ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต นิยาย บท 303

ตอนที่ 303 ต้นตระกูลลึกลับอีกหนึ่งขั้วอำนาจ

“หยาบคาย!” หลินซีนเยียนเป่าพ่นลมตะโกนเสียงต่ำใส่หูของเขา ทว่าเป็นน้ำเสียงที่สามารถได้ยินกันแค่สองคนเท่านั้น

มุมปากของโม่จื่อเฟิงยกยิ้ม นัยน์ตาทั้งสองยิ่งทอแววสุดซึ้งขึ้นมากกว่าเก่า “สามารถเข้าใจความหมายของข้าในฉับพลัน ราวกัน เจ้ายิ่งหยาบคาย!”

“...” หลินซีนเยียนไร้คำกล่าวไปชั่วขณะ ไม่รู้จริงๆ ว่าฝีปากของอู่เซวียนอ๋องผู้นี้แปรเป็นมีไหวพริบตอนไหนกัน!

“ทำไม ไม่ตอบคำถาม ไม่ตอบก็แล้วกันไปเถิด ข้าคือผู้ที่สามารถเก็บกุมความลับไว้ได้คนหนึ่ง” โม่จื่อเฟิงถอยหลังอย่างไว้ท่า

หลินซีนเยียนกลับอึ้งนิ่ง เอื้อมมือไปเกาะรัดเอวของเขาพร้อมกอดยื้อเขาให้กลับมาโดยสัญชาตญาณ เรือนร่างของทั้งสองแอบชิดซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิร้อนเร่าจากร่างกายของอีกฝ่าย นางพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “เอาล่ะ ข้าจะตอบ ถึงอย่างไรก็เป็นคนของท่าน คร้านจะหลับนอนกับท่านยังนับว่าพึงพอใจ”

โม่จื่อเฟิงได้ฟังแล้ว ยกมือขึ้น เอานิ้วชี้แตะบริเวณริมฝีปากเรื่อแดงของนาง กล่าวพร้อมพ่นลมหายใจต่ำ “ไม่รู้จริงๆ ว่าข้าต้องมนต์อันใดเข้าให้แล้ว หากเปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนอื่นพูดประโยคลามกจกเปรตเหล่านี้กับข้า ข้าคงตัดคอนางขาดไปแล้ว แต่ว่าฟังเจ้าพูดออกมา กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป”

หลินซีนเยียนกลอกตาครั้งหนึ่ง หลบหลีกนิ้วของเขาพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ “อาจเป็นเพราะท่านอ๋องมีความรู้สึกลึกซึ้งกับข้าแล้ว ดังนั้นในสายตาจึงมองเห็นแต่ความสวยงาม รู้สึกว่าต่อให้ข้าปลอมเค้าหน้าเป็นบุรุษ ท่านเองก็ยังรู้สึกว่าแช่มช้อยดุจผกามาศ”

นางเตือนเช่นนี้ สีหน้าของโม่จื่อเฟิงพลันไร้ความรู้สึก เสมือนเวลานี้เพิ่งจะนึกขึ้นได้ เมื่อครู่นี้เขาจุมพิตพวงแก้มของบุรุษเพศ! พินิจอย่างถี่ถ้วนแล้ว บุคคลตรงหน้าเห็นได้ชัดว่าเป็นเค้าโครงของชายแปลกหน้าคนหนึ่งแท้ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้าของชายคนนี้ ยังแสดงออกทางสีหน้าแบบทะเล้นเฉกเช่นเหล่าสาวๆ

นี่ เดิมทีควรจะเป็นเรื่องที่ทำให้คนชวนสะอิดสะเอียน ทว่าเมื่อครู่เขาบดจุมพิตอย่างอดไม่ได้ไปแล้ว ถึงอย่างไรก็ยังรู้สึกว่าเค้าหน้าของชายคนนี้ดูดีอยู่ไม่น้อย!

มองดูสีหน้าเหมือนกลืนแมลงวันของเขา หลินซีนเยียนอดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะลั่นออกมา เรื่อยมานั้นนางล้วนถูกเขากดขี่อยู่เสมอ ปัจจุบันเห็นท่าทางเพลี่ยงพล้ำของเขา ทันใดนั้นรู้สึกว่าแม้กระทั่งอากาศก็ล้วนหอมฟุ้งขึ้นมา โม่จื่อเฟิงหนอโม่จื่อเฟิง อยู่ในกำมือของนาง ท่านก็มีวันนี้เหมือนกัน!

ภูตปีศาจน้อยผุดขึ้นมาในสมองของหลินซีนเยียน ฉับพลันก็มีความรู้สึกหนึ่งจำพวกแสนจะภูมิอกภูมิใจในตัวเองเสียเต็มประดา

“ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง” ราวกับหลินซีนเยียนจงใจให้เขาอับอาย มีท่าทีเย้าแหย่แบบเล่นหูเล่นตาอย่างต่อเนื่อง นางคิดเองว่า นี่จะทำให้เขายิ่งรู้สึกขนพองสยองเกล้า

ใครจะรู้ว่าในครู่ต่อมา ทั้งกายของนางพลิกหมุนกลับด้านโดยโม่จื่อเฟิง

โม่จื่อเฟิงยืนอยู่ข้างหลังนาง กดไหล่ของนางเอาไว้กับลำต้นไม้ ครู่ต่อมา นางก็รู้สึกว่าร่างกายส่วนล่างเย็นวาบ ตอนที่ยังไม่ทันได้ถ่อแท้ว่าเรื่องอะไรกันแน่นั้น คางของโม่จื่อเฟิงก็พักอยู่ระหว่างลำคอระหงของนางเป็นที่เรียบร้อย ได้ยินเพียงเขาเอ่ยเสียงเนิบนาบ “ไม่เป็นไร ยามที่ข้าทำ ไม่มองหน้าเจ้าก็ได้!”

เวรกรรม!

คราวนี้หลินซีนเยียนหัวเราะไม่ออกแล้วจริงๆ นางลืมไปได้อย่างไรกัน ชายผู้หยิ่งผยองคนนี้ไม่เคยคิดยอมแพ้แต่ไหนแต่ไรมา ทำให้เขาเสียท่า เขาย่อมแก้แค้นคืนเป็นแสนเท่า!

จันทร์ยอแสงเหนือกิ่งหลิว ดวงจันทราที่เพิ่งโผล่ออกมากลับเป็นเพราะฉากเบื้องล่างที่สอดประสานระอุเร้านี้จึงถูกทำให้ตกใจจนถอยร่นไป ก็แม้กระทั่งพระพรายดาราราวกับว่าล้วนหลบเลี่ยงอยู่หลังม่านเมฆเสียสิ้น โลกทั้งใบแปรเปลี่ยนเป็นมืดสนิท ได้ยินเพียงแซ่เสียงกลางความมืดมิด ราวกับเป็นเสียงหอบหายใจระรัวกำลังประสานซึ่งกันและกัน

หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลินซีนเยียนนั่งหอบหายใจแฮ่กอยู่ในอ้อมอกของโม่จื่อเฟิง โฒ่จื่อเฟิงช่วยผูกทับอาภรณ์บริเวณอกให้แก่นาง แย้มยิ้มอย่างพออกพอใจเต็มประดา “พอใจในสมรรถภาพของข้าหรือไม่”

หลินซีนเยียนกลอกตาใส่เขา ทำแค่หันหน้าหลีกเลี่ยงการมองเขา ชายหยิ่งยโสผู้นี้ มักจะแสวงหาความตื่นเต้นในแง่นี้เสมอ โชคยังดีที่นางคือวัยรุ่นตอนปลายที่มาจากยุคสมัยใหม่ หากว่าเปลี่ยนเป็นคุณหนูลูกขุนนางในสมัยโบราณแล้วล่ะก็ ใครจะทำใจรับการปฏิบัติเยี่ยงนี้ได้กัน

“ท่านอ๋อง ท่านล้วนได้สมปรารถนาทั้งหมดแล้ว คราวนี้ก็ควรจะตอบคำถามของข้าได้แล้วสินะ” มือทั้งสองข้างของหลินซีนเยียนพาดไว้บนลำคอของเขา แววตามีความไม่พอใจเล็กน้อย รู้ว่านางอยากรู้อยากเห็นก็ยังจงใจแกว่งความอยากของนางอยู่ได้

โม่จื่อเฟิงเพิ่งพยักหน้าเอายามนี้ “เจ้าล้วนเดาได้หมดแล้ว ไม่ใช่หรือ ข้าแค่ลองทดสอบหลี่อวิ๋นซ่านก็เท่านั้น บุคคลที่ลึกลับเยี่ยงนี้ ถ้าหากว่าแม้แต่ฝีมือในการพิทักษ์ชีวิตก็ล้วนไม่มีในข้อนี้ ดูเหมือนว่าต้นตระกูลของเขาก็ไม่กล้าปล่อยให้เขาออกมาฝึกฝนเองแล้วกระมัง”

“ฟังท่านพูดเช่นนี้ ราวกับท่านล่วงรู้ถึงสถานะที่แท้จริงของเขาแล้ว” หลินซีนเยียนตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าที่แท้โม่จื่อเฟิงวางแผนที่จะลงมือกับหลี่อวิ๋นซ่าน ก็ถูก คนเช่นเขานี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะทำเรื่องซึ่งไร้ประโยชน์ต่อตัวเขาเองโดยพลการแน่

“ก็ไม่นับว่ารู้ เพียงแค่การคาดคะเนอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ว่าคันฉ่องป้องวิญญาณที่เขานำออกมานั้นยิ่งตอกย้ำมูลที่ข้าคาดเดาเอาไว้” แววตาของโม่จื่อเฟิงแปรเป็นมีเลศนัย สีหน้าก็ผันเป็นเคร่งขรึมลง เรื่องราวที่สามารถทำให้เผยสีหน้าเช่นนี้ออกมาได้ ย่อมไม่ใช่เรื่องที่แก้ไขปัญหาอย่างง่ายดายนัก

หลินซีนเยียนอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าไปไล้ลูบบริเวณขนงของเขา ราวกับต้องการคลายปมคิ้วที่ซึ่งขมวดมุ่นของเขาออก “คันฉ่องป้องวิญญาณนั้นมีที่มาอย่างไรหรือ นั่นไม่ใช่ควรเรียกว่าคันฉ่องป้องอกหรอกหรือ”

โม่จื่อเฟิงรวบข้อมือบางของนางเอาไว้ นำมือเรียวของนางมาเย้าเล่นในมือของตน จึงค่อยกล่าวอย่างแช่มช้า “เจ้าเป็นช่างฝีมือ เจ้าควรจะดูออกได้ หากว่าเป็นคันฉ่องป้องอกธรรมดาๆ อันหนึ่ง ก็คงต้านฝ่ามือของข้าเอาไว้ไม่ได้แม้แต่น้อย แต่ว่ามันบังได้ นั่นก็หมายความว่าคันฉ่องป้องอกอันนั้นยังแทรกสอดวัสดุอื่นใส่เข้าไปด้วย”

แทรกสอด...วลีนี้ทำให้ในสมองของหลินซีนเยียนอดไม่ได้ที่จะคิดเรื่อยเปื่อยในใจ นั่นคือวลีที่พระสงฆ์และนักพรตสำนักธรรมใหญ่ๆ ประเภทพุทธศาสนาหรือลัทธิเต๋าใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ถูกโม่จื่อเฟิงนำเอามาใช้ในที่นี่เห็นแจ้งว่าค่อนข้างกระด้างกระเดื่องอยู่ นางคิด เขาต้องคิดสะระตะว่าจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดอย่างไรให้คนธรรมดาเยี่ยงนางถ่องแท้ในความหมายของมันกระมัง

นางเชื่อว่าบนโลกใบนี้มีพลังเหนือธรรมชาติชนิดจำเพาะพิเศษเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นวิญญาณของนางคงมิอาจย้อนอดีตเข้าสู่พื้นที่เวลานี้ได้หรอก เพียงแต่ เมื่อได้พบเจอกับเรื่องอันแสนน่าทึ่งนี้อีกครั้ง ยังทำให้นางอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

ก็ไม่น่าแปลกใจที่โม่จื่อเฟิงซึ่งอำนาจแข็งแกร่งล้นหลาม เขายังยอมรับเรื่องราวเหล่านี้ ดังนั้นจึงนึกสงสัยสถานะของตัวนางได้

“หากว่าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ ภูมิหลังของหลี่อวิ๋นซ่านผู้นี้ก็คือต้นตระกูลลึกลับแห่งหนึ่ง เพียงแต่ข้ายังคิดไม่ถึง การเคลื่อนไหวของพวกเขาจะรวดไวเพียงนี้ก็เท่านั้น พวกเขาเริ่มแทรกซึมกองกำลังเข้าสู่ประเทศหนานเยว่ เช่นนั้นข้าคิดว่า ปัจจุบันนี้ทุกประเทศบนผืนแผ่นดินใหญ่ล้วนมีการกระจายอำนาจของพวกเขาแล้ว” ยามที่โม่จื่อเฟิงกล่าววาจา สีหน้าของเขาทอประกายหนักอึ้งขึ้น

นี่ยิ่งทำให้หลินซีนเยียนยิ่งระส่ำระสายขึ้นมา นางรู้ว่ามารดาของโม่จื่อเฟิงมาจากต้นตระกูลอันใด แต่เห็นได้ชัดว่าต้นตระกูลของเขาและต้นตระกูลของหลี่อวิ๋นซ่านนั้นไม่ใช่ขั้วอำนาจเดียวกัน หากว่าเดาไม่ผิดล่ะก็ น่าจะเป็นสองขั้วอำนาจที่ขัดแย้งกัน

นางกังขามากขึ้นอีก ในสายตาของผู้ที่มาจากลึกลับอย่างโม่จื่อเฟิงและหลี่อวิ๋นซ่าน ราวกับว่าประเทศราชและบัลลังก์อะไรทำนองนี้ พวกเขาล้วนไม่ได้มองเห็นในสายตา สรุปแล้วคือความแข็งแกร่งอันใดกันแน่ ทำให้พวกเขาไม่เห็นประเทศราชอยู่ในสายตาได้ เบื้องหลังของผืนแผ่นดินใหญ่นี้ยังมีความลับอีกกี่มากน้อย จะมีความเกี่ยวข้องกับการที่นางย้อนเวลามาสู่โลกแห่งนี้หรือไม่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต