สรุปตอน ตอนที่132 ลมหายใจเฮือกสุดท้าย – จากเรื่อง ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต โดย ใบไม้แดง
ตอน ตอนที่132 ลมหายใจเฮือกสุดท้าย ของนิยายโรแมนซ์เรื่องดัง ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต โดยนักเขียน ใบไม้แดง เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่132 ลมหายใจเฮือกสุดท้าย
บ่าวรับใช้เอียงศีรษะขบคิดเล็กน้อย ขมวดคิ้วถาม “ดูเหมือนว่าจะเป็นสองวันก่อนตอนที่ท่านเยว่เชื่อมั่นในตัวแม่นางและรับอาสาเป็นผู้ถูกประมุขจับกุมแทนแม่นาง เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว พวกเราล้วนแต่เลื่อมใสท่านเยว่ยิ่งนัก ในยามปกติพวกเราคิดว่าอารมณ์ของท่านแปลกประหลาด ซ้ำยังรู้สึกว่าท่านจะกวดขันกับลูกศิษย์ของตนเสียอีก นึกไม่ถึงว่าท่านจะมีเมตตาถึงเพียงนี้ แม่นางเพิ่งจะเข้ามาในสำนักไม่กี่วัน ท่านก็ทำเพื่อแม่นางได้อย่างเต็มใจ”
“ถูกต้อง ท่านอาจารย์แท้จริงแล้วเป็นผู้มีเมตตายิ่งนัก” นัยน์ตาของหลินซินเยียนหรี่แววทอประกาย
บ่าวเอ่ยขึ้นอย่างกระฉับกระเฉงพร้อมกล่าวพลางแย้มยิ้ม “มีท่านเยว่ออกรับแทนแม่นางนับว่าดีไม่น้อยแล้ว แม่นางเป็นหญิงสาวลำพังถูกจับตัวไปคงมิอาจทานทนความทรมานเช่นนั้นได้แน่ แต่ท่านเยว่ไม่เป็นเช่นนั้น ท่านคือวีรบุรุษแห่งศาลาความลับแห่งสวรรค์ เป็นผู้อาวุโสสูงสุด นับว่าท่านถูกจับกุมก็ไร้คนกลุ้มใจ ตอนนี้เถิด เพียงคาดหวังว่าเจ้ากบฏตัวจริงจะถูกจับกุมได้ในเร็ววัน เท่านี้ทุกคนก็ปรีติกันถ้วนหน้าแล้ว”
ที่แท้แล้ว ประชากรในศาลาความลับแห่งสวรรค์ล้วนคิดเอาเองว่าท่านเยว่ถูกจองจำนั้นมิใช่เรื่องเดือดร้อนอันใด ทุกคนติ๋งต่างกันเองว่าประเดี๋ยวเรื่องนี้ก็คงผ่านไป
“เจ้าก็เชื่อว่าข้าไม่ใช่กบฏตัวจริงอย่างนั้นหรือ”ท่านเยว่ซึ่งเป็นอาจารย์ของนางเชื่อมั่นในตัวนางนับว่าสมเหตุสมผล ทว่านางกับบ่าวผู้นี้รู้จักเพียงแค่หน้าค่าตา คนๆ นี้ก็เชื่อในความบริสุทธิ์ของนางหรือ นี่ก็ทำให้หลินซินเยียนอดแคลงมิได้
บ่าวสวนพฤกษ์หัวเราะร่า “ข้ามิได้เชื่อท่านหรอกแม่นาง แต่ข้าก็เชื่อท่านซื่อไห่ ท่านซื่อไห่ว่าแม่นางมิใช่คนประเภทนั้นท่านก็ย่อมมิใช่คนประเภทนั้น เกียรติคุณของท่านซื่อไห่ในศาลาความลับแห่งสวรรค์แห่งนี้เป็นที่ยอมรับกันนัก คนที่สามารถทำให้ท่านเห็นพ้องได้มีไม่มีคนนักหรอก”
หลินซินเยียนแย้มรอยยิ้ม นึกขอบใจความไว้วางใจของบ่าวผู้นี้ พลางมองไปยังเฝิงซื่อไห่ซึ่งกำลังอยู่ในห้วงนิทราลึก เกรงว่าน้ำเมรัยนี้จะทำให้เขาไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้ภายในวันนี้แน่ นางถอนหายใจหนึ่งเฮือกแล้วจึงกล่าวอำลาจาก
ออกจากสวนพฤกษ์ของเฝิงซื่อไห่แล้ว นางขบคิดซ้ำ ในเมื่อยามดึกต้องปฏิบัติภารกิจ เช่นนั้นควรไปพบกับโม่จื่อเฟิงเพื่อหารือกับเขาให้เรียบร้อยเสียก่อน ในเมื่อเขาก็รับผิดชอบหน้าที่เรื่องของศาสตร์ป้องกันตัวอยู่แล้ว หากว่าได้รับความช่วยเหลือจากเขาแล้ว ภารกิจในยามดึกนี้คงราบรื่นขึ้นเป็นกอง
แต่ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ คนที่นางอยากจะเจอตัวกลับไม่ได้เจอสักคน นางมาถึงหน้าสวนพฤกษ์ของอวิ๋นเทียนสี่ เดินไปทางผู้เฝ้าประตูเพื่อสอบถามข่าวคราวของไน่เหอฮวน ทว่าผู้เฝ้าประตูกลับมองนางด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรนัก หนำซ้ำยังกล่าวว่ามิให้นางมาวอแวอีก
บุคคลที่ถูกขับไล่ไสส่งเช่นนั้นนั้นอารมณ์เย็นลงเล็กน้อย เวลาเช่นนี้โม่จื่อเฟิงไม่อยู่ในสวนพฤกษ์ แล้วเขาจะไปที่แห่งใดได้อีก
มิได้การแล้ว นางจำเป็นต้องกลับไป คำนึงถึงศิษย์พี่ทั้งสองซึ่งหลับมาทั้งวันจะต้องหิวแล้วเป็นแน่ ดังนั้นต้องเข้าครัวไปทำอาหารเย็นทันทีทันใด
ยามค่ำคืนมาเยือน ตอนที่ท้องฟ้ามืดสนิทลง ศิษย์พี่ทั้งสองก็ตื่นจากห้วงนิทรารมย์
ทั้งสามอยู่ในห้องอาหารด้วยกัน ทานข้าวไปพลางอภิปรายภารกิจในค่ำคืนนี้ไปพลาง หากแต่ว่าเพิ่งจะทานข้าวไปได้เพียงครึ่ง ประตูสวนพฤกษ์ก็ถูกเคาะเสียงดัง
หลินซินเยียนวางอุปกรณ์สำรับอาหารลงพลางไปเปิดประตู เมื่อประตูเปิดออกก็พบกับโม่จื่อเฟิงซึ่งหัวคิ้วขมวดเป็นปมแน่น จ้องนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หัวใจของนางหยุดเต้นชั่วขณะ ทันใดนั้นลางสังหรณ์ที่ไม่ดีพลันแล่นเข้ามาสู่กลางใจ
“เกิดอันใดขึ้นกับท่านอาจารย์ใช่หรือไม่” หลินซินเยียนกัดฟันถาม
โม่จื่อเฟิงเคร่งขรึมขึ้น พลางผงกศีรษะ
หลินซินเยียนเกรงว่าจะมีคนมองความสัมพันธ์ของทั้งสองออกจึงรีบร้อนดึงเขาเข้ามาภายในสวนพฤกษ์ ปิดประตูสนิทจึงค่อยเอ่ยถามด้วยความร้อนรน “เกิดเหตุอันใดขึ้นกันแน่ ท่านรีบบอกข้ามาเถิด!”
ความวิตกของนางทำให้เซียวฝานและอู๋อี้ที่อยู่ในห้องอาหารเห็นแล้วก็พลอยตกใจตามไปด้วย ทั้งสองรีบจ้ำอ้าวออกมา นัยน์ตามองสำรวจหลินซินเยียนที่ยังคงจับมือหนาของโม่จื่อเฟิง ดวงตาของทั้งสองฉายแววพิศวง แต่ยังมิทันได้ถามอันใดโม่จื่อเฟิ่งก็เอ่ยปากพูดเสียก่อน
หลินซินเยียนไม่สบอารมณ์ปะทะฝีปากกับเขา ทำเพียงแค่กัดเรียวปากล่างร้องไห้เงียบๆ นางไม่สามารถปล่อยริมฝีปากล่างได้ หากทำเช่นนั้นนางกลัวเหลือเกินว่าจะควบคุมอาการร้องไห้คร่ำครวญของตัวเองไม่อยู่
เซียวฝานและอู๋อี้ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นเซียวฝานกำหมัดแน่นด้วยความโมโห ชี้ไปที่ปลายจมูกของโม่จื่อเฟิงแล้วตะโกน “เจ้าบอกว่าตาแก่ใกล้ตายแล้วพวกข้าก็จะเชื่ออย่างนั้นเชียวหรือ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนของอวิ๋นเทียนสี่เจ้าคนตายยากจิตใจเหี้ยมโหดผู้นั้นมาเพื่อปั่นหัวพวกข้า พวกข้าไม่เชื่อ ศิษย์น้องเจ้าก็อย่าไปฟัง”
“ใช่ พวกข้าไม่เชื่อหรอก ตาแก่จะถูกคนทำร้ายจนตายได้ง่ายดายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ อวิ๋นเทียนสี่บังอาจรึ” อู๋อี้ก็เออออด้วย
โม่จื่อเฟิงกระแอมไอเสียงเย็น กับเจ้าผู้ชายสองคนนี้เขามิได้มีความอดกลั้นมากพอขนาดนั้น “เหตุใดจะมิกล้า รอบสารทิศล้วนมีแต่คนของเขาทั้งสิ้น เมื่อถึงเวลาก็เพียงโบ้ยเรื่องที่ท่านเยว่ถูกฆ่าให้เป็นความผิดของเจ้าพวกกบฏนั่นเสีย ใครหน้าไหนจะกล้าขัดได้ คนรอบตัวของท่านเยว่ก็ถูกเขาจับขังนิรโทษกรรมหมด ไม่นานผู้คนก็เลิกให้ความสนใจแล้ว เขาอยากทำการสิ่งใดนับว่ามิใช่เรื่องง่ายดายหรอกหรือ”
“พวกข้าไม่เชื่อ ศิษย์น้อง คนผู้นี้ก็เพิ่งจะเข้ามาในศาลาความลับแห่งสวรรค์ได้ไม่นาน คำพูดของเขาไม่นับว่า...”
เซียวฝานเอ่ยยังไม่ทันจบก็เห็นหลินซินเยียนยกมือขึ้นเช็ดหยาดน้ำตา “ศิษย์พี่ ที่เขาพูดเป็นความจริง ที่เขาพูด ข้าเชื่อ”
“พวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ อย่างไรเสียก็ไม่เกี่ยวกับข้า” โม่จื่อเฟิงปรับสีหน้าราบเรียบ ประคองกอดหลินซินเยียนขึ้นมาพลางเดินออกไปข้างนอก
หลินซินเยียนผงะ นึกอยากขัดขืน ทว่าเพียงแค่ขยับเขยื้อนก็ได้ยินเสียงเย็นชาของเขาดังขึ้นจากปลายศีรษะ “หากเจ้าอยากพบท่านเยว่เป็นครั้งสุดท้ายล่ะก็ จงเชื่อฟังข้าแต่โดยดี”
เขากล่าวเช่นนี้ หลินซินเยียนไม่กล้าขยับขึ้นมาทันใด เพียงแค่เหลือบมองเซียวฝานและอู๋อี้ที่อยู่ข้างหลังด้วยสีหน้าปั้นยาก ขบคิดสักพักใหญ่จึงค่อยกล่าวออกมา “สามารถนำพวกเขาไปพบด้วยกันได้หรือไม่” นางรู้ เวลาเช่นนี้หากศิษย์พี่ทั้งสองไม่สามารถพบหน้าท่านอาจารย์เป็นครั้งสุดท้ายได้แล้วล่ะก็ คงจะทิ้งตราบาปแสนรวดร้าวไปตลอดชีวิตเป็นแน่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต
ลูกหาย5555...
นางเอกเป็นพวกชอบความเจ็บปวด อ่านแล้วเหนื่อย เหมือนเราเห็นชีวิตคู่ผัวซ้อมเมีย แล้วอยากจะช่วยให้เค้าออกมา ผู้หญิงบอกไม่ต้อง เค้าถูกจริตแบบนี้ สงสารน้องชาย ช่วยมาก็จริง ทุกคืนต้องมานอนฟังอีผัวเมียคู่นี้มันทำร้ายกัน ป่วยจิตสุดๆ...
ทำไมนางเอกไม่คิดประกิษฐ์อาวุธไว้ป้องกันตัวเลยสักที เจอเหตุร้ายตลอดแต่ไม่เคยคิดปกป้องตัวเอง แล้วบอกว่าเป็นนักสร้างอาวุธนี่นะ...