ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 392

ตอนที่ 392 ปรากฏได้ทันเวลา

ผู้ร้ายที่โหดเหี้ยมกำลังมุ่งเข้ามาหาโล่หวินหลาน นางไร้ซึ่งคนติดตามมาด้วย นึกไม่ถึงเลยว่าจะมาคนจ้องจะทำร้ายตลอด อีกอย่างจ้องจะทำร้ายทุกเวลา

คำพูดของไซ่เย่ว่มีเหตุผลมาก แค่ออกนานเป็นเวลาที่ธูปหนึ่งเล่มนับ นี่ยังไม่ถึงเวลานั้นเลย สงสัยคงต้องโดนคนอื่นปาดคอ

โล่หวินหลานกำลังวิ่งหนีอย่างหวาดกลัว ที่ไหนมีคนน้อยก็จะวิ่งไปตามทางที่นั้น ในใจแค่คิดว่าไม่อยากให้ชาวบ้านผู้ที่บริสุทธิ์ต้องเจ็บตัวเพราะนางเอง

“องค์หญิง!”ไซ่เย่ว่ปรากฏตัวได้ทันเวลา และรีบวิ่งเข้ามาหาโล่หวินหลาน

และปกป้องโล่หวินหลานจากผู้ร้ายที่กำลังจะฆ่านางได้แล้ว

เมื่อครู่ในโรงน้ำชาก็ทำให้นางสูญเสียกำลังไปมาก ถึงไซ่เย่ว่จะพยายามต่อสู้ให้ตายสักแค่ไหน ก็รู้สึกว่ากำลังก็ค่อยๆหมดไป

“องค์หญิง รีบหนีเร็ว!”ไซ่เย่ว่หันหน้าไปแล้วตะโกนขึ้น ตรงแขนต้องนางโดนมีดฟันไปหนึ่งแผล

ทันใดนั้น เลือดอันแดงสดได้กระฉูดออกมา และกระจายอยู่บนพื้นหิมะสีขาวจนเต็ม เหมือนดอกไม้สีแดงกลางทุ่งหิมะ

โล่หวินหลานมองนางกำลังล่วงพวกคนร้ายนั้นไว้ แค่จะให้เวลาตนเองหนีเยอะกว่านี้ ในใจรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาทันที

แต่ว่านางไม่อยากหนีไป ถ้าจะไปก็ต้องไปพร้อมกันทั้งสองคนอย่างปลอดภัย

โล่หวินหลานจับช่วงเอวของตนเอง และเอาเข็มยาสลบออกมา และเล็งคนที่อยู่ข้างๆไซ่เย่ว่แล้วปล่อยเข็มออกจากแทงตรงคอของพวกเขา

เข็มยาสลบพุ่งเข้าไปแฝงในเนื้อของพวกนี้อย่างไร้สัญญาณ ไม่มีใครได้เห็นและได้ยินเลย ทันใดนั้น คนร้ายพวกนั้นก็ล้มลงกับพื้น

เย่เซียวหลัวที่มองอยู่ไกลๆก็ทำคิ้วขมวดขึ้น “มือของนางมีอะไรกันแน่”

คนเสื้อดำที่อยู่ข้างนางมองไปสักพัก และทูลกลับด้วยน้ำเสียงต่ำ “เหมือนเป็นเข็มวางยาสลบ

“มันจับนางมาให้ได้” เย่เซียวหลับกวาดสายตาเลือดเย็นไปยังคนๆนั้น และตะโกนขึ้น

นางพึ่งพูดจบ ร่างของคนเสื้อดำก็วิ่งพุ่งเข้าไปหาโล่หวินหลาน

ยกดาบขึ้นๆลงๆตามจังหวะการวิ่ง

แสงในฤดูหนาวได้สอดส่องลงมาสักพัก ขณะที่โล่หวินหลานกำลังเงยหน้าขึ้น ดาบนั้นใกล้เข้ามาในตัวของตนเองมากขึ้น

ทันใดนั้น ไซ่ไย่วได้ผลักไสคนร้ายที่ล้อมตัวนางอยู่ ใช้วิชาตัวเบาบินมาหาโล่หวินหลาน ดาบอันแหลมคมได้ฟันลงบนแขนของนาง

ตัวของไซ่เย่ว่ได้อยู่ต่ำลง ขาข้างหนึ่งของนางได้คุกอยู่กับพื้น หน้าดูขาวซี้ดเป็นอย่างยิ่ง

“ไซ่เย่ว่!” โล่หวินหลานตกใจไปสักพัก และรีบวิ่งที่ประคองนางขึ้นมา ตอนนี้นางอ่อนแอจนไม่มีกำลังจะลุกขึ้นแล้ว

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตนเองหัวดื้อจะออกมาตอนช่วงเวลานี้ ไซ่เย่ว่ก็คงไม่ต้องบาดเจ็บสาหัสเพราะตนเอง ตอนนี้พวกนางเปรียบเสมือนเนื้อปลาที่อยู่บนเคียง รอให้คนอื่นมีฆ่าและหั่นอยู่

“องค์หญิงเจ้าค่ะ ท่านรีบหนี คนที่พวกเขาจะจับคือท่าน” ไซ่เย่ว่รวบรวมกำลังที่ตนมีทั้งหมด และผลักไสนางออกอย่างไร้เรี่ยวแรง

ถ้าตอนนี้นางจากไป ไซ่เย่ว่ต้องถูกพวกนางจับตัวไปแน่ๆ ขนาดความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีแล้ว นางไม่สามารถไม่สนใจเย่เย่วได้

“ถ้าจะไปก็ต้องไปด้วยกัน “ โล่หวินหลานพยุงตัวนางไว้ กำลังจะพานางออกมา

แต่ว่าทันใดนั้นกลับมาร่างๆหนึ่งมุ่งเข้ามาจากข้างหลังจะตัวเอง คนๆนั้นได้สวมชุดสีเขียวมืดเดินเข้ามาอยู่ต่อหน้านาง และเดินมาอย่างโอ้อวดแสนยานุภาพ

โล่หวินหลานค่อยๆเงยหน้าขึ้น คนๆนั้นเหยียบฝ่ามือนางไว้ ทำให้นางรู้สึกเจ็บปวด นิ้วมือของนางค่อยๆรู้สึกเหน็บชาอยู่บนพื้นหิมะ

นางกัดฟันไม่ร้องทุกข์อะไรใดๆ ถ้าคนๆนี้จะฆ่าตนเอง คงลงมือไปนานแล้ว ทำไมถึงยืนมองอยู่ข้างๆตั้งนาน และพึ่งออกมาตอนเวลานี้

เป้าหมายหลักคืออยากจะเหยียดหยามนาง

“ความรู้สึกที่ถูกคนเหยียบจนจมดิมันเป็นเยี่ยงไร? พระชายารองเวินอ๋อง” เสียงอันคุ้นหูได้ดังขึ้นข้างหูของนาง เหมือนกำลังยั่วยุตนเองและได้ใจ

คนๆนั้นคือเย่เซียวหลัวนี่เอง ก็คงเป็นแค่นางเท่านั้น

นอกจากนาง ไม่มีใครที่จะมาเฝ้าดูตนเองเยี่ยงนี้ แค่จะรอโอกาสที่จะสามารถลงมือกับตนเอง

คิดๆดูแล้ว เพื่อที่จะรอนางออกจากตำหนัก เย่เซียวหลัวคงต้องเสียกำลังและเวลาเป็นอย่างมาก?

คนที่เจ้าจะจัดการคือข้า ปล่อยไซ่เย่ว่ไป” เสียงของโล่หวินหลานฟังเหมือนจะทนทุกข์ทรมาน กำลังกัดฟันเพื่ออดทนกับความเจ็บปวดของมือด้านซ้าย

พึ่งพูดจบ เท้าของเย่เซียวหลัวเหยียบแรงมากขึ้น หน้าของนางยิ้มเยาะขึ้น “เจ้าเองยังเอาตัวไม่รอด ยังมีหน้ามายุ่งเรื่องของผู้อื่น? วันนี้พวกเจ้าทั้งสองอย่าคิดเลยว่าจะได้ไปง่ายๆ เดี๋ยวข้าจะจัดการกับพวกเจ้าให้รู้จักเข็ด”

เสียงของนางแอบแฝงไปด้วยความดีใจ ก้มตัวลงมองโล่หวินหลานที่ถูกตนเองเหยียบไว้ว่านางมีความรู้สึกเช่นใด ตนเองรู้สึกสะใจมาก นางชอบเห็นคนอื่นไร้ซึ่งเรี่ยวแรงในการต่อสู้ และโดนตนเองย่ำยี

ความทรมานที่ตนเองได้รับตั้งแต่เมื่อก่อน ตอนนี้นางค่อยๆคืนให้โล่หวินหลานทีละนิด

เวลาแห่งการแก้แค้นก็คือตอนนี้ นางรอมานาน จัดกับดักไว้ล่อนางมานานเยี่ยงนี้ ก็เพื่อเวลานี้

“ไซ่เย่ว่ เจ้าอดทนหน่อยได้หรือไม่?” โล่หวินหลานกระซิบข้างหูนาง

นางกำลังจะหลับไป หน้าที่ดูทั้งขาวทั้งซี้ดค่อยๆฝืนตัวเองลืมตาขึ้น แล้วพยักหน้า

“ตอนนี้ข้ากำลังใช้เข็มวางยาสลบให้นางอยู่ แล้วเจ้าก็รีบหนีไปกับข้า” โล่หวินหลานกระซิบข้างหูนางอีกครั้ง สายตาดุจดั่งตาเหยี่ยวมองไปยังเย่เซียวหลัว

เห็นไซ่เย่ว่พยักหน้า โล่หวินหลานทำสายตาเลือดเย็นยิ่งจขึ้น มือข้างขวาของนางค่อยๆจับไปตรงช่วงเอว นางเสียใจมากที่ไม่ได้มาเข็มยาพิษออกมาด้วย

“เย่เซียวหลัว เจ้ารอโอกาสที่จะจับข้ามาอย่างทรมานเยี่ยงนี้ มิใช่ว่าจะรอแก้แค้นหรือ? เจ้ายังจำเวลาที่อยู่ในตำหนักเวินอ๋องเจ้าถูกข้าข่มเหง? ไม่สิ ข้ายังไม่ทันได้ทำอะไรเลย เจ้าก็แพ้ข้าไปแล้ว”

โล่หวินหลานรู้ว่านางไม่อยากฟังคำพูดพวกนี้ที่สุด นางตั้งใจพูดเรื่องที่ทรมานที่สุด เพื่อที่จะกระตุ้นนางและทำให้สติของนางแตก จะได้ถ่วงเวลาไว้ได้

“เจ้าอย่ามาพูดมั่ว!”เย่เซียวหลัวตะโกนออกมาอย่างน่าตกใจ

เวลานี้ โล่หวินหลานได้ปล่อยเข็มออกมาจากมือของตนเอง และเล็งไปตรงช่วงคอของเย่เซียวหลัว

แต่ตอนที่นางปล่อยมันออกไป กลับถูกคนข้างๆที่สวมชุดสีดำปัดมันออก กระเข็มยาสลบได้กระทบลงตรงตัวดาบและตกลงบนพื้น

หญิงสารเลวคนนี้ อยากจะทำให้ตนเองสติแตก เพื่อฉวยโอกาสลงมือกับตนเอง

“พวกเจ้า จับพวกนางไป” เย่เซียวหลัวทำสายตาที่ดูเลือดเย็น นางที่สวมหน้ากากไว้ทำให้มองสีหน้าของนางไม่ออก

แผนการของนางล้มเหลว โล่หวินหลานคิดไม่ออกว่าจะช่วยตนเองเยี่ยงไร นัยน์ตาอันเปล่งประกายของนางเต็มไปด้วยความกังวล

เท่าที่นางรู้จักเย่เซียวหลัว จับตัวนางเพื่อจะที่ข่มขู่โม่ฉีหมิง และโม่ฉีหมิงก็คงมาช่วยตนเองอย่างไม่สนใจอะไรใดๆ ก็จะถึงเวลาของการแก้แค้นจริงๆ

ตอนเวลาที่คนสวมชุดดำกำลังจะยื่นมือออกมา ก็ได้มีดาบพุ่งเข้ามาทะลุฝ่ามือของเขา และตามมาด้วยเสียงร้องทุกข์ของเขา ร่างของเขานั่นก็ได้กระเด็กไปตามแรงของดาบเล่มนั้น

พวกคนนั้นหยุดชะงักทันที เมื่อมองไปยังทิศทางที่ดาบได้พุ่งเข้ามา

คนๆนั้นเต็มไปด้วยความอาฆาตร สายตาอันเลือดเย็นของเขาได้กวาดไปยังทุกคน เหมือนเขากำลังออกมาจากขุมนรก

และเดินมาหาเย่เซียวหลัวทีละก้าวๆ สายตาเหมือนจะฆ่านางให้ตายร้อยรอบ

โล่หวินหลานเปรียบเสมือนซี่โครงของเขา และเป็นคนที่เขาเฝ้ารอมาตั้งนาน ใครก็ไม่สามารถมาแตะต้องตัวนางได้ มีเพียงเย่เซียวหลัวที่เข้ามายุ่งกับนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า และมาทำให้ความอดทนของเขาได้หมดลง

บาปนี้ไม่สามารถอภัยให้ได้อีกต่อไป

มองเห็นโม่ฉีหมิงค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าวๆ เย่เซียวหลัวหวาดกลัวขึ้นมาทันที

นางได้ยกเท้าของตนเองขึ้นจากมือของโล่หวินหลานอย่างไม่รู้ตัว

“ฟิ้ว” มีดาบอีกเล่มบินผ่านแล้วคนสวมชุดดำก็ได้ล้มลงกับพื้น

กลุ่มคนเสื้อดำพวกนั้นลืมไปเลยว่าต้องต่อต้าน ทุกคนต่างหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม

พอเย่เซียวหลัวตะโกนเสียงดังขึ้น “พวกเจ้านิ่งไปทำไม? รีบมุ่งเข้าไปสู้สิ!”

พวกเขาจึงจะเรียกสติกลับมาได้ และยกดาบขึ้นวิ่งพุ่งเข้าไปหาโม่ฉีหมิง

แต่ว่าตอนนี้โม่ฉีหมิงดูเลือดเย็นและก้าวร้าวมาก เรือนร่างของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความอันตราย เขาจะไม่ออมมือให้กับคนพวกนั้นอย่างแน่นอน มาหนึ่งคนฆ่าให้ตายหนึ่งคน มาสองคนฆ่าพร้อมกันเป็นคู่ และธนูบนมือของเขาไม่หยุดยิง และเล็งมายังทิศทางที่เย่เซียวหลัวยืนอยู่

ธนูนั้นได้เฉียดเข้าข้างใบหน้าของเย่เซียวหลัว ลูกธนูได้พุ่งเข้ามาหานางลูกแล้วลูกเล่า เหมือนกำลังเล่นเกมส์กับนางอยู่ และบินเข้าเฉียดเข้าข้างแก้มของนาง เหมือนไม่ยอมลงมือกับนางสักที

เย่เซียวหลัวหลบซ้ายหลบขวาไปมาอย่างเสียสติ แต่ก็หลบไม่อยู่ จนสุดท้ายหน้ากากที่ตนสวมไว้หลุดไปเมื่อใดอย่างไม่รู้ตัว

“อ่าส์” เสียงตะโกนร้องทุกข์ดังขึ้น มือของเย่เซียวหลัวกุมหน้าของตนเองไว้ และฝีเท้าของนางได้ก้าวถอยหลังไปด้วยความตกใจ

แต่ว่าโม่ฉีหมิงไม่ยอมให้โอกาสนางได้หนี ธนูยังคงเสียดเข้าข้างใบหน้าของนางเรื่อยๆ จนทำให้หนังที่บนใบหน้านางเสียโฉม และมีเลือดไหลริมหยดลงบนพื้น

“อ่าส์!หน้าของข้า!” เสียงตะโกนร้องทุกข์ดังขึ้นอีกครั้ง

เสียงร้องทุกข์ของนางดังขึ้นข้างหูของโล่หวินหลายมาสองรอบ โล่หวินหลานจึงหันไปมอง ปรากฏว่าใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดแดงสดกำลังมองมาที่นาง สายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตรทำให้นางรู้สึกขนลุก

ทันใดนั้น เสียงใหญ่เย็นได้กุมมือนางไว้อย่างเต็มแรง

ไม่รู้ว่าโม่ฉีหมิงเดินมาอยู่ต่อหน้านางตั้งแต่เมื่อไหร่ ยื่นมือมาพยุงนางขึ้น และไซ่เย่ว่ได้ถูกเย่หวินพากลับมานานแล้ว ตอนนี้นอกจากเย่เซียวหลัวที่ถูกชำเราจนเสียโฉมหน้า คนร้ายคนอื่นๆก็ได้ล่มลงกองอยู่บนพื้นกันหมด

“ฉินหยิ่น นำตัวนางกลับไป” โม่ฉีหมิงก้มโล่หวินหลานขึ้นมาแล้วสั่งขึ้นด้วยเสียงเย็นชา

ถึงแม้เขาไม่สั่ง ฉินหยิ่นก็รู้ว่าควรทำเช่นใด

ฉวยโอกาสที่พวกเขาไม่ระวังตัว ทำลงมือทำร้ายโล่หวินหลานและไซ่เย่ว่ ตอนนี้ไซ่เย่ว่บาดเจ็บสาหัส โล่หวินหลานก็ขวัญเสีย ชีวิตที่อยู่ดีมีสุขของเย่เซียวหลัวได้จบลงแล้ว

โล่หวินหลานมุดหัวเข้าไปอยู่กลางอกของโม่ฉีหมิง ที่นี่เป็นตลาด ถึงแม้ชาวบ้านละแวกนี้จะหลบซ่อนตัวกันไปหมด แต่ยังไงก็คงจะมีคนเห็น

องค์รัชทายาทพิงอยู่ข้างรถม้า สายตาอันเฉียดคมของเขามองไปยังโม่ฉีหมิง และนัยน์ตานั้นแอบแฝงไปด้วยความสงสัย

นอกจากโล่หวินหลาน เขายังไม่เคยเห็นโม่ฉีหมิงใส่ใจหญิงอื่นใดเยี่ยงนี้มาก่อน

แม่หญิงสาวเหอซื่อน่าสนใจขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่านางมีเสน่ห์แค่ไหนถึงทำให้โม่ฉีหมิงสนใจได้มากเยี่ยงนี้

เมื่อครู่เขากับโม่ฉีหมิงได้นั่งรถม้ากำลังผ่านที่นี่ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกนว่าที่นั่นมีคนต่อสู้กัน เขาแค่มองออกไปนอกหน้าต่าง ก็รู้สึกคนพวกนั้นคุ้นตามากๆ ยังไม่ได้เอ่ยพูดอะไรใดๆ โม่ฉีหมิงก็หายตัวไปแล้ว

นอกจากวันนั้นที่โล่หวินหลานตายไป เขาไม่เคยเห็นเรื่องอะไรที่ทำให้โม่ฉีหมิงทำสีหน้าเยี่ยงอย่างเมื่อครู่

หญิงสาวเหอซื่อเป็นใครกันแน่?

“องค์รัชทายาท ตอนนี้พวกข้าจะไปไหนกันขอรับ?” คนขี่รถม้าได้เอ่ยปากทูลถามขึ้น

“กลับตำหนัก” องค์รัชทายาทหันกลับมามองเขา และขึ้นรถม้า

ระหว่างทางกลับตำหนัก สายตาของโม่ฉีหมิงดูเลือดเย็นตลอดทาง ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากพูดขึ้นมา ณ ตอนนี้ แม้กระทั่งตัวโล่หวินหลานเองก็เงียบนิ่งไว้

โชคดีนะที่เจอเขาตอนเวลานี้ ถ้าช้ากว่านี้อีกก้าวเดียว เกรงว่าเย่เซียวหลัวคงชนะไปอย่างแน่นอน

นางได้แอบมองเขา ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นเหมือนเส้นด้าย เป็นสีหน้าที่เขาเป็นตอนที่เขาโกรธ นัยน์ตาที่ดูเลือดเย็น สีหน้าที่ดูไม่เป็นมิตรทำให้ยิ่งไม่กล้าเข้าใกล้

เข้าไปในตำหนัก โม่ฉีหมิงอุ้มนางไปวางไว้บนเตียง และเรียกสวินโม่มา หลังจากนั้นก็ยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดไม่จา

สวินโม่วัดชีพจรให้อย่างตกอกตกใจ กำลังจะดูอาการนิ้วของโล่หวินหลาน ในสถานการณ์ที่โม่ฉีหมิงกำลังโมโห ก็จะทำให้รู้สึกว่าบรรยากาศนั้นไม่ผ่อนคลายเลย

บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยแรงกดอากาศ ไม่เพียงแต่สวินโม่ แม้กระทั่งโล่หวินหลานยังอยากจะเป็นลม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก