ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต นิยาย บท 262

ตอนที่ 262 รีบทำเวลา

“ ผูกขาด? คำนี้ดูเหมาะสมมาก ” โม่จื่อเฟิงได้ฟังคำแปลกๆสองคำที่พ่นออกมาจากปากของเธอ รู้สึกสงสัย แต่ไม่ได้ไต่ถาม ความสงสัยนั้นเพียงอยู่แค่ในดวงตาราวกับยากที่จะเข้าใจ “ ดังนั้น เจ้าควรจะรู้ว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นศูนย์กลางของแคว้นหนานเยว่ ถึงแม้จะเป็นเขา แต่หลายปีมานี้ก็สามารถควบคุมได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ”

เขาในคำพูดของโม่จื่อเฟิงเป็นโม่จื่อยี่ ผู้ปกครองแคว้นหนานเยว่

ดังนั้น พวกเขาส่งเธอเข้าคลังอาวุธทางการหทาร เป้าหมายนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่

ฟังโม่จื่อเฟิงกล่าวต่อ “คลังอาวุธทางการทหารมีตระกูลหนึ่งควบคุมอยู่ ตั้งแต่เริ่มเปิดประเทศ ตระกูลนี้มีหน้ารับผิดชอบสิ่งของทั้งหมดของอาวุธยุทโธปกรณ์ทางการทหาร พวกเขาซื่อสัตย์กับฮ่องเต้ทุกรัชสมัย แต่กลับไม่เชื่อฟังทั้งหมด กระนั้นมีข่าวลือว่า หากได้พบว่าฮ่องเต้สติฟั่นเฟือน พวกเขาก็สามารถช่วยแต่งตั้งฮ่องเต้ใหม่ได้ แน่นอนว่าฮ่องเต้ใหม่คนนี้ก็ต้องมาจากตระกูลโม่ ”

เมื่อหลินซีนเยียนยิ่งฟัง คิ้วก็ขมวดติดกันแน่น ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ “ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ยังมีตระกูลเช่นนี้อยู่ บรรพบุรุษตระกูลโม่ของพวกท่านก็ยังใจใหญ่พอ ส่งมอบแผ่นดินให้ในมือของพวกเขาครึ่งหนึ่ง หากมีคนในตระกูลของพวกเขาเกิดคิดทรยศขึ้นมา เช่นนั้นแผ่นดินตระกูลโม่ของพวกท่านจะไม่เกิดวิกฤติหรอกหรือ? ”

“ เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง ดังนั้นฮ่องเต้ทุกรัชสมัยล้วนระมัดระวังอย่างมาก กระนั้นมาก็ยังไม่เคยกระทำความผิดร้ายแรงมาก อย่างน้อยหมายร้อนปีมานี้ ตระกูลนี้ยังไม่เคยเกิดการทุจริตจึงทำให้อำนาจของแคว้นหนานเยว่ยิ่งใหญ่ขึ้นไม่หยุด จนมาถึงบัดนี้ได้เอาจริงเอาจังกับการเป็นผู้นำของแว่นแคว้นต่างๆอย่างสง่าผ่าเผย ” ใบหน้าของโม่จื่อเฟิงฉายแววเสียดสีอยู่แวบหนึ่งราวกับไม่พอใจในความยิ่งใหญ่ของรัชสมัยนี้

หลินซีนเยียนรู้ดีว่าเขาไม่พอใจอะไร ไม่ใช่ประเทศนี้ แต่เป็นฮ่องเต้องค์ก่อนคนนั้น เขาเป็นถึงองค์ชาย แต่กลับเป็นเพราะคำพูดเดียวของนางสนม เขาจึงได้กลายเป็นเด็กที่ผ่านชีวิตที่คิดว่าเป็นความลำบากที่ไม่กล้าแม้แต่จะคิด บิดาเช่นนี้จะมีความรักให้เขามากน้อยแค่ไหนกันเชียว?

ดังนั้น เขาไม่พอใจฮ่องเต้องค์ก่อนโดยไม่ต้องไตร่ตรองเลย

“ ท่านอยากให้ข้าเข้าคลังอาวุธทางการทหาร เป็นเพราะว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ? ” หลินซีนเยียนอดไม่ได้ที่เอ่ยถาม

โม่จื่อเฟิงเหลือบตามองเห็นแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า กล่าว “ แน่นอนว่าเกิดเรื่องบางอย่าง แต่รอเจ้าเข้าคลังอาวุธทางการทหารได้ก่อนค่อยบอกเจ้าอีกที ก่อนที่เจ้าไม่ผ่านบททดสอบของเขา พูดไปก็ไร้ความหมาย แต่ข้าสามารถบอกเจ้าได้ว่าศิษย์พี่ของเจ้าน่าจะปะปนเข้าคลังอาวุธทางการทหารก็เพื่อเรื่องนั้น”

เมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศิษย์พี่ใหญ่ หลินซีนเยียนไม่มีทางลังเลอย่างเด็ดขาด ตอนแรกอวิ๋นเทียนสี่ลงทุนลงแรงไปขนาดนั้น ถึงกระทั่งไม่เสียดายสังหารผู้อาวุโสและลูกศิษย์ของสำนักตนเอง จะต้องมีความลับที่ไม่อาจบอกใครอย่างแน่นอน หากเซียวฝานทำได้ไม่ดีพอ อาจจะโดนอวิ๋นเทียนสี่ทำลายได้ แม้ว่าเซียวฝานจะทำเป้าหมายของเขาสำเร็จลุล่วงได้ จะรับประกันได้อย่างไรว่าจะไม่ถีบหัวส่ง?

เซียวฝานมีภัย หลินซีนเยียนรู้ดี ดังนั้นเธอยิ่งไม่ยอมเสียเวลาไปเปล่าๆ

เธอพลันลุกขึ้น คิดอยากจะกลับไปทำแส้ที่เป็นบททดสอบของโม่จื่อยี่ ก้าวเดินไปไม่กี่ก้าวก็หันกลับมาพูดกับโม่จื่อเฟิง “ จริงด้วย ท่านอ๋องให้โจวหลี่มาช่วยข้าได้หรือไม่? ”

แม้จะเป็นผู้หญิงที่ฉลาด แต่ยังไม่คุ้นเคยพื้นฐานการทำอาวุธของแคว้นหนานเยว่เท่าไร มีคนที่ชำนาญมาช่วยอยู่ข้างๆหนึ่งคนก็ยิ่งรับประกันได้ว่าจะทำภารกิจสำเร็จ ครั้งนี้ เธอไม่อยากให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆเลย

โม่จื่อเฟิงนิ่งชะงัก แล้วพยักหน้า

หลินซีนเยียนถอนหายใจโล่งอก ลังเลอยู่สักพักแล้วเดินไปหาโม่จื่อเฟิง เมื่อเธอเดินมาข้างๆเขาแล้วก็ก้มตัวลงมาหอมแก้มของเขาทีหนึ่ง “ จื่อเฟิง ขอบคุณที่ให้โอกาสนี้กับข้า อีกอย่าง หลายวันนี้วี่จิ่งก็ลำบากท่านแล้ว ”

โม่จื่อเฟิงรู้สึกสงสัย อดไม่ได้ที่ยกมือขึ้นมาลูบตรงที่โดนเธอจูบ บนใบหน้าราวกับยังหลงเหลือความหอมของเธอ จู่ๆเขาก็ยิ้ม “ นั่นเป็นลูกของเรา เจ้าคิดว่าข้าดูแลเขาไม่ดีหรือ? ”

“ ไม่ใช่ ก็แค่อยากจะขอบคุณท่าน ” เมื่อกล่าวจบ หลินซีนเยียนก็ประคองใบหน้าของเขา ประทับจูบลงบนริมฝีปากของเขาทีหนึ่ง เมื่อเธอกำลังอยากจะผละออก กลับโดนโม่จื่อเฟิงกดท้ายทอยเอาไว้

เขาไม่ยอมให้เธอผละออก กลับสลับแขกเป็นเจ้าบ้าน จนกระทั่งเธอหายใจหอบแฮ่กๆ เขาถึงจะคลายริมฝีปากแดงของเธอออก

ทว่า ตอนที่หลินซีนเยียนยังไม่ทันได้สติ พลันโดนบังคับกดลงบนโต๊ะหนังสือ

“โม่จื่อเฟิง! ข้ารีบนะ! ” ตอนนี้ยังมีเวลาว่างมาทำเรื่องเช่นนี้กับเขาอีกเหรอ? หลินซีนเยียนรู้สึกร้อนใจจึงยื่นมือไปดันเขาออก

แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าโม่จื่อเฟิงท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่แล้ว แรงของเธอดูเล็กน้อยจนไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง โม่จื่อเฟิงเพียงใช้มือข้างเดียวก็ควบคุมมือทั้งสองข้างที่อยู่ไม่นิ่งของเธอได้แล้ว เสียงทุ้มลึกของเขา รอยยิ้มราวกับปีศาจ เอ่ยเสียงแหบห้าวออกมา “ ข้า......ก็รีบเช่นกัน! ”

ในห้องอักษร เกิดคลื่นลมมรสุมพัดกระหน่ำไม่หยุดหย่อน

ในเรือนหลัก จินมู่ยืนอุ้มวี่จิ่งอยู่ตรงทางเดิน เขารู้ว่าท่านอ๋องกับฮูหยินกลับมาจากเรือนพระชายาเอกแล้ว วี่จิ่งงอแงไม่หยุด ดังนั้นจึงอุ้มวี่จิ่งมา เดิมคิดจะพาวี่จิ่งไปกินอิ่มหนำสำราญ ใครจะรู้ว่าพอเดินมาถึงเรือนก็ได้ยินเสียงที่ดังมาจากในห้อง

เสียงแบบนี้ เขาเป็นถึงองครักษ์คนสนิท เคยได้ยินมานักต่อนักแล้ว ทุกครั้งที่ได้ยิน ในใจของเขารู้สึกน้อยอกน้อยใจยิ่งนัก

บางครั้ง เขาคิดอยากจะถามอย่างจริงจัง ฮูหยินไม่รู้จริงๆหรือ หรือว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้ หรือไม่ว่านางไม่รู้กัน พวกเขาเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์จึงหูตาว่องไว ได้ยินชัดเจนมากกว่าคนทั่วไปหน่อยกระมัง? ทุกครั้งนางต้องส่งเสียงดังอะไรขนาดนั้น คิดว่าพวกเขาทุกคนล้วนหูหนวกกันหรือ?

“ เฮ้อ อยากแต่งภรรยาบ้าง ” จินมู่ถอนหายอีกครั้ง ยืนสงบไว้อาลัยให้กับเหล่าพี่น้ององครักษ์ที่คอยถวายการอารักขาอยู่ในมุมมืดๆ ล้วนเป็นวัยหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยเลือดลมพลังหยาง โดนทรมานด้วยเสียงร้องเช่นนั้นมาเป็นเวลานาน ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะอัดอั้นจนล้มป่วยกันหรือไม่

หลังจากผ่านความทรมานไปพักหนึ่ง หลินซีนเยียนก็กลับมาถึงห้องของตนเองด้วยสภาพร่างกายที่หมดเรี่ยวหมดแรงจนเกือบคลานไม่ไหว แต่พอคิดถึงสถานการณ์ในตอนนี้ของเซียวฝาน เธอจะพักผ่อนอย่างสงบใจได้อย่างไร หยิบกระดาษพู่กันมาวางบนโต๊ะเริ่มลงมือวาดเค้าโครง

โจวหลี่มาถึงจวนอ๋องยามบ่าย เพราะว่าที่นี่คือเรือนหลัง โจวหลี่เป็นบุรุษจึงไม่สะดวกเข้ามาเท่าไร ดังนั้นหลินซีนเยียนจึงภาพวาดของตนเองไป ให้มู่เหอหาห้องว่างในเรือนหน้าเพื่อเป็นห้องทำงาน แล้วให้โจวหลี่ไปเจอกันที่นั่น

เมื่อหลินซีนเยียนเคยพบโจวหลี่มาก่อน เขาเป็นช่างเงินที่เชี่ยวชาญมากกว่าช่างทั่วไป เพราะเรื่องที่เข้าคลังอาวุธทางการทหารต้องเก็บเป็นความลับ ดังนั้นหลินซีนเยียนไม่ได้บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงกับโจวหลี่ เพียงบอกว่าเป็นอาวุธที่ทำขึ้นประทานให้ฝ่าบาท เลยอยากให้เขามาช่วยก็เท่านั้น

เมื่อโจวหลี่ได้ยินว่าจะประทานให้ฝ่าบาทก็ระมัดระวังอย่างยิ่ง ทว่าพอเขาเห็นสิ่งในภาพวาดนั้นก็ตกตะลึงจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต