ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต นิยาย บท 110

ตอนที่ 110 เจ้านายของหมาป่า

“ศักยภาพหรือ” อู๋หมิงกระตุกปาก เห็นได้ชัดเลยว่าไม่เชื่อ

หลินซินเยียนคร้านจะอธิบาย เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถใช้แค่ลมปากอธิบายแล้วจะมีประโยชน์

“เงียบ” ไน่เหอฮวนมายืนอยู่ข้างหลังหลินซินเยียน ขณะที่เขาพูดนั้นเขาก็ดึงตัวหลินซินเยียนเข้ามาในอ้อมกอด “พวกเจ้าฟัง นี่มันเสียงอะไร”

หลินซินเยียนถูกดึงเข้ามาขังอยู่ในอ้อมอกแข็งแกร่งนั้น ถึงแม้จะมีเสื้อผ้ากั้น แต่ว่าความอบอุ่นที่ร้อนแผดเผาก็ยังทำให้หน้าแดงใจเต้นได้อยู่ดี พริบตานั้น คล้ายกับว่านางได้ยินเสียงหัวใจจากที่ลึกๆของหน้าอกเขา สำหรับสิ่งที่อยู่ข้างนอกมันจะเป็นอะไรนั้น ตอนนี้นางไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น

นางยกมือขึ้นหมายจะผลักตัวเขาออก แต่ดูเหมือนว่าเขามุ่งมั่นที่จะระวังสิ่งที่อยู่รอบๆมากกว่า เขาใช้มือกดบ่าของนางให้อยู่นิ่งๆอย่างดึงดัน ไม่ว่านางจะใช้แรงมากแค่ไหนตัวของเขาก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย

เห็นได้ชัดเลยว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่กำลังเป็นอันตราย แต่เพราะอยู่ในสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอวนเช่นนี้ทำให้หลินซินเยียนเครียดไม่ลง

“มีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนที่มาหาพวกเรา” สีหน้าของบุรุษชุดดำเข้มขึ้น เขาชักมีดยาวที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมา ทั้งตัวของเขามีท่าทางเหมือนพร้อมรบคลอดเวลา

อู๋หมิงก็ตึงเครียดขึ้นมาเช่นกัน คาดไม่ถึงเวลาช่วงเวลาแรกไม่มีใครสังเกตเห็นไน่เหอฮวนและหลินซินเยียนที่อยู่ในสภาพใกล้ชิด “พวกท่าน เดี๋ยวพวกท่านต้องปกป้องข้านะ ข้าต่อสู้ไม่เป็น”

น่าเสียดาย คำพูดของเขาไม่มีใครตอบกลับสักคน

เพียงแค่หัวคิ้วของไน่เหอฮวนย่นก็ได้คำรามเสียงเย็น “มาแล้ว”

ราวกับว่าเสียงของเขาเพิ่งจะพูดจบลง ก็เห็นลูกตาสีเขียวอ่อนหลายคู่ปรากฏอยู่รอบตัวของพวกเขา ในหมอกหนานั้น แววตาที่โหดร้ายส่องผ่านลูกตาสีเขียวอ่อน ทำให้คนกลัวจนเสียวสันหลังวาบ

หลินซินเยียนที่กำลังดันตัวไน่เหอฮวนออกนั้นพลันไม่กล้าขยับตัวสร้างปัญหา ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ป่าใด จำนวนเยอะเช่นนี้นั้นเรียกได้ว่าเป็นสภาพที่อับจนอย่างหนึ่ง

ทันใดนั้นนางก็คิดถึงโม่จื่อเฟิงขึ้นมา ชั่วพริบตานั้น นางก็คิดได้ว่า ถ้าหากว่าโม่จื่อเฟิงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ยากเย็นสักแค่ไหนเขาก็จะสามารถแก้ไขได้ ความรู้สึกแบบนี้ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหน แต่นางก็ยังเชื่อเช่นนั้น

สัตว์ที่ดุร้ายเหล่านั้นย่างกรายเข้าใกล้พวกเขา ไม่ใช่ว่าเพราะพวกมันเจตนาที่จะย่ำเท้าเบาๆ แต่เป็นเพราะสัญชาตญาณล่าเหยื่อ ช่วงเวลาที่ยังไม่แสดงความดุร้ายออกมาเพื่อคร่าชีวิตนั้น พวกมันรู้ว่าจะต้องซ่อนจิตสังหารเอาไว้ก่อน

ขณะที่พวกมันกำลังเดินออกมาจากหมอกหนาช้าๆ บุรุษชุดดำก็คำรามเสียงเย็น “อะไรวะเนี่ย นี่ไม่ใช่ทะเลทรายทางเหนือถึงจะได้มีหมาป่าโลหิต ที่นี่เป็นขอบเขตของศาลาความลับแห่งสวรรค์แล้วจะมีหมาป่าโลหิตได้อย่างไร ”

หลินซินเยียนไม่รู้ว่าอะไรคือหมาป่าโลหิต แต่เมื่อมองไปที่อู๋หมิงที่กำลังยืนขาสั่นผับๆอยู่ข้างๆนั้น ก็รู้ได้ว่าไม่ได้เป็นสัตว์ที่ดี

“ได้ยินมาว่าทะเลทรายตอนเหนือมีกองกำลังทหาร พวกเขาฝึกกองทัพหมาป่าโลหิต” เสียงแข็งกระด้างของไน่เหอฮวนดังมาจากบนหัวของหลินซินเยียน เพียงแค่พูดประโยคนี้ประโยคเดียว แต่ไม่พูดว่าคนที่นำกองทัพมาคือใคร กองทัพนี้ดำรงอยู่อย่างไร

อู๋หมิงเพียงแค่มายืนข้างๆทั้งสองคนอย่างกลัวหัวหด “ไน่เหอฮวน เจ้าทำได้ เพียงแค่ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องที่ว่าทะเลทรายทางเหนือจะมีหมาป่าโลหิตมาก่อน เจ้ารู้ได้อย่างไร ข่าวคราวแบบนี้กองทัพทั่วไปก็ไม่แน่ว่าจะรู้นะ”

ไน่เหอฮวนไม่ได้ตอบเขา เขาดึงกริชเล่มหนึ่งออกมาจากรองเท้า มือหนึ่งของเขาดึงแขนของหลินซินเยียน อีกมือก็ถือกริช เขาก้มลงมาพูดกับหลินซินเยียน “เดี๋ยวเจ้าตามข้าให้ติดๆนะ”

เขาจับแขนนางอย่างเอาเป็นเอาตายจะให้นางตามเขาเนี่ยนะ

หมาป่าโลหิตเหล่านั้นล้อมรอบพวกเขาไว้แต่ก็ไม่ได้โจมตี ราวกับว่ากำลังรออะไรบางอย่าง พวกเขาเกาะกลุ่มกันไว้หลังจากนั้นชั่วพริบตาเดียวแผ่นหลังก็เปียกซึม

ทันใดนั้น ท่ามกลางหมอกหนาก็มีเสียงกดต่ำดังออกมา “ใครคือคนของศาลาความลับแห่งสวรรค์”

เป็นอย่างที่ไน่เหอฮวนพูดจริงๆ หมาป่าโลหิตเหล่านี้มีคนควบคุม

สีหน้าของบุรุษชุดดำเปลี่ยนไป แต่กลับยืนนิ่งไม่ขยับ คนอื่นก็ไม่ได้ขยับตัวเปิดปากพูดอะไรเช่นกัน

“เชอะ ไม่พูดหรือ ดูแล้วในหมู่ของพวกเจ้านี้จะต้องมีคนของศาลาความลับแห่งสวรรค์อยู่ คนก่อนหน้านี้เมื่อถามก็ตอบว่าไม่ใช่กันหมด ในเมื่อไม่พูดข้าก็ไม่รู้ว่าจะให้มีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร” คนนั้นพูดอย่างมีเหตุผล ได้ยินเพียงแค่เสียงที่ดังออกมาแต่กลับไม่เห็นตัว แต่ว่าทุกคนก็รู้ว่าเขาจะต้องอยู่ข้างหลังหมาป่าโลหิตพวกนั้นแน่นอน

ไน่เหอฮวนหัวคิ้วตกลง เดินไปมองด้านชายชุดดำ พูดกับเขาเบาๆ พูดอะไรบางอย่างถึงจะหันไปพูดกับฝ่ายตรงข้าม ถึงจะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นต้องการอะไร

“พวกเราทั้งหมดเป็นคนของศาลาความลับแห่งสวรรค์ เจ้าเป็นใคร มาก่อความวุ่นวายให้ศาลาความลับแห่งสวรรค์เพื่ออะไร” บุรุษชุดดำพูดเสียงดังทะลุหมอกหนาออกไป

“ยังใช่จริง แต่ว่าเจ้าพูดข้าก็จะเชื่องั้นรึ ใครจะโง่ขนาดนั้น ในเมื่อเป็นคนของศาลาความลับแห่งสวรรค์เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้วพาพวกข้าไปศาลาความลับแห่งสวรรค์ ที่นี่มันติดตั้งค่ายกลผีอะไร ยากจนข้าออกจากที่นี่ไม่ได้มาทั้งวัน แต่ว่าความอดทนของข้าก็มีไม่มากด้วยสิ ข้าให้เวลาเจ้าสิบห้านาที ข้าจะต้องถึงศาลาความลับแห่งสวรรค์ อย่าพูดว่าเป็นไปไม่ได้ ข้ารู้ว่าศาลาความลับแห่งสวรรค์อยู่ไม่ไกลจากที่นี่”

มีคนคนหนึ่งที่ค่อยๆเดินออกมาจากหมอกหนา รูปร่างของเขาสูงใหญ่ เขาใส่หน้ากากผีบนหน้า มองเห็นเพียงแค่ดวงตาที่มืดครึ้มหนาวเย็นเหมือนงูคู่หนึ่ง มือของเขามีผิวที่เรียบลื่น มองปราดเดียวก็รู้เลยว่าเป็นวัยรุ่นคนหนึ่ง ยิ่งได้ฟังน้ำเสียงของเขาเวลาพูดแล้ว ดูได้ไม่ยากเลยว่าอายุยังไม่เยอะ

คนนั้นเดินเข้ามาหาพวกเขา กวาดตามองครั้งหนึ่งหลังจากนั้นก็หยุดอยู่ที่หลินซินเยียน ใต้หน้ากากนั้นซ่อนรอยยิ้มของเขาเอาไว้ “โอ้โฮ ที่นี่ยังมีสาวสวยอยู่ด้วย คนของศาลาความลับแห่งสวรรค์ก็ชอบสาวสวยด้วยหรือ นี่ ข้าบอกให้นะสาวสวย คนส่วนใหญ่ของศาลาความลับแห่งสวรรค์เป็นคนอายุมาก เจ้าเป็นผู้หญิงขึ้นมาทำอะไรที่นี่ ไม่อย่างนั้นเอาตามที่ข้าว่าแล้วกันมาอยู่กับพวกข้า วันๆมีของดีๆให้กิน ชีวิตดีไม่ลำบาก แถมยังได้ปรนนิบัติหนุ่มแข็งแกร่งทั่วฟ้า เป็นอย่างไรเล่า ”

หลินซินเยียนยกมุมปาก สำหรับคนที่ไม่แม่แต่จะปิดบังคำพูดลวนลามอย่างเขาแล้ว นางไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เพิกเฉย ไม่อยากจะไปมองคนคนนั้น

คิดดูตอนนี้ ทุกครั้งที่โม่จื่อเฟิงลวนลามนาง เขาจะมีรอยยิ้มหยอกเย้านิดๆ เวลาพูดนั้นดูเหมือนประมาท แต่ก็มักจะทำให้คนไม่ได้รู้สึกถึงความประมาทเลยสักนิด

ถึงกระนั้น นี่คงเป็นความแตกต่างหลังจากที่ได้มีสัมผัสใกล้ชิด หลังจากที่ทั้งสองคนมองกันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว หลายๆเรื่องราวก็เปลี่ยนเป็นไม่เหมือนเดิม

หลินซินเยียนพลันพบว่าหลายวันมานี้ตนเองคิดถึงโม่จื่อเฟิงอยู่บ่อยครั้ง เมื่อคิดอย่างละเอียด ดูเหมือนว่านอกจากเรื่องทำนองนั้นเขาก็ทำเรื่องบางอย่างล้ำเส้นมากไปนิดหน่อย หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยได้ขอโทษนางในเรื่องนั้นเลย

นางเป็นคนที่ได้รับแนวโน้มเหี้ยมโหดหรือ นึกไม่ถึงหรือว่าเรื่องแบบนั้นนางจะยกโทษให้ได้ทั้งหมด

“เฮ้ย ผู้หญิงน่าตายคนนี้ ข้ากำลังพูดอยู่ สติของเจ้าหลุดลอยไปไหน หรือว่า เจ้ากำลังคิดถึงชายคนอื่น” ชายที่สวมหน้ากากอยู่นั้นกลืนความโกรธลงไปไม่ได้ เหมือนกับว่าปีศาจกำลังจ้องมาที่หลินซินเยียน

หลินซินเยียนค้อนปะหลับปะเหลือกอย่างทนไม่ได้ ขี้คร้านจะคุยกับเขา

นางคิดถึงชายคนหนึ่งหรือ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาเล่า

“เจ้ากล้าค้อนข้าหรือ” ชายที่สวมหน้ากากโกรธมาก ไม่รู้ว่าอะไรไปแหย่ถูกเส้นประสาทของเขา เพียงแค่เห็นว่าเขาโกรธคนสองมือสั่นเทา หลังจากนั้นก็หยิบเครื่องดนตรีหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายน้ำเต้าออกมาจากอกเสือ หลังจากนั้นก็เป่าลม

หมาป่าโลหิตที่ก่อนหน้านี้รออยู่ พอได้ยินเสียงเพลงพริบตาหนึ่งก็กระโจนตัวเข้ามาหาพวกเขา เหมือนเสือที่กำลังล่าเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น ทั้งโหดร้ายและเฉียบขาด ทำให้ถ้าท่านไม่ตายก็ต้องตัดสินใจทำให้มันตายเท่านั้น

“อ๊ะ”

หลินซินเยียนยังไม่ทันได้เรียก ก็ได้ยินเสียงร้องของอู๋หมิงที่มาจาก้านข้างจนแก้วหูแทบแตก เสียงเรียกของอู๋หมิงทั้งกังวานและทั้งโอ้อวด เสียงโอ้อวดนั้นแต่เดิมเป็นเสียงที่หวาดกลัวของหลินซินเยียน นางอ้าปากค้าง แต่กลับไม่มีเสียงดังออกมา

บางทีอาจเป็นเพราะเสียงเรียกของเขากระตุ้นสันดานสัตว์ หมาป่าโลหิตเหล่านั้นจึงได้กระโจนเข้ามาทางเขา เขาต่อสู้ไม่เป็น ถึงแม้ว่าบุรุษชุดดำกับเพื่อนจะพุ่งตัวไปก่อนแล้วแต่ก็ไม่สามารถขวางเจ้าหมาป่าโลหิตพวกนั้นได้ หมาป่าโลหิตตัวหนึ่งในนั้นก็งับขาของเขาไว้แน่น

เสียงฉีกเนื้อดังขึ้นหนึ่งครั้งทำให้คนเสียวสันหลังวาบ

หลินซินเยียนไม่ทันได้รู้สึกตัวจนกระทั่งรู้สึกได้ถึงเลือดสดร้อนๆที่กระเด็นมาบนหน้าของนาง นางตกใจจนเบิกตากว้าง ตาของนางจ้องมองหมาป่าโลหิตที่กำลังจะกระโจนเข้ามาหานาง

แต่ว่าไน่เหอฮวนที่จะดูมีพละกำลังมากกว่าคนของศาลาความลับแห่งสวรรค์นั้น แม้กระทั่งหัวคิ้วของเขาก็ไม่ยับย่น มีดที่อยู่ในมือเขาตัดคอหอยของหมาป่าไปแล้วสามตัว ทุกการโจมตีหนึ่งครั้งเป็นการเอาชีวิตหนึ่งชีวิต แม่นยำรอบคอบยิ่งนัก

การเคลื่อนไหวของเขาสุขุมเยือกเย็น ไม่มีท่าทีเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่ลงมีด ราวกับว่าการคร่าหนึ่งชีวิตนั้นไม่ได้มีความหมายใดๆสำหรับเขา

ไม่รู้ว่าเหตุใด หลินซินเยียนพลันนึกขึ้นได้ว่า คนที่อยู่ตรงหน้านี้จะต้องฆ่าคนมาแล้วนับไม่ถ้วน เวลาที่เขาฆ่าคนจะเหมือนตอนนี้หรือไม่นะ แม้แต่หัวคิ้วก็ไม่ยับย่นด้วย

หมาป่าโลหิตที่โหดร้าย คนของศาลาความลับแห่งสวรรค์สองคนที่ที่ช่วยกันขัดขวางหมาป่าได้รับบาดเจ็บช่วงบนกันทั้งคู่ ทั้งสองคนเริ่มรู้สึกหมดหวัง หลังจากนั้นก็มองมาที่ไน่เหอฮวนกลับรู้สึกตกใจที่ว่ามีหมาป่าโลหิตนอนตายอยู่ใต้เท้าของไน่เหอฮวนสิบตัวแล้ว

พวกเขาหน้าถอดสี กลัวเสียยิ่งกว่าเจอหมาป่าสีเลือดพร้อมๆกัน พวกเขาร่ำเรียนการต่อสู้ที่ศาลาความลับแห่งสวรรค์ก็นับว่าโดดเด่นแล้ว ในอาณาจักรหนานเยว่นั้นถือว่าพวกเขาเป็นแนวหน้าเลยก็ว่าได้ แต่ว่า พวกเขาทั้งสองคนช่วยกันยังฆ่าหมาป่าโลหิตตัวหนึ่งยังไม่ได้เลย ทำได้แค่ต่อต้านและลดการบาดเจ็บลงก็เท่านั้น แต่ว่าไน่เหอฮวน บนตัวของเขานั้นไม่มีร่องรอยการได้รับบาดเจ็บใดใดเลยหรือ

คนที่สามารถมีระดับการต่อสู้เช่นนี้ได้ ใช้นิ้วมือนับยังได้เลย แต่ว่า แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้ยินชื่อของไน่เหอฮวน

คนที่สวมหน้ากากอยู่นั้นมองหมาป่าโลหิตของตัวเองนอนจมกองเลือด ในตาคู่นั้นของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อสายตา เขาวางเครื่องดนตรีคล้ายน้ำเต้าที่อยู่ในมือลง และคำรามว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่”

เสียงที่ตอบเขากลับมาเป็นเพียงเฮอะเสียงเย็น และเป็นหัวของหมาป่าที่บินไปหาเขา

ได้ยินเพียงแค่เสียงเย็นของไน่เหอฮวนว่า “ดูเหมือนว่าครั้งนี้ที่เจ้าพาหมาป่าโลหิตของเจ้ามาเยอะขนาดนี้เชียวหรือ ข้าอยากจะฆ่าจนเปรี้ยวปาก หัวของหมาป่าตัวนี้ดูแล้วคงจะต้องเลี้ยงมามากกว่าห้าปีสินะ ข้าฆ่าไปเยอะขนาดนี้ เจ้าเจ็บใจหรือไม่เล่า”

“เจ้า เจ้า” ชายที่สวมหน้ากากมองมาที่ไน่เหอฮวนอย่างหวาดกลัว “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

ไน่เหอฮวนปิดปากเงียบ ราวกับว่าเพื่อที่จะยืนยันตัวเอง เขาลงมีดอีกครั้งก็ปาดคอหอยของหมาป่าโลหิตอีกตัว “เจ้ายังมีหมาป่าโลหิตอีกกี่ตัว ลองเรียกมาพร้อมกันทั้งหมดเลยไหม”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต