ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต นิยาย บท 271

ตอนที่ 271 คลื่นพายุซัดสาด

แม่นมกุ้ยเห็นท่าทีเช่นนี้ของนาง แววเหยียดหยามบนใบหน้ายิ่งทอประกายหนักขึ้น “แค่ของที่บำเรอบนเตียง อย่าริอาจคิดว่าเป็นหงส์เหินแล้วเชียว จวนอู่เซวียนอ๋องแห่งนี้ยังไม่ได้ตกเป็นคนไพร่ชั้นต่ำให้มาจองหองอวดดี เจ้าจงฟังข้า ข้ามา ไม่ใช่เพื่อพูดสิ่งนี้กับท่าน ข้ามา ก็เพื่อเรียกท่านไปเรียนรู้วิธีการปรนนิบัติท่านอ๋องให้ดีนั้นควรเป็นเช่นไร!”

“ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่” บัดดลหลินซีนเยียนรู้สึกว่าคำพูดของนางฟังแล้วไม่ค่อยจะปกตินัก อะไรที่เรียกว่าให้นางไปเรียนรู้วิธีปรนนิบัติท่านอ๋อง ปรนนิบัติของนางที่ว่า คือด้านใดกัน หลักจริยธรรม งานเย็บปักถักร้อย หรือว่างานทำกับข้าวในครัวกันแน่ แต่ว่าดูท่าทีของแม่นมกุ้ยที่แสดงออกมาราวกับไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย

แม่นมกุ้ยยกปากเล็กน้อย เดินมาทางข้างหน้าสองก้าว เอื้อมมือออกมาชี้ที่หน้าอกของหลินซีนเยียนอย่างจาบจ้วง “เจ้าดีแต่ใช้เรือนร่างดึงดูดบุรุษเพศเยี่ยงนี้ เหตุไฉนจึงไม่เข้าใจว่าปรนนิบัติมีกี่ความหมายกันแน่ ก็ใช่ ทุกครั้งยามที่ท่านอ๋องโปรดปรานเจ้า เจ้าก็ร้องเสียจนเหมือนเชือดหมู ล้วนทำให้คนหิวกระหายได้ดี ตอนนี้ข้าจะเรียกเจ้าไปเรียนรู้ วิธีทำให้ร่างกายและจิตใจของท่านอ๋อง...เริงรมย์!”

แม่นมกุ้ยได้ออกเรือนแล้ว คู่ครองก็เป็นผู้ดูแลคนหนึ่งซึ่งอยู่ในจวนอ๋องแห่งนี้ ในหนึ่งปีนางทำหน้าที่ภริยามากว่าครึ่งร้อย เอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมาได้คล่องปากกว่าหญิงสาวแรกแย้มทั่วไปนัก อีกประการ เสมือนกับว่านางได้บรรลุจุดหมายที่ทำให้หลินซีนเยียนอับอายได้แล้ว ยามที่เอ่ยวาจานั้นไม่ได้สนใจว่ายังมีชายฉกรรจ์นับสิบอยู่ในห้องด้วยเลยสักนิด

เพียงแต่ ปัจจุบันหลินซีนเยียนมิได้ใส่ใจสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่นางใส่ใจคือท่าทีโอหังของแม่นมกุ้ยยามพูดกับนางมากกว่า

สีหน้าของหลินซีนเยียนซีดเซียว นึกถึงเมื่อก่อนนั้นโม่จื่อเฟิงไม่เคยปฏิเสธในเรื่องของผู้หญิง ในใจก็เจ็บแปลบๆ ขึ้นมา ทว่าในสิ่งที่หลงเหลืออยู่ นางกลับมองเห็นร่มสองคันที่อยู่ตรงมุมห้อง หัวใจที่กระวนกระวายพลันสงบลงในบัดดล “แม่นมกุ้ย ท่านคิดว่าพูดเช่นนี้แล้วข้าจะหลงเชื่อรึ ท่านอ๋องไม่ใช่อย่างที่พวกท่านจินตนาการเอาไว้ ข้ารู้ว่าท่านอ๋องเป็นคนเช่นไร ดังนั้น ท่านไปได้แล้ว ข้าไม่ไปกับท่านหรอก”

“อ้อ?” แม่นมกุ้ยกระแอมเสียงเย็น “เดาได้แต่แรกว่าภูตพรายน้อยเช่นเจ้าคงพูดไม่ยอมฟังง่ายๆ ข้ารู้ ไม่ใช่ว่าเจ้ากลัวผู้อื่นปรนนิบัติท่านอ๋องได้ดีกว่าแล้วหดหู่จิตใจหรอกหรือ เจ้าดูเถิด นี่คืออันใด...”

ยามเมื่อพูดนั้นแม่นมกุ้ยก็ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยออกมาจากอกเสื้อ ตรงมุมของผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กนั้นปักอักษรวิจิตรเอาไว้หนึ่งตัว นั่นคือผ้าเช็ดน้ำลายของเสี่ยววี่จิ่ง อักษรนั้นเบี้ยวเอียง มันคือสิ่งที่นางเย็บปักเองกับมือ จำได้ว่าตอนที่เพิ่งเย็บเสร็จหมาดๆ โม่จื่อเฟิงยังเคยพูดเล่นถากถางนางอยู่เลย กล่าวว่าหมูปักยังสวยกว่าที่นางทำนัก

“เจ้า! พวกเจ้าทำอะไรกับเสี่ยววี่จิ่ง!” ผู้หญิงทุกนาง ยามที่เกิดเรื่องคุกคามลูกน้อยของตนเองนั้นล้วนแปรเปลี่ยนเป็นคนอดทนต่ำไร้เหตุผลขึ้นมา หลินซีนเยียนเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น กำหมัดแน่น นางปรารถนาจะฉีกผู้หญิงไม่ยอมตายคนนี้กับมือเสียให้รู้แล้วรู้รอด!

แม่นมกุ้ยขว้างผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยใส่ด้านหน้าของนาง “ท่านวางใจ นั่นก็คือบุตรของท่านอ๋อง เป็นนายน้อยในจวนอ๋องนี้ สถานะสูงศักดิ์ ย่อมมิอาจให้เขาแขนด้วนขาด้วนเป็นแน่ แต่ว่าอย่างอื่นล่ะก็ ข้ามิอาจรับประกัน ขอเพียงท่านตามข้าไปอย่างว่าง่าย ข้ารับรองว่านายน้อยจะอยู่อย่างแข็งแรงปลอดภัย”

หลินซีนเยียนเงียบขรึม นัยน์เนตรทั้งสองจ้องแม่นมกุ้ยอย่างเอาเป็นเอาตาย แทบจะกินเลือดกินเนื้อนาง ทว่านางรู้ดี ต่อให้ฆ่าแม่นมกุ้ยตอนนี้ ก็เป็นเพียงทำให้เรื่องราวยิ่งย่ำแย่ลงกว่าเก่าเท่านั้น อย่างไรเสีย เสี่ยววี่จิ่งยังอยู่ในกำมือของพวกนาง

“ดี ข้าจะตามเจ้าไป!” หลินซีนเยียนแทบจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันยามพูดประโยคนี้ออกมา

แม่นมกุ้ยพยักศีรษะ รีบให้องครักษ์สูงโปร่งทั้งสองนายที่ติดตามมาดันให้หลินซีนเยียนเดินออกไปข้างนอกทันที โจวหลี่และช่างเหล็กเฉินมีท่าทีไม่ปล่อยผ่านตาเล็กน้อย ทั้งสองลังเลอยู่ครู่ ก่อนจะรับตามออกมา เอ่ยขึ้นพร้อมเพรียงกัน “พระราชารอง พวกเราจะไปกับท่าน!”

หลินซีนเยียนยังไม่ทันได้ปฏิเสธ ก็ได้ยินแม่นมกุ้ยระเบิดเสียงดังลั่น “บ่าวไพร่อย่างพวกเจ้าสองคน คิดว่าเป็นอันใด ควรที่จะตามมารึ พวกเจ้าริอ่านทำการแทนจวนอ๋องรึ ขอเพียงวันนี้พวกเจ้ากล้าบังอาจก้าวเท้าออกมาแม้แต่ก้าวเดียว วันพรุ่งพวกเจ้าได้ไสหัวออกไปแน่!”

“แม่นมกุ้ย ท่านก็เป็นเพียงบ่าวไพร่คนหนึ่งเท่านั้น น้ำเสียงก็ออกจะดังเกินไปแล้ว...” โจวหลี่ไม่ได้สำนึกสักเท่าไหร่ อย่างไรเสียเขาก็เป็นช่างฝีมือระดับเหรียญเงิน อยู่ที่ใดก็นับว่าเป็นที่ต้องการนัก เขายังไม่เชื่อว่าแค่มามาอาวุโสคนหนึ่งจะทำให้เขาออกจากจวนอ๋องได้ แต่ว่า คำพูดของเขายังกล่าวไม่ทันจบ ก็เห็นมามาอาวุโสควักแผ่นป้ายอันหนึ่งออกมาจากอก

“ก็ยกเอาอันนี้ เจ้าคิดว่า พวกเจ้าบ่าวไพร่สองคนสำคัญ หรือว่าพระชายาของพวกเราสำคัญ อย่าลืมสิ พระชายาของพวกเป็นถึงชายาที่ถูกต้องของอ๋องอู่เสวียน!” หลังจากที่แม่นมกุ้ยกล่าวจบ เสียงตวาดก็ยิ่งแผดคำรามหนักกว่าเดิม หมุนกายสั่งให้องครักษ์ทั้งสองนำหลินซีนเยียนเดินออกไป

โจวหลี่และช่างเหล็กเฉินแช่ฝีเท้าหยุดอยู่ตรงปากประตู ในที่สุดก็ไม่ได้ตามออกไป ไม่ใช่ว่าพวกเขาทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่ไม่ลง เพียงแต่หลินซีนเยียนหันหน้ากลับมาอย่างไร้สุ้มเสียง หลินซีนเยียนไม่ให้พวกเขาตามไป ดังนั้นพวกเขาจึงหยุดนิ่ง พวกเขาเคารพคำแนะของนาง

หากแม้นว่าหนทางเบื้องหน้าทั้งขัดสนและอันตราย ต่อให้พวกเขาทั้งสองไปก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้สักนิด เช่นนั้นแล้วเหตุใดยังจะดื้อดึงให้พวกเขาไปรับโทษด้วยกันเล่า

หลังจากที่พวกเขาไปแล้ว มู่เหอจึงค่อยยกผักเคียงด้วยท่าทีชื่นมื่นกลับมายังห้องทำงาน ก็เห็นเพียงคนสองคนที่ยืนหน้าถอดสีอยู่บริเวณหน้าประตู บัดดลเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ รอกระทั่งยามที่เขามีปฏิกิริยาตอบสนองมาตามถึงห้องศาสตราวุธ ในตรอกก็ไร้ซึ่งร่องรอยของหลินซีนเยียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หลินซีนเยียนออกมาจากห้องทรงงานศาสตราวุธก็ถูกดันให้ขึ้นรถม้าปิดผนึกคันหนึ่ง ภายในรถม้า แม่นมกุ้ยแสดงท่าทีต่อนางอย่างหยาบคายและดูแคลนไร้ที่สิ้นสุด แววตาคู่นั้นดูถูกเหยียดหยาม บางครั้งหลินซีนเยียนก็ไม่เข้าใจจริงๆ แม่นมกุ้ยก็แค่เคยปรนนิบัติท่านแม่ของโม่จื่อเฟิงเท่านั้น ว่ากันแล้วก็เป็นเพียงคนรับใช้คนหนึ่งก็เท่านั้น สรุปแล้วนางรู้สึกว่าอะไรที่ทำให้นางสูงส่งกันแน่

แต่ว่า ระหว่างคนกับคนนั้นไม่เหมือนกัน นางเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ย่อมเข้าใจพวกที่มีความคิดวิกลจริตวิตถารเหล่านั้นไม่ได้หรอก

รถม้าควบปุเลงๆ ประมาณสิบนาทีเศษ ในที่สุดก็หยุดลงตรงประตูหลังสวน

มีสาวใช้มารอที่ประตูด้านหลังตั้งแต่ทีแรกแล้ว รอให้ไม่กี่คนลงจากรถม้า สาวใช้ก็เดินเข้ามา นางจงใจมองหลินซีนเยียนเสียเต็มประดา ก่อนถามแม่นมกุ้ย “ก็คือนาง?”

แม่นมกุ้ยพยักหน้า “ใช่ เจ้าดูนางท่าทางเฉกเช่นจิ้งจอกสะอิดสะเอียน ไม่ใช่นางแล้วยังจะเป็นใครได้”

สาวใช้ผู้นั้นแค่นเสียงเย็น “แม่นมกุ้ย ท่านให้นางตามข้ามา ข้าคิดว่ายามนี้ผ่านไปถือว่าเป็นยามดี”

แม่นมกุ้ยรับตอบ มือข้างหนึ่งคว้าหมับเข้าที่แขนของหลินซีนเยียน ตามสาวใช้คนนั้นเดินไปภายในสวน

ยามวิกาลค่อนข้างหนาวเหน็บ ลมก็แรงนัก แผ่นฟ้าก็ยิ่งทมิฬลง ในอากาศมีหยดน้ำบางตาล่องลอยอยู่ มองด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าฝนจะเทลงมา ฝีเท้ายามย่างก้าวของสาวใช้คนนั้นก็ยิ่งเร็วขึ้น

สวนนี้มโหฬาร ทว่าสามคนเดินอยู่บนถนนกลับไม่มีคนพบเจอ เห็นได้ชัดว่ามีคนจัดฉากเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ตอนที่หลินซีนเยียนยังคงกำลังขบคิดว่านี่คือที่ไหนกันแน่ สาวใช้คนนั้นพลันหยุดลงตรงหน้าประตูสวน จากนั้นฝีเท้าของนางก็ชะงักอยู่ครู่ ส่งสัญญาณให้แม่นมกุ้ยย่ำเท้าเสียงเบาลงสักหน่อย

แม่นมกุ้ยพยักหน้า สาวใช้คนนั้นจึงค่อยสาวเท้าเดินเข้าไปภายในสวนอีกครั้ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต