ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต นิยาย บท 285

ตอนที่ 285 จุดจบของแม่นมกุ้ย

หลินซีนเยียนไม่ถ่องแท้เรื่องวรยุทธ์ ดังนั้นนางจึงหลบเลี่ยงไม่ได้โดยสิ้นเชิง

“นังแพศยา! ไปตายเสียเถิด ใช้โลหิตแห่งยายแก่ของข้าชะล้างจวนอ๋องนี้ให้สะอาด ก็คุ้มแล้ว!” แม่นมกุ้ยเริ่มแผดเสียงอย่างคลุ้มคลั่งขึ้นมา

แต่น่าเสียดาย ที่แห่งนี้ไม่ใช่เพียงแค่นางกับหลินซีนเยียนสองคนเท่านั้น ยังมีโม่จื่อเฟิงอยู่ด้วย แผนร้ายเพทุบายเยี่ยงนี้ยังจะมีชัยเหนือกว่าได้อย่างไรกัน

ดังนั้นในขณะนั้นเอง หลินซีนเยียนไปหลบกำบังอยู่ข้างหลังโม่จื่อเฟิงโดยไม่ต้องครุ่นคิด และโม่จื่อเฟิงก็ไม่ได้ทำให้นางผิดหวังจริงๆ เพียงยกมือโบก ลมพายุพลันพัดกระหน่ำ ซัดเอาซุปร้อนที่กระฉอกย้อนกลับใส่ยังทิศทางของแม่นมกุ้ย

หลังจากได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องโหยหวนของแม่นมกุ้ยก็เห็นนางกุมหน้าล้มลงกับพื้น ซุปร้อนนั่นซัดหวนใส่บนหน้านางจำนวนมหาศาล จากง่ามนิ้วสามารถมองเห็นผิวหนังที่พุพองแดงเป่งโดยฉับพลันของนาง นางครวญครางไม่หยุด โหยไห้รำพัน น้ำเสียงเกรี้ยวกราดและบิดเบี้ยว หลินซีนเยียนฟังจนหนังศีรษะเหน็บชาอยู่ครู่หนึ่ง

กลางอกของหลินซีนเยียนผุดอาการสั่นหลอนอยู่ครู่ หากว่าปราศจากโม่จื่อเฟิงอยู่ที่นี่ด้วย คนที่ต้องล้มไปกองกับพื้นร้องอย่างโหยหวนน่าจะเป็นนาง ดังนั้นไม่ว่าแม่นมกุ้ยตกอยู่ในจุดจบเช่นนี้ นางก็ไม่อาจเห็นอกเห็นใจแม้สักครึ่ง

“แม่นมกุ้ย ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด” โม่จื่อเฟิงกวาดสายตาอันเย็นยะเยือกมองแม่นมกุ้ยที่แดดิ้นอยู่บนพื้น ในแววตาทอประกายคู่นั้นนอกจากความผิดหวังแล้วยังคงเป็นความผิดหวัง ได้ยินเพียงเขากล่าวซ้ำอย่างเชื่องช้า “ครั้งที่แล้ว หากไม่ใช่ว่าเจ้าอยู่เบื้องหลังแผนการ ข้าจะตกหลุมพรางของอวิ๋นเสี่ยวยิงอย่างง่ายดายได้อย่างไรกัน ทำให้อวิ๋นเสี่ยวยิงควบคุมบงการข้า ทำให้ข้าถอนกำลังรักษาความปลอดภัยด้วยตนเอง หากไม่ใช่ว่าหลินซีนเยียนปรากฏตัวได้ทันเวลา น่ากลัวว่าผลที่ตามมาในตอนนี้...”

ฟังเขากล่าวเช่นนี้ ในที่สุดหลินซีนเยียนซึ่งอยู่ด้านข้างก็ตาสว่าง เรื่อยมา นางล้วนเจตนาหลบหลีกปัญหาข้อนี้ หนึ่งในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เนื่องจากมีความเกี่ยวพันกับเรื่องราวของเขาและอวิ๋นเสี่ยวยิง ดังนั้นนางจึงไม่เจาะจงถาม ถึงแม้กลางใจเองจะมีข้อกังขา ทว่ากลับยังคงอดกลั้นไม่คิดไปในทิศทางอย่างว่านั่น

ปัจจุบันสดับฟังเขาเอื้อนเอ่ยเช่นนี้ ทันใดนั้นกลางใจพลันประเดประดังมากมาย

“ในอกของข้า มนุษย์ล้วนมีคุณค่าทั้งสิ้น การดำรงอยู่ของเจ้านั้นสำหรับข้าแล้วอาจจะเป็นที่ระลึกถึงอย่างหนึ่ง แต่กลับไม่ใช่ปราศจากราคา คุณค่าของเจ้าได้หมดลงตั้งแต่ครั้งก่อนที่เจ้าวางเพทุบายกับข้าแล้ว เดิมข้าคิดว่าจะไว้ชีวิตเจ้าเอาไว้ ใครใคร่รู้ว่าเจ้ากลับไม่รู้จักสำนึก ซ้ำยังก่อเรื่องมาดร้ายขึ้นอีกครั้ง ดูเหมือนว่า ข้าคงไว้ชีวิตเจ้าไม่ได้แล้ว”

โม่จื่อเฟิงถอนหายใจยาว ยกมือขึ้น สัญญาณมือข้างหนึ่งฟาดลง ในห้องพลันปรากฏชายชุดดำคนหนึ่ง

“ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต ท่านอ๋องไว้ชีวิตด้วย บ่าวเพียงแต่หวังชะล้างกำจัดเหล่านางที่ใช้เล่ห์ร่ายมนต์ข้างกายแทนท่านอ๋องได้ก็เท่านั้น ท่านอ๋อง บ่าวไพร่คนหนึ่งเช่นข้าตายไปก็ไม่นึกเสียดาย ทว่าพระชายายังคงเฝ้ามองจากบนสวรรค์อยู่นะเจ้าคะ ข้าเก่าคนแก่ของชายานางจะทนเบิกตาทนเห็นท่านถูกนังจิ้งจอกตัวนี้มัวเมาจนไร้สติได้หรือ ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง...”

แม่นมกุ้ยทั้งร่ำไห้ทั้งแผดเสียง น้ำตาไหลพรากบนผิวหนังที่บวมพอง โลหิตแดงสดจางๆ ไหลออกมาจากแผลอันปริแตก ทำให้ใบหน้าของนางยิ่งดูเกรี้ยวกราดกว่าเก่า

คำของโม่จื่อเฟิงทำให้นางหวาดผวาขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ ถือดีว่าตนเองเป็นมามาเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ข้างกายชายาองค์ก่อน แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยเห็นว่าตนเป็นบ่าวไพร่เต็มรูปแบบ ในกระดูกกระเดี้ยวของนางรู้สึกว่าตนเองแตกต่างออกไป ทว่าในครั้งนี้ โม่จื่อเฟิงบันดาลโทสะอย่างจริงจัง นางหวาดกลัวแล้ว ไม่อาจไม่อ้างถึงชายาองค์ก่อน

หลินซีนเยียนอดไม่ได้ที่จะหันหน้ากลับไปมองโม่จื่อเฟิง เห็นสีหน้าแววตายะเยือกวังเวงของเขาไม่แปรผันสักชั่วขณะ กลางอกกลับผุดความเวทนาอยู่ไม่น้อย นางรู้เรื่องราวของเขา บุคคลที่ยังไม่ทันจดจำลักษณะของมารดาได้แจ่มแจ้งก็สูญสียท่านแม่ไปเสียก่อน ในก้นบึ้งของจิตวิญญาณแท้จริงแล้วก็โหยหาความรักจากแม่ ทว่ามารดาของเขาจากไปแล้ว แม้กระทั่งสิ่งของต่างหน้าสมราคาสักชิ้นก็ไม่ได้เหลือทิ้งไว้ให้เขา สิ่งเดียวที่ตกทอดอยู่ก็คือแม่นมกุ้ย ดังนั้นเขาจึงยอมผ่อนผันต่อแม่นมกุ้ยเช่นนี้

กล่าวจากด้านนี้แล้ว อันที่จริงในกระดูกกระเดี้ยวของเขาก็เป็นคนหนึ่งที่เมตตากรุณาอยู่มากโขกระมัง

“ท่านอ๋อง มิฉะนั้นก็...” หลินซีนเยียนนึกอยากเอ่ยปากเตือนอย่างอดไม่ได้โดยสิ้นเชิง แต่มิใช่เพราะใจอ่อนกับแม่นมกุ้ย เพียงแค่กังวลจิตวิญญาณโม่จื่อเฟิงจะว่างเปล่าด้วยรอยแผลเล็กอันนั้นต่างหาก

“สังหาร” โม่จื่อเฟิงเลื่อนมือขึ้นทำสัญญาณ ชายชุดดำพลันลากแม่นมกุ้ยที่ร้องโหยหวนอยู่ออกไป เขาไม่ได้หันหน้ากลับไปมองแม่นมกุ้ย เสมือนไม่ได้ยินตอนที่แม่นมกุ้ยถูกลากตัวออกไปนั้นสะอื้นไห้รำพันอย่างยืดยาว เขาเพียงแค่หันหน้าไปมองหลินซีนเยียน “ข้าเคยบอกแล้ว จะต้องแถลงไขแก่เจ้าให้ได้ เทียบกับเจ้าแล้ว พวกนางล้วนไม่นับว่าเป็นอันใดเลย”

พวกนางไม่นับว่าเป็นอันใด ทว่าความผูกพันอันนั้นที่อยู่ก้นบึ้งหัวใจของท่านเล่า

หลินซีนเยียนพยักหน้าหงึกหงัก ในอกกลับอึดอัดไม่น้อย อดไม่ได้ที่จะฝังหน้าเข้ากับแผงอกแกร่งของเขา เสียงจังหวะการเต้นของหัวใจเขาลอยลอดเข้ามาในหู ฉับพลันนางรู้สึก ชายผู้นี้ราวกับเข้าสู่เบื้องลึกในใจนางอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาเต็มใจละทิ้งความผูกพันอันอยากจะตัดขาดตลอดมาเพื่อนาง นี่สำหรับคนเยี่ยงเขาแล้วถือเป็นเรื่องสุดยิ่งใหญ่แล้วกระมัง

เพียงแต่ หลินซีนเยียนยังคงอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจยาวยืด ในทัศนวิสัย แม่นมกุ้ยถูกคนลากออกจากปากประตูสวนแล้ว เสียงหวนโหยของแม่นมกุ้ยก็จางลงไปทุกทีจนกระทั่งไม่ได้ยินแล้ว

นางคิด อันที่จริงนางก็เป็นคนเย็นชาคนหนึ่งกระมัง หรือจะกล่าวว่าเดิมทีมนุษย์นั้นก็เย็นชาเช่นนี้อยู่แล้ว ครั้งหนึ่ง นางแม้จะทำร้ายคนก็ทำไม่ลง ทว่ายามนี้ นางสามารถมองคนๆ หนึ่งถูกประหารชีวิตตาปริบๆ โดยไร้ซึ่งอาการสั่นเทิ้มใดๆ ได้

บางที นางเองก็ค่อยๆ ปรับสภาพกับสังคมวัฏจักรปลาใหญ่กินปลาเล็กเช่นนี้แล้วกระมัง

ยามวิกาลในวันนั้น หลินซีนเยียนนำเอาสถานะใหม่ที่ฮ่องเต้มีพระราชวินิจฉัยแก่นางมาท่องจำอย่างดีตลอดทั้งคืน ข้อมูลของสถานะใหม่นี้สมบูรณ์แบบอย่างไร้ข้อตำหนิแม้สักนิด เนื่องจากโรงงานอาวุธของกระทรวงกลาโหมปราศจากช่างฝีมือสตรี ดังนั้นสถานะใหม่ของนางกลับเป็นบุรุษที่อายุสามสิบต้นๆ คนหนึ่ง

นามใหม่มีชื่อเรียกว่าหลินฟง เป็นคนในชนบทพื้นเพเดิมในเจียงหนานซึ่งอยู่ในภูเขาอันไกลโพ้น ยามอายุสิบห้าก็ออกไปร่ำเรียนช่างศิลปะ เป็นเวลาสิบกว่าปีแล้วที่ไม่ได้หวนกลับท้องถิ่น ดังนั้นคนในพื้นที่ก็ไม่รู้ลักษณะท่าทางในปัจจุบันของเขา และคนข้างกายในปัจจุบันก็ไม่รู้เรื่องราวสมัยอดีตในชนบทของเขา ประจวบเหมาะสามารถให้หลินซีนเยียนสวมรอยได้อย่างสมบูรณ์แบบ

หลินฟงแต่งงานตอนยี่สิบ ภริยาและบุตรสาวเสียชีวิตลงท่ามกลางการดักซุ่มโจมตีของโจรกลางเขา เขาเสน่หาอาลัยเรื่อยมาไม่ได้มีภรรยาใหม่ ดังนั้นจนกระทั่งปัจจุบันยังคงเป็นหม้ายโสดอย่างโดดเดี่ยว เพียงแค่ส่งเงินกลับมาจุนเจือบิดามารดายังบ้านเกิดในทุกกลางและท้ายปีของทุกๆ ปี ซ้ำพ่อแม่วัยกลางคนก็ถูกฟู่จื่อเหิงซื้อตัวไว้แล้ว สามารถช่วยนางโกหกได้

อ่านเอกสารเหล่านี้เสร็จแล้ว เวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืนกว่าเป็นที่เรียบร้อย นางขยับเขยื้อนลำคอที่เริ่มปูดปวดเล็กน้อย พอหันหน้าก็มองเห็นสองคนที่คนหนึ่งตัวใหญ่คนหนึ่งตัวเล็กหลับอยู่บนเตียง คนตัวเล็กนั้นอมนิ้วกำลังนอนหลับอย่างหอมหวาน ส่วนคนตัวโตนั่นกลับหลับแบบไม่ค่อยสงบสบายนัก เอาครึ่งหนึ่งของลำตัวเอนหัวลงนอนฟูก

นางส่ายหน้าพลางยิ้มกับตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ เดินไปยังข้างเตียงพลางเอาผ้านวมขึ้นห่มให้แทนคนตัวโต ซ้ำยังขยับนิ้วของคนตัวเล็กดึงออกจากปาก คราวนี้จึงค่อยเป่าเทียนดับก่อนจะปีนขึ้นบนฟูกเตียงอย่างเบามือเบาเท้า

ราตรีในเหมันต์ ลมที่กระหน่ำพัดอย่างเย็นเยียบ ทว่าภายในห้องกลับอบอุ่นเสียจนทำให้ทั้งร่างกายและจิตใจของคนล้วนดำดิ่งสู่ห้วงลึกนิทรารมณ์

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต