หรือว่าหายไประหว่างทาง? หรือว่าเอาออกมาแล้ว ไม่ได้วางไว้บนชั้น?

นางคลำจนสุดท้ายก็ไม่เจอ กำลังคิดจะหันตัวกลับมา แต่ว่านางกลับเหยียบเจออากาศ ทำให้ล้มลงมาจากเก้าอี้

แต่ว่า มันไม่เจ็บ เหมือนมีมือใหญ่โอบเอวนางเอาไว้แล้วกอดนางไว้แน่น

โล่หวินหลานถึงกับโล่ง นางมองไปที่โม่ฉีหมิง คิดไม่ถึงว่าทุกครั้งที่นางเจออันตราย คนแรกที่นางจะเห็น จะเป็นเขา

“ทำไมถึงไม่ระวังเลย?” โม่ฉีหมองเหมือนจะร้อนใจกว่านางอีก เขาค่อยๆปล่อยนางลง

โล่หวินหลานยิ้ม “กำลังหาของอยู่ แต่ว่าหาไม่เจอ”

“หาจดหมาย่อยู่หรอ?” โม่ฉีหมิงเหมือนจะรู้ เขาถาม

“เจ้ารู้หรอ? เจ้าเคยเห็นมันหรอ?” โล่หวินหลานขมวดคิ้วแล้วถามกลับ

“อยู่ที่ข้า ตอนแรกที่ข้าเห็นมัน ยังคิดอยู่เลยว่าคนของจวนโล่จะมาแย่งไป เลยแอบเอาไว้ในลิ้นชัก เจ้าจะเอามันไปทำอะไร?” โม่ฉีหมิงจับมือนางเอาไว้ แล้วเดินไปที่เก้าอี้

ทำไมคนของจวนโล่ต้องมาแย่งของนี่ด้วยล่ะ?

“ตั้งแต่ลงจากหุบเขามา ยังไม่เคยเขียนจดหมายหาท่านตาเลย ก็เลยอยากเขียนจดหมายหาท่านบ้าง แล้วก็อยากจะแนบจดหมายอของท่านแม่กลับไปให้ท่านด้วย”

โม่ฉีหมิงพยักหน้า ที่แท้ไม่มีอะไร ตอนที่เอาจดหมายนั่นกลับมา ตอนนั้นเขาก็รู้แล้วว่าโล่หวินหลานยังมีท่านตาอยู่อีกคนหนึ่ง

เขารู้ที่อยู่ของชิวโม่ไป๋แล้ว เพียงแต่ไม่ได้บอกนางแค่นั้น

เขาไม่ได้รู้สึกปลอดภัยเท่าไหร่ เขากังวลว่าหากบอกเรื่องนี้กับนางไป นางจะเลือกไปตามหาชิวโม่ไป๋ แล้วลืมเขาไป ......

“ข้าไปหยิบให้เจ้าเอง” โม่ฉีหมิงลุกแล้วเดินไปที่โต๊ะหนังสือ

เขาในตอนนี้ ไม่ได้กังวลเรื่องนั้นอีกแล้ว

โล่หวินหลานได้เจอครอบครัวของนางแล้ว อีกทั้งยังเลือกที่จะกลับมาเมืองหลวง ในใจเขารู้แล้วว่า สำหรับนางแล้ว เขาคือครอบครัวที่สำคัญที่สุด

เมื่อเห็นซองจดหมายที่เก่าจนเริ่มเหลือง โล่หวินหลานก็ยิ้ม แล้วจัดมันเข้าไว้ด้วยกัน

เห็นนางม้วนจดหมาย โม่ฉีหมิงถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้าไม่คิดจะอ่านเลยหรอ?”

“ข้าเคยอ่านแล้ว” โล่หวินหลานตอบ

เคยอ่านแล้ว? งั้นแสดงว่านางก็รู้อยู่แล้วว่านางยังมีญาติบนโลกนี้อีกคนสินะ?

แล้วทำไมนางถึงยังได้นิ่งไม่ออกไปตามหาล่ะ?

“ที่จริง ข้ารู้มาตลอดว่าท่านตายังมีชีวิตอยู่ คิดไม่ถึงเลยว่าเขายังช่วยชีวิตข้าไว้อีกด้วย มันอาจจะเป็นวาสนาก็ได้” โล่หวินหลานม้วนจดหมายไปแล้วพูด

“แล้วทำไมเจ้าถึง ......” โม่ฉีหมิงขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ถามต่อไปอีก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก