ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต นิยาย บท 256

ตอนที่ 256 ให้เจ้าไปดู

“ เวลากระชั้นชิด ดังนั้นเรือนเล็กนี้ไม่ทันได้ซ่อมแซม ฮูหยินโปรดเมตตา ” จินมู่ยืนอยู่ห้องโถง สั่งให้สาวใช้ที่อยู่ข้างๆไปยกเก้าอี้มา

ตรงกลางห้องได้วางโลงศพของชิงจู๋ ด้านหน้าของโลงได้จัดวางเทียน กระดาษเงิน และผลไม้ที่เป็นของเซ่นไหว้

หลินซีนเยียนยืนอยู่ตรงกลางห้องโดนไม่ขยับไปไหน สายตาของเธอมองไปบนโลงศพ แล้วโค้งคำนับไปหนึ่งที ตอนที่เธอทำ คนที่อยู่รอบๆก็รีบทำตามทันที

“ ชิงจู๋ ขอโทษที่ทำให้เจ้าเข้ามาพัวพันด้วย ” หลินซีนเยียนสะอื้นเอ่ยประโยคหนึ่ง ท่ามกลางสายตาของหลายคนที่มองมาอย่างแปลกใจ เธอก็ค่อยๆคุกเข่าลง

บนพื้นมาฝุ่นมาก พริบตาเดียวก็ทำให้ชุดสีขาวของเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นให้ความรู้สึกไม่สบายตานัก เธอกลับไม่รู้สึกอะไร เพียงหันหน้าไปพูดกับจินมู่ “ คืนนี้ข้าจะเฝ้าศพชิงจู๋ รบกวนหัวหน้าจินมู่เตรียมเตาผิงในที่นี่ให้ด้วย ”

ที่จริง ในใจของจินมู่คิดมาตลอดว่านางบอกจะเฝ้าศพก่อนหน้านี้ เป็นแค่ลองเชิงกับท่านอ๋อง หรือจัดห้องป้ายวิญญาณแล้วจัดของมาเซ่นไหว้เท่านั้น เพียงแค่นี้ก็เป็นบุญกุศลของทาสคนหนึ่งแล้ว แต่เขาไม่คิดว่าที่นางบอกจะเฝ้าศพ กลับเป็นเฝ้าศพจริงๆ

สาวใช้มองหน้ากัน เพราะก่อนหน้าที่หัวหน้าจินมู่ได้สั่งให้พวกนางมาเฝ้าศพแทนฮูหยินในคืนนี้ พอฮูหยินคุกเข่าลงเช่นนี้ แล้วพวกนางควรจะทำเช่นไร

จินมู่ขมวดคิ้ว ผ่านไปพักหนึ่งไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี เพียงมองความดื้อรั้นของหลินซีนเยียนกลับไม่คล้ายกับความดื้อรั้น ครุ่นคิดอยู่ เขาก็เอ่ยอีกครั้ง “ ฮูหยิน เช่นนั้นก็ให้สาวใช้อยู่กับเพื่อนท่านแล้วกัน ค่ำคืนอีกยาวไกล ไว้มีคนคอยพูดคุยด้วย ”

หลินซีนเยียนเงยหน้าขึ้น จ้องเขาตาไม่กระพริบ จ้องจนทำให้จินมู่ใจไม่สู้ดี แล้วเธอก็ละสายตาออก ส่ายหน้าแล้วตอบกลับ “ ไม่ต้อง ชิงจู๋เป็นคนรักสงบ มีข้าก็พอแล้ว นางคงไม่หวังให้มีคนแปลกหน้ามามองนางอย่างอึดอัดในที่นี่หรอก ”

สาวใช้เหล่านั้นต่างแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วเดินจากไปตามคำสั่งของจินมู่ ไม่นานเตาผิงก็ยกเข้ามาแล้ว

หลินซีนเยียนยังคงคุกเข่า สายตามองไปยังแสงเทียนที่ขยับพลิ้วไหวอยู่ตรงหน้า ความคิดของเธอกลับยุ่งเหยิงไปหมด

จินมู่เห็นนางเฝ้าศพอย่างแน่วแน่ ก็รู้สึกไม่วางใจ จึงสั่งไปให้เรียกมู่เหอมา มู่เหอรู้งานดีจึงรีบเข้าไปหาแล้วคุกเข่าลง

“ ฮูหยิน ท่านยังไม่ทานพระกระยาหารเย็น เช่นนั้นให้ข้าไปโรงครัวแล้วทำมาแล้วท่านทานดีหรือไม่?” มู่เหอเห็นนางไม่เคลื่อนไหว ราวกับใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้า ทนไม่ไหวที่จะหาคำพูดมาเปลี่ยนความตั้งใจของนาง

หลินซีนเยียนได้สติคืนหลังจากเงียบมาระยะหนึ่ง ส่ายหน้า “ มู่เหอ เจ้ารู้ประวัติของชิงจู๋หรือไม่? นางยังมีญาติเหลืออยู่ในโลกใบนี้หรือไม่?”

มู่เหอตะลึงงัน ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงเอ่ยถามเช่นนี้ แต่ก็ตอบกลับอย่างสัตย์จริง “ พี่สาวชิงจู๋ ตอนที่อายุ 5 ขวบก็ถูกทอดทิ้ง ท่านอ๋องไปเจอกลางเขาก็พากลับมา วรยุทธ์ของพี่สาวชิงจู๋ก็ได้ร่ำเรียนหลังจากมาอยู่จวนอ๋อง พี่สาวชิงจู๋ก็เป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่ง......”

“เด็กกำพร้าหรือ....” หลินซีนเยียนฟังแล้วก็ยิ่งโศกเศร้าเข้าไปอีก อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวออกมา

จากนั้นทั้งสองก็เงียบลง ลมกลางคืนหนาวเหน็บ จินมู่ได้ผละตัวออกไปหาโม่จื่อเฟิงนานแล้ว ในห้องโถง มีเพียงมู่เหอที่เฝ้าศพเป็นเพื่อนหลินซีนเยียนอย่างเงียบสงบ

ในห้องบรรทมเรือนหลัก คนใช้เข้าไปเติมถ่านในเตาผิงแล้วก็เดินจากไป

โม่จื่อเฟิงนั่งอุ้มวี่จิ่งอยู่บนตั่งนุ่มๆ วี่จิ่งนอนหลับปุ๋ยไปนานแล้ว ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย

จินมู่เพิ่งกลับมาจากเรือนเล็กที่อยู่ห่างไกล คุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วรายงานเรื่องของหลินซีนเยียนให้กับโม่จื่อเฟิง

“ นางเฝ้าศพให้นางทาสคนหนึ่ง.....” ตอนที่เอ่ย โม่จื่อเฟิงยังแค่นเสียงเยาะเย้ย “ จินมู่ เจ้าว่านางเล่นละครให้ใครดูหรือ? ”

คิ้วของจินมู่กลับขมวดติดกัน “ ท่านอ๋อง จินมู่กลับคิดว่าฮูหยินไม่ได้เล่นละคร นางเพียงเฝ้าศพเพื่อชิงจู๋”

“ เพื่อสาวใช้คนหนึ่ง ” โม่จื่อเฟิงส่ายหน้า รอยย่นบนใบหน้ากลับคลายลงหลายส่วน พอคิดย้อนกลับไปในตอนที่พบนางในถ้ำภูเขายามเช้า ในใจของเขาราวกับมีไฟลุกโชนขึ้นมา นางพูดไม่หยุดว่าไม่ได้เตะต้องอะไรนางเลย เป็นไปได้หรือ? เขาไม่เชื่อ!

“ ฮูหยินไม่เหมือนกับผู้อื่น จินมู่คิดว่าในสายตาของฮูหยิน ไม่ได้เห็นว่าเป็นสาวใช้หรือทาส คล้ายกับในใจของนางเห็นว่าคนก็คือคน ”แต่ก่อนจินมู่ไม่กล้าต่อปากต่อคำกับโม่จื่อเฟิง แต่ได้ติดตามมาเป็นเวลานาน เขากลับทนไม่ไหวที่จะพูดเพื่อหลินซีนเยียนสักประโยค

โม่จื่อเฟิงจ้องไปยังจินมู่ด้วยความแปลกใจ แต่ก็ผ่อนลงทันที “ ย่อมไม่เหมือนกัน ”

เขาลุกขึ้นยืนส่งวี่จิ่งที่หลับปุ๋ยให้จินมู่ ตนเองก็เปิดประตูแล้วเดินออกไป จินมู่อยากจะถามว่าเขาจะไปที่ใด แต่เขาเดินไปเร็วมาก จินมู่ยังไม่ทันได้เอ่ยก็ไม่เห็นเงาของเขาแล้ว

ในห้องป้ายวิญญาญ มู่เหอที่เฝ้าไปสองชั่วยามแล้วก็อ้าปากหาวหวอดหนึ่ง พลันหันไปมองเงาคนที่ยืนอยู่หน้าประตู ตกใจจนเกือบร้อง แต่ยามที่จะร้องกลับรีบเอามือปิดปากตนเองอย่างหวาดกลัว

โม่จื่อเฟิงโบกมือปัดให้เขา มู่เหอก็ลุกขึ้นแล้วถอยออกไปจากด้านนอกห้อง

เมื่อหลินซีนเยียนรู้สึกสายตาเยือกเย็นจากด้านหลังก็ไม่ได้หันกลับไป ตอนที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาดังขึ้น ก็เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ ท่านไม่เชื่อใจข้าขนาดนั้นเลยหรือ?”

“เชื่อใจหรือ? ” โม่จื่อเฟิงเดินมาด้านข้างของเธอ โค้งตัวลงมาบีบคางของเธอ บังคับให้เธอหันมามองตนเอง “ ไม่ใช่ข้าไม่เชื่อเจ้า เพียงเปิ่นเหวางไม่เชื่ออู๋จิ้น ”

เธอแปลกใจจ้องเขาไม่กระพริบตา รอให้เขาอธิบาย

เขาไม่พูด ซ้ำยังดึงเธอให้ลุกขึ้นยืนแล้วพาเดินออกไปด้านนอก

“ ท่านอยากจะทำอะไร?” เขาจับอย่างแน่นหนา หลินซีนเยียนออกแรงแค่ไหนก็สลัดไม่ออกเลยสักนิด เพียงเดินตามเขาอย่างทุลักทุเล

“ ข้าจะพาเจ้าไปดู ว่าทำไมข้าถึงไม่เชื่อ!” ตอนที่พูด โม่จื่อเฟิงใช้มือข้างหนึ่งจับไหล่ของเธอ แล้วผ่านกระโดดขึ้นไปบนหลังคา เมื่อรอให้เธอได้สติ โม่จื่อเฟิงก็พาเธอเหาะขึ้นไปยังบนตึกแห่งหนึ่ง

ผ่านไปไม่นาน ในที่สุดโม่จื่อเฟิงก็มาหยุดตรงหอโคมเขียวทางใต้ของเมืองเฟิ่งซีแห่งหนึ่ง ยามดึกเป็นช่วงเวลาที่หอโคมเขียวครึกครื้นที่สุด เหล่าแม่นางที่อยู่หน้าประตูต่างโบกมือเรียกแขกอย่างสุดชีวิต เสียงอึกทึกก็ดังมาจากในหอโคมเขียว

เมื่อโม่จื่อเฟิงพาหลินซีนเยียนไปยังด้านหลังของคอโคมเขียว ก็พาเธอไปยังศาลาแห่งหนึ่ง ระหว่างนั้นเขาก็ยื่นมือไปตบเสา โต๊ะหินที่อยู่ในศาลาเริ่มจมลง จากนั้นก็เกิดเป็นทางเดินลงไป

สองฝั่งของทางเดินล้วนจุดตะเกียงน้ำมัน เปลวไฟพลิ้วไหวไปมาดับๆติดๆ ทำให้รู้สึกว่าทางเดินนี้มันลึกแค่ไหน ท่ามกลางความสลัวๆ มีกลิ่นคาวเลือดพัดโชยมา

กลิ่นคาวเลือดนั้นได้นำความเหม็นที่น่าสะอิดสะเอียนมาด้วย ทำให้หลินซีนเยียนต้องปิดจมูกตามสัญชาตญาณ

“ ตามมา! ” โม่จื่อเฟิงเดินนำอยู่ข้างหน้า แล้วหันกลับมากระชากมือเธออย่างรุนแรง

หลินซีนเยียนจึงเดินไปอย่างทุลักทุเลจนล้มลงแล้วเข่าก็ไปกระแทกกับขั้นบันไดหิน เธอเจ็บจนสูดลมหายใจเข้าไปที

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต