ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 390

ตอนที่ 390 เกล็ดหิมะในหิมะ

เขากอดนางไว้ในอ้อมแขน โม่ฉีหมิงรู้สึกว่าเขาอุ่นใจขึ้นมาก

เมื่อกี้เขาถูกปฏิเสธเขาไม่พอใจมาก แต่ว่าในตอนนี้มันหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงลมหายใจของทั้งคู่

เขานอนมองหน้าตอนหลับของโล่หวินหลาน เขามองเหมือนมองเท่าไหร่ก็ไม่พอ แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาที่ใบหน้าของนาง ใบหน้าของนางงดงามมาก

“ไม่ใช่ ...... เฮ้ กลับมา ......” เสียงแปลกๆดังขึ้นมา โล่หวินหลานพลิกตัวกลับมา

โม่ฉีหมิงฟัง กลับฟังไม่รู้เรื่องว่านางกำลังพูดอะไรอยู่

นอนไม่สนิท? หรือว่าฝันอยู่?

เขาโอบตัวนางเอาไว้ แล้วพลิกตัวนางกลับมา

เพียงแค่ก้มหน้า ก็จะเห็นใบหน้าตอนนอนของนางชัดเจน

“เป็นอะไรไป?” เขาถาม

นางไม่ได้ตอบ ยังคงนอนของนางไป แต่ว่ามือของนางโอบไปที่เอวของโม่ฉีหมิง หัวซุกไปที่หน้าอกของเขาแล้วหลับไปอย่างสบาย

เย่ฮองเฮาอยู่ว่างๆไปหลายวัน ในตอนนี้นางหลับอยู่บนเตียงอย่างสบายใจและสงบ

รัชทายาทเดินเข้ามาในตำหนัก แล้วสั่งให้นางกำนัลออกไปให้หมด

“เสด็จแม่ ช่วงนี้ท่านดูสบายดีนะพะยะค่ะ?” รัชทายาทนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้าง แล้วมองไปที่เย่ฮองเฮาที่เพิ่งลืมตาขึ้นมา

ช่วงนี้ต้วนกุ้ยเฟยถูกลดทอนอำนาจลง เย่ฮองเฮาก็รู้สึกว่าชีวิตเริ่มดีขึ้น ไม่มีใครมาหาเรื่อง นางกับต้วนกุ้ยเฟยต่างเป็นหญิงที่ไม่ได้รับการโปรดปรานอีกแล้ว ก็เหมือนสนมธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งที่มีชีวิตเรียบเง่ายไปวันๆ

“ว่างก็เหมือนรอวันตาย แต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองจะตายเมื่อไหร่” เย่ฮองเฮาพูดจบ ก็หัวเราะแห้ง แม้แต่เสียงจะพูดล้อเล่นนางก็ไม่มี

รัชทายาทไม่พอใจ “เสด็จแม่ ทำไมถึงรับสั่งเช่นนี้? ลูกอยู่นี่ พูดเรื่องตายทำไมกัน?”

เห็นเย่ฮองเฮาไม่ตอบ เขาก็พูดต่อไปว่า “เรื่องของอ๋องหลัวหม่อมฉันได้เผาทำลายหลักฐานไปหมดแล้ว ช่วงนี้หลี่เซิงกับน้องสามเองก็ไม่ได้สืบอะไร อีกทั้งหลักฐานก็ไม่มีแล้วด้วย”

เย่ฮองเฮาเงยหน้ามามองเขา “เรื่องของอ๋องหลัวผ่านไปแล้ว ช่วงนี้เจ้าก็คิดเรื่องรับมือกับโม่ฉีหมิงให้ดี หากเขายังอยู่ ข้าไม่วางใจเลย”

เมื่อพูดถึงโม่ฉีหมิงขึ้นมา รัชทายาทก็ยังมีอีกเรื่อง เมื่อนึกถึงว่าเย่ฮองเฮาจะต้องพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน เกรงว่าตอนนี้คงไม่เหมาะ

เขาไม่อยากให้เย่ฮองเฮาต้องเข้ามาเสี่ยง อีกทั้งผลที่ตามมายังไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง

เรื่องนี้มันอยู่ในใจของเขาเขาไม่กล้าพูดมันออกมา ท่าทางของรัชทายาทดูไม่สบายใจ หลังผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว คิดว่าโม่ฉีหมิงคงไม่เชื่อใจเขาอีก

เดิมทีพวกเขาร่วมมือกันเพื่อจัดการกับเวินอ๋อง ส่วนการที่เขารับปากโม่ฉีหมิง ก็เพราะอยากตอบแทนที่เขาช่วยชีวิต

ตอนนี้ เวินอ๋องไม่อยู่ในแคว้นโม่ฉีแล้ว อีกทั้งยังถูกปลดเป็นสามัญชนด้วย ก็ไม่มีอะไรต้องห่วงอีก

ตอนนี้คู่ปรับที่ร้ายกาจของเขาคือโม่ฉีหมิง แต่ว่าให้เขาไปลงมือกับโม่ฉีหมิง เขาอาจจะสู้ไม่ไหว?

“เสด็จแม่ ท่านพักผ่อนก่อนเถอะนะ ลูกขอทูลลา” ในใจของรัชทายาทนั้นมีเรื่องไม่สบายใจ เขาเลยรีบขอตัวกลับก่อน

เสียงของเย่ฮองเฮาดังขึ้นมา “ทำไม? อยู่กับข้าแค่ครู่เดียว เจ้าก็เบื่อแล้วหรอ?”

ลูกของตัวเองทำไมนางจะไม่เข้าใจ? เขาไม่เคยไปแบบรีบร้อนแบบนี้ จะต้องมีเรื่องอะไรแน่นอน

พูดถึงเรื่องนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องของจิ่นซื่อหรอ ตอนที่ยังอยู่ที่ยองเชียงโหลว นางก็รู้แล้วว่าจิ่นซื่อไม่ใช่คนดีอะไร คิดไม่ถึงว่านางจะเดาถูก

นางโกรธที่ตอนนั้นนางไม่ลงมือฆ่านางไป วันนี้ถึงได้กลายมาเป็นภัยใหญ่

“ไม่ใช่ ลูกก็แค่ ก็แค่อยากจะไปดูผลการสอบสวนของโม่ฉีหมิง ตามความคืบหน้าแล้ว วันนี้น่าจะได้ข้อสรุป” รัชทายาทพูดไปตามความจริง

ช่างเถอะ ก็ไม่ได้มีอันตรายอีกแล้ว จะไปกลัวทำไมอีก?

“ไปเถอะ ไปเถอะ” เย่ฮองเฮาคิด แล้วก็ปล่อยเขาไป

รัชทายาทคำนับ แล้วก็ถอยไป

เย่ฮองเฮามองไปทางที่เขาออกไป จากนั้นก็นางก็ยกมือขึ้น สั่งให้สาวใช้มาพยุงนางขึ้นมา

เมื่อเวลาผ่านไปร่างกายก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว อากาศหนาวแบบนี้ เข่าของนางก็ปวด เดินก็แทบไม่ไหว

เวลาเดินอยู่ข้างนอก ก็ต้องใช้ไม้เท้าแล้วก็นางกำนัลอีกสองคนประคอง หมอหลวงก็มาตรวจให้แล้ว บอกว่าเป็นผลสืบเนื่องมาจากตำหนักเย็น มันลึกไปถึงกระดูกแล้ว ไม่มีทางรักษาหาย

ดังนั้นช่วงนี้เย่ฮองเฮาเลยไม่ค่อยออกไปไหน

แต่ว่าวันนี้ มันไม่เหมือนกัน เมื่อได้ยินรัชทายาทพูดมาแบบนี้ อำนาจของเวินอ๋องหมดไปแล้ว ต้วนกุ้ยเฟยไม่มีที่พึ่งอีกแล้ว คงต้องรอวันตายในวังหลวงเท่านั้น

ในฐานะพี่สาว คนที่ผ่านอะไรมามากมาย ต่อสู้กันมาก็นาน ควรจะต้องมีผลอะไรบ้าง

“ฮองเฮาเพคะ ขาของพระองค์ยังไม่หายดี มีเรื่องอะไรให้พวกหม่อมฉันไปทำก็ได้นะเพคะ” นางกำนัลข้างๆพูด

เย่ฮองเฮามองไปที่นาง แต่กลับไม่ด่า แถมยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้ข้าอารมณ์ดี อยากจะออกไปหาเพื่อนสักหน่อย”

นางกำนัลรู้จักนิสัยนางดี ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วถามว่า “งั้นพระนางจะให้เตรียมเกี้ยวไหมเพคะ?”

จากที่นี่ไปยังตำหนักต้วนกุ้ยเฟยไม่ได้ไกลมาก เย่ฮองเฮาเปิดประตูออกไป นางไม่ได้เห็นดอกพลัมสีแดงมานานมากแล้ว เขาส่ายหน้า

“ไม่ต้องหรอก วันนี้ข้าอยากเดินไปเอง” เย่ฮองเฮาแต่งตัวเรียบง่าย

นางกำนัลพยักหน้า แล้วพยุงเย่ฮองเฮาเดินไปยังด้านทิศตะวันออกที่อุทยานหลวง ดอกพลัมที่นั่นเริ่มบาน แต่เย่ฮองเฮากลับถอนหายใจ “ดอกพลัมในวังหลวงบานได้สวยดี น่าเสียดาย มีแค่ของนางเท่านั้น”

ไม่มีใครตอบนาง ไม่มีใครรู้ควรตอบนางยังไง พวกนางพยุงนางเดินไป เมื่อเดินผ่านเรือนไป ขันทีอยากจะเข้าไปทูลรายงานก่อน แต่ว่านางขวางไว้

“ไม่ต้องเข้าไปรายงาน ข้าเข้าไปเองดีกว่า” เย่ฮองเฮาดึงเสื้อคลุมไว้แน่น แล้วเดินเข้าไป

ต้วนกุ้ยเฟยนั่งอยู่ที่เก้าอี้โดยที่ไม่พูดอะไรเลย สายตาของนางจ้องมองไปที่กระจก นางพูดโดยที่ไม่หันมามอง “ออกไป ออกไปให้หมด ข้าไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น”

เห็นท่าทางที่ทรุดโทรมของนาง เย่ฮองเฮาก็ยิ้ม “น้องหญิงไม่กินอะไรหน่อยหรอ แล้วร่างกายจะรับไหวได้ยังไงกัน?”

ต้วนกุ้ยเฟยสะดุ้ง ดวงตาที่ไร้ความรู้สึกกลับถลึงตา มือทั้งสองข้างจับเสื้อผ้าไว้แน่น

นางมาแล้ว นางมาจริงๆ

ก่อนที่ความทรมานจะมาถึง มันก็แค่นางเหยียบความเสียใจที่สุดในชีวิต เลยเป็นปฏิกิริยาตอบโต้กลับไปเท่านั้นเอง

น่าขำ ลงมือกับผู้หญิงที่ไร้ความโปรดปรานไม่มีอำนาจแล้ว มันเก่งตรงไหน?

“ฮองเฮา ทำไมท่านว่างมาเยี่ยมหม่อมฉันที่นี่ได้ล่ะเพคะ น้ำพระทัยของพระองค์หม่อมฉันซาบซึ้งใจยิ่งนัก” ต้วนกุ้ยเฟยพูด

น้ำใจ? เย่ฮองเฮายิ้มมุมปาก แล้วเหลือบมองไปที่ต้วนกุ้ยเฟย มองไปที่สีหน้าที่ดูแย่ของนางอย่างละเอียด มันทำให้นางรู้สึกสะใจ

“น้องหญิงพูดแบบนี้ได้ยังไงกัน ข้ามาเยี่ยมเจ้าไม่ดีหรือไง? ทำไมเจ้าพูดเหมือนกับว่าอยากให้ข้ากลับไปเร็วๆอย่างนั้นแหละ?” เย่ฮองเฮายิ้ม

นางเดินไปนั่งลงข้างๆต้วนกุ้ยเฟย เหมือนดอกไม้สองดอกที่อยู่ในแจกันเดียวกัน แต่ไม่รู้ว่าดอกไหนสวยกว่ากัน

“หม่อมฉันทราบดีว่าพระนางคิดอะไรอยู่ ฉวยโอกาสที่หม่อมฉันอารมณ์ไม่ดี มาเบ่งอำนาจบารมีของพระองค์สินะเพคะ พระนางคิดว่ามันสนุกนักหรอเพคะ?” ต้วนกุ้ยเฟยหันกลับมามอง น้ำเสียงของนางไม่สามารถปิดบังความไม่พอใจได้เลย

“สนุกสิ” เย่ฮองเฮาตอบอย่างหนักแน่น

สายตาของทั้งคู่ปะทะกัน เหมือนกับเปลวไฟ

สายตาที่โกรธแค้นของต้วนกุ้ยเฟยจ้องไปที่เย่ฮองเฮา นางแทบอยากจะถลกหนังของนางออกมาตอนนี้เลย

จ้องกันอยู่นาน สุดท้ายเย่ฮองเฮาถึงหันไปมองทางอื่น แต่สายตาก็ยังมีแต่ความดีใจ

“น้องหญิงยังไงก็กินอะไรสักหน่อยเถอะนะ อย่างคิดมากเรื่องเวินอ๋องจนเสียสุขภาพเลยนะ เสียอ๋องไปคนหนึ่ง เจ้าก็ยังมีหลินอ๋องอยู่นะ อย่างมาก ข้าก็เอาเขาคืนให้เจ้าตอนนี้เลยดีไหม”

เย่ฮองเฮาพูดกับนาง แล้วมองไปที่สีหน้าที่แย่มากของต้วนกุ้ยเฟย นางก็รู้สึกสะใจ

“ท่าน ฮองเฮา อย่าคิดว่าตอนนี้ท่านจะดีไปกว่าข้านะ หลินอ๋องเป็นลูกชายข้า ต่อให้ท่านจะเลี้ยงดูเขามา แต่ยังไงแม่แท้ๆของเขาก็คือข้า นอกจากรัชทายาทแล้ว ท่านมีอะไรที่อวดอ้างได้อีก?” ต้วนกุ้ยเฟยพูด

ถึงแม้แพ้ชนะจะมีผลแล้ว แต่ว่านางจะไม่ยอมให้ฮองเฮาอยู่อย่างมีความสุขเด็ดขาด อย่างน้อย ก็ต้องให้นางเครียด

“รัชทายาทคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของข้า เจ้าถามข้าว่ารัชทายาทมีอะไรดีที่จะให้อวดอ้างใช่ไหม? รัชทายาทก็คือฮ่องเต้ในอนาคตไง อีกทั้งข้าก็คือไทเฮาในอนาคตเช่นกัน แค่นี้พอไหม? ถึงเวลานั้น ข้าจะบีบเจ้าให้ตายคามือข้า เหมือนกับมดตัวหนึ่งไงล่ะ”

เย่ฮองเฮาทำมือเหมือนกับบีบมด จากนั้นก็หัวเราะ

ต้วนกุ้ยเฟยเข้าใจแล้วว่า นางมาทำอะไรที่นี่ในวันนี้

นางตั้งใจมาเพื่อให้นางไม่มีความสุข ตอนนี้นางทำอะไรนางไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถพูดจาประชดประชันนางได้ ทำให้นางเจ็บปวดใจ

คนอย่างเย่ฮองเฮา นางทำไมจะไม่รู้จักนิสัยของนาง?

“ฮองเฮา ท่านก็อย่าเพิ่งได้ใจไป รัชทายาทจะได้นั่งบัลลังก์ไหมมันก็พูดยากนะ ท่านลืมไปแล้วหรอว่ายังมีโม่ฉีหมิงอยู่อีกคน? หากเขาใช่เล่ห์กับพวกท่าน ก็สามารถเหยียบหัวของพวกท่านขึ้นไปได้นะ” ต้วนกุ้ยเฟยนึกถึงโม่ฉีหมิงขึ้นมา มันก็เหมือนหอกทิ่มแทงใจนาง

“เล่ห์เหลี่ยมของโม่ฉีหมิงท่านเองก็เคยเจอมาแล้ว หากเขาหันมาลงมือกับท่านกับรัชทายาท อย่าว่าแต่ท่านในตอนนี้เลย แค่เรื่องที่พวกเขาสองแม่ลูกถูกไฟคลอก เขาก็ไม่มีทางปล่อยท่านไปแล้ว”

ไฟไหม้? เย่ฮองเฮาสะดุ้ง

นางเหมือนจะลืมเรื่องนี้ไปสนิทใจ แต่ว่าเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่นางอยากจะทำ

หากไม่ใช่ต้วนกุ้ยเฟยวางยารัชทายาท ทำให้รัชทายาทป่วยมานานหลายปี ใส่ร้ายเฉินแฟย นางก็คงไม่วางเพลิง

กองไฟนั่นทำให้เฉินเฟยต้องตาย ทำร้ายโม่ฉีหมิง อีกทั้งยังทำให้ฮ่องเต้ต้องเสียคนที่รักไปอีก

สิ่งที่นางต้องรับมันมากเกินไป แต่ว่าคนร้ายตัวจริงอย่างต้วนกุ้ยเฟยยังคงลอยนวลแบบนี้ คิดแล้วก็เจ็บใจ

“หึ เรื่องในตอนนั้น ข้าเองก็เพิ่งรู้ความจริง ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าใส่ร้ายเฉินเฟยใช่ไหม? เจ้าเห็นฝ่าบาทโปรดปรานเฉินเฟยมาก เลยตั้งใจทำลายความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับนาง ถึงวางยารัชทายาทใช่ไหม?”

เย่ฮองเฮาพูดมันออกมาทีละคำ เปิดเผยความลับที่ปกปิดมานาน เล่าเรื่องที่นางรู้มาอย่างละเอียด

ต้วนกุ้ยเฟยนิ่งไป มันเหมือนมีค้อนยักษ์ทุบลงกลางใจ ทุบจนมันแหลกสลาย

สีหน้าของนางไม่เปลี่ยน แต่ซีดเซียว

ในเมื่อเย่ฮองเฮารู้ความจริงหมดแล้ว ทำไมถึงไม่พูดมันออกมาล่ะ?

แต่กลับมาพูดเอาในเวลานี้ หรือว่าเรื่องของเวินอ๋อง เกี่ยวข้องกับนาง? นางมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้งั้นหรอ?

เดาไม่ถูกเลย ต้วนกุ้ยเฟยเดาเรื่องจริงไม่ออกเลย นางไม่รู้ว่าเย่ฮองเฮากำลังคิดอะไรอยู่

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า การที่นางรู้ความจริง จะจัดการยังไงกับนาง?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก