ตอนที่ 405 ออกจากหุบเต๋เข้าเมืองหลวง
วันที่สิบห้าของเดือนนี้เป็นวันจัดพิธีสมรส ทางร้านตัดเย็บชุดก็ได้ส่งชุดสมรสมา เป็นชุดกี่เพ้าที่มีเส้นด้ายสีทองในการทอและเย็บขอบ ตรงคอเสื้อมีหยกเย็บอยู่ตรงกลาง แล้วผ้านั้นปักด้วยลวดลายก้อนเมฆสีขาวที่ประณีตละเอียดอ่อน
ตอนที่ไซ่เยว่ส่งชุดมา อาหลั่วหลานก็เดินตามมาติดๆ พอเห็นชุดสมรสแล้ว นางก็จับจ้องไว้อย่างไม่กระพริบตา
“เสี่ยวฮัว ชุดของเจ้าสวยงามเกินไปหรือไม่? เป็นชุดที่สวยที่สุดที่ข้าเคยเห็นมา ยืมให้ข้าใส่ดูหน่อยได้หรือไม่?” อาหลั่วหลานจับชุดนั้นอย่างมีชื่นชม
เนื้อผ้าที่อ่อนนุ่มถูกนางจับไว้ในมือแน่นๆ นางลูบไปลูบมา นัยน์ตาที่เปล่งประกายออกมานั้นเหมือนได้เจอหน้าหมิงซี
โล่หวินหลานเห็นมานางชอบเยี่ยงนี้ จึงตอบกลับไป “ได้สิ”
แต่ว่าไซ่เยว่กดมือของนางไว้ เพื่อปฏิเสธในการลองชุด
“ไม่ได้นะเจ้าค่ะ นี่เป็นชุดสมรสขององค์หญิง ต้องรอถึงงานวันสมรสจึงจะใส่มันได้” จะสวมใส่ตอนนี้ได้เยี่ยงไร อีกอย่างยังไม่ใช่ตัวของเจ้าสาวเองอีก
จริงๆชุดสมรสนี้ห้ามให้คนอื่นสวมใส่เด็ดขาด อาหลั่วหลานแค่คิดในใจก็ไม่อยากจะลองจริง แค่ว่าอยากแค่ถามดูเฉยๆว่าความรู้สึกจะเป็นเยี่ยงไร
ถ้านางกับหมิงซีได้แต่งงานขึ้นมาจริงๆ ชุดสมรสของนาง ก็คงจะสวยงามเหมือนเยี่ยงนี้
แต่ว่า พอนึกถึงหมิงซีผู้นิ่งเฉย ขนาดความรู้สึกของตนเองยังไม่รู้เลย จะรู้ได้เยี่ยงนี้ว่าเขาจะขอตนเองเป็นคู่ครอง?
อาหลั่วหลานทำสีหน้าที่ค่อยๆแย่ลง โล่หวินหลานเห็นว่าเป็นเยี่ยงนี้ ยังนึกว่านางไม่ดีใจเพราะว่าเรื่องชุดสมรส จึงเอ่ยปากขึ้น
“ไม่เป็นไร ถ้าเจ้าชอบก็ลองเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าให้คนทำที่เหมือนกันอีกชุด ชุดนี้ข้าให้เจ้าดีหรือไม่?”
“จริงหรือ?” อาหลั่วหลานรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาโดยทันที แค่ว่าสติของนางก็ค่อยๆกลับมาแล้วทำสีหน้าที่แย่เหมือนเดิม “ให้ข้าแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าจะได้ใช้มันตอนไหน ยังไงก็ช่างมันเถอะ”
หมิงซีคนที่ด้านชาเยี่ยงนี้ ถ้าให้เขาสู่ขอนาง ก็เหมือนคนโง่เขลาที่กำลังฝัน
นอกจากนางเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเอง แต่ว่าเรื่องเยี่ยงนี้นางจะเอ่ยปากก่อนได้เยี่ยงไร? มันน่าอับอายมากแค่ไหน
ดูจากนัยน์ตาของอาหลั่วหลาน โล่หวินหลานรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องของหมิงซี เลยโบกมือให้นาง “เจ้ามานี่”
อาหลั่วหลานเม้มปากอย่างไม่พอใจ และเดินไปต่อหน้านาง
โล่หวินหลานพูดคำๆหนึ่งข้างหูนางด้วยเสียงต่ำ ทีแรกอาหลั่วหลานทำสีหน้าไม่มีความสุข ตอนนี้กลับยิ้มเบิกบานดั่งดอกไม้ และมองนางอย่างตื่นเต้นและคาดการณ์ไม่ถึง
“เสี่ยวฮัว ที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริงหรือ?” อาหลั่วหลานจับมือของนางไว้แน่นๆ คิดไม่ถึงว่านางจะให้คำมั่นสัญญาตอนนี้
“วางใจเถอะ เรื่องที่ข้าพูดก็ต้องทำให้มันได้” โล่หวินหลันพยักหน้าใส่นาง
ดีจริงๆเลย อาหลั่วหลานรู้ว่าโล่หวินหลานไม่เคยพูดโกหก พอได้ยินเยี่ยงนี้แล้ว นางก็ค่อยยังสบายใจหน่อย
ไม่กี่วันนี้โม่ฉีหมิงได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆในราชสำนัก ตอนนี้ได้เข้าวังไป ยังไม่ถึงเที่ยงก็ต้องไปดูการสร้างตำหนักองค์รัชทายาท ต้องเสร็จให้ทันวันงานสมรส
ที่นี่ตำหนักองค์รัชทายาทก็ถูกสร้างไว้ตรงเรือนเก่า แต่โม่ฉีหมิงไม่พึงพอใจที่จะอยู่ในตำหนักที่มีคนอื่นเคยอยู่ จึงขอให้สร้างตำหนักใหม่ขึ้น
ยังไงก็ต้องเสียกำลังคนและทรัพย์ในการสร้างไปเยอะ ทีแรกฮ่องเต้ไม่ตอบตกลง แต่พอโม่ฉีหมิงพูดถึงว่าเขาได้สู่ขอพระชายาคนใหม่ และเห็นว่าจะใช้งบประมาณของตนเอง ฮ่องเต้เลยตามใจเขาไป
ตำหนักองค์รัชทายาทตั้งอยู่ตรงทิศใต้ของเมือง และยังสร้างใหม่ขึ้นโดยเร่งรีบโดนคนสร้างไม่มีการพักผ่อน เพื่อเร่งให้ทันวันที่ 15 สามารถเข้าพักได้เลย
ตอนนี้ใกล้จะเสร็จแล้ว โม่ฉีหมิงไปดูสักพัก และกะว่าจะกลับตำหนัก
ใครจะไปนึกถึง ฉินหยิ่นขึ้นหน้ามาทูลว่าคนที่พวกเขาส่งไปรับชิวโม่ไป๋ได้มีการหยุดพักกลางทาง
“ตอนนี้ฟ้าได้มืดลงแล้ว ในระหว่างทางนั้นก็คงเหน็ดเหนื่อยน่าดู ปล่อยให้พวกเขาหยุดพักคืนหนึ่ง วันรุ่งขึ้นก็ค่อยให้เข้าเมืองหลวง” โม่ฉีหมิงสั่งการเสร็จ ปีนขึ้นม้าแล้วกลับ
ฉินหยิ่นทูลรับทราบ หันไปส่งคนออกเมืองไปสั่งการพวกเขา
เขาขี่ม้ากลับตำหนัก และกำลังรีบกลับไปรับประทานสำลักเย็น โล่หวินหลานรู้ว่าเขาจะกลับมา เลยรอเขาตรงตำหนักหลัก
โม่ฉีหมิงเห็นนางกำลังเดินไปเดินมา เขาก็รีบเข้าไปจับไหล่นางไว้ และดึงนางมาอยู่ต่อหน้าตนเอง และกุมมืออันหนาวเย็นของนางไว้ ขมวดคิ้วขึ้น น้ำเสียงไม่ค่อยเป็นมิตร
“ทำไมมือเย็นได้เยี่ยงนี้? สุขภาพเป็นเยี่ยงไรบ้าง?” โม่ฉีหมิงจับหน้าผากของนาง จะดูว่าตัวร้อนหรือไม่ และกลับถูกนางปัดออก
“ไม่เป็นไร นี่ก็ใกล้จะถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว รออีกสักพักก็คงอบอุ่นขึ้น” โล่หวินหลานดึงมือตนเองกลับไปแล้วยิ้ม
โม่ฉีหมิงมองนางอย่างไม่พอใจ “เจ้าก็รู้หนิว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิ มันทำไมยังเย็นเยี่ยงนี้? แล้วยังใส่เสื้อน้อยเยี่ยงนี้ ไม่ใส่ใจสุขภาพตนเองหน่อยหรือไง?
“รู้แล้วหน่ะรู้แล้วหน่ะ” โล่หวินหลานพยักหน้าติดต่อกัน ช่วงนี้เขาเป็นอะไรไป ทำไมถึงได้จุกจิกเยี่ยงนี้
“ข้าจะบอกเจ้าว่าต้องใส่ใจคำพูดของข้า เข้าใจหรือไม่?” โม่ฉีหมิงขมวดคิ้วขึ้นมองนาง พอเห็นนางเชื่อฟังหน่อย ก็จูบลงบนหน้าผากนางอย่างทนไม่ไหว
พอนึกถึงวันนี้ที่ฉินหยิ่นคุยกับเขา จึงพูดขึ้น “ท่านปู่ได้มาถึงจุดพักกลางทางแล้ว เพราะว่าฟ้ามืดลงก่อน ข้าเลยให้พวกเขาได้พักผ่อนอยู่ตรงนอกเมือง วันรุ่งขึ้นค่อยเข้าเมืองหลวง”
โล่หวินหลานยิ้มขึ้นมาทันที และถามขึ้นด้วยความดีใจ “ ถึงแล้วหรือ? ทำไมเร็วได้เยี่ยงนี้? วันพรุ่งนี้ก็จะได้เจอแล้ว”
“อืม” โม่ฉีหมิงเห็นนางมีความสุข มุมปากได้กระตุกยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “ทานข้าวกันเถอะ”
สำลักเย็นทานได้เรียบง่าย มีขนมถั่วเหลืองและซี่โครงที่โล่หวินหลานชอบ โม่ฉีหมิงก็ตามใจนาง แค่มีนางคอยทานเป็นเพื่อน ไม่ว่าจะทานอะไรก็ได้หมด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก