ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต นิยาย บท 312

ตอนที่ 312 ลงมือตระกูลเซียว

หมอโจวพยักศีรษะแล้วยังถอนหายใจเขียนตอบว่า “โรคที่เกิดจากจิตใจรักษายากที่สุด”

ดวงตาของหลินซินเยียนแสบรื้น แต่ท้ายที่สุดแล้วนางยังคงทนไหว “ท่านโจว ยากที่จะรักษาแต่ไม่ใช่ว่าจะไร้หนทางรักษาถูกต้องหรือไม่? สหายของข้าเคยเป็นคนดี ดีมากๆ สำหรับข้าแล้วเขาสำคัญอย่างยิ่งยวด ถ้าหากพอมีทาง ท่านโจวสามารถช่วยข้าไปดูอาการเขาได้หรือไม่?”

แววตาของนางชัดเจนและจริงใจ ขณะที่หมอโจวมองดูสีหน้าของนางพลันเกิดความสับสนเล็กน้อย ดูเหมือนจะพบเงาใครบางคนบนร่างของนาง แต่ท่านหมอโจวกลับไม่ได้กล่าวอะไร หลังจากที่ลังเลอยู่สักพักจึงค่อยพยักศีรษะ

เขาเขียนบนกระดาษว่า “ป่วยใจก็ต้องใช้ยาใจ ถ้าหากต้องการรักษาอาการป่วยสหายของเจ้าก็ต้องรู้ก่อนว่าทำไมเขาถึงเป็น เมื่อรู้สาเหตุแล้วจึงจะพบการใช้ยาให้ถูกกับโรค”

“ข้าเข้าใจแล้ว เพียงแต่ตอนนี้เขาไร้สติรู้คิด ดังนั้นหากต้องการจะรู้ว่าเขาเกิดอะไรขึ้นคงต้องการเวลาสักหน่อย ท่านโจวสามารถอาศัยอยู่ที่นี่สักหลายวันได้หรือไม่? ส่วนทำรองเท้าเหล็กให้กับท่านเพียงแต่เจ็ดวันก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว” นางทำการคาราวะหมอโจวอย่างนอบน้อม

กิริยาท่าทางของนางทำให้หมอโจวถึงกับตกใจ เขารีบประคองนางขึ้นมาพร้อมกับยกพู่กันเขียน “ถ้าหากเจ้าอยากจะให้ข้าอยู่หลายวัน เพียงแค่ยืดระยะเวลาในการสร้างรองเท้าเหล็กออกไปก็พอแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ทำเช่นนั้น กลับยอมรับกับข้าว่าใช้เวลาทำเพียงแค่เจ็ดวัน ข้าขอบใจเจ้ามาก ดังนั้นข้ายินดีจะอยู่ที่นี่นานขึ้นอีกหน่อย”

“ขอบคุณท่านโจว” ดึงรอยยิ้มอันสดใสออกมา นางทราบดีว่าจริงๆแล้วเนื้อแท้หมอโจวมิใช่คนเลวร้าย เพียงแค่จุดยืนของนางและเขานั้นแตกต่างกัน

หมอโจวโบกมือปรามถอนหายใจ อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของหลินซินเยียนเบาๆ ขณะที่จ้องมองดวงตาของนางก็รู้สึกโศกเศร้า และความโศกเศร้าของเขาก็ทำให้หลินซินเยียนสับสน

นางอยากจะถาม แต่ทว่าหมอโจวกลับส่ายศีรษะให้นางออกไปจากห้อง

ห้องพักของหมอโจวถูกปิดลงอีกครั้ง ไม่มีใครที่ได้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ้างว้างของเขา และยิ่งไม่มีใครที่จะได้เห็นประกายแววตาแห่งความรู้สึกผิดและความละอายแก่ใจที่อยู่ลึกลงไปในดวงตาของเขา

เขาไม่อาจที่จะบอกใครได้ว่าช่างฝีมือที่เรียกว่าหลินฟงนั้น เขากลับได้เห็นเงาร่างของหลินซินเยียนในร่างของหลินฟง เขารู้สึกผิดต่อหลินซินเยียน เขารู้ดีว่าบุตรมีความสำคัญต่อมารดาอย่างมาก แต่ในตอนนั้น เขากลับใช้บุตรชายของนางไปบีบบังคับนาง

หิมะตกลงมาแล้ว อีกทั้งยังตกหนักทับถมๆมาเรื่อยๆ เพียงไม่นานทุกอย่างก็ขาวโพลนด้วยหิมะสีขาวบริสุทธิ์ แต่น่าเสียดาย ทิวทัศน์ฤดูเหมันต์ที่งดงามเช่นนี้ คนภายในโรงงานอาวุธกลับไม่มีใครชื่นชม

เสียงปึงปัง ปึงปังดังอย่างไม่ขาดสายอยู่ภายในโรงงานอาวุธ ราวกับจังหวะบทเพลงอันไร้ระเบียบ ใครก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าครั้งถัดไปจะปรากฏเป็นสำเนียงใด

ศูนย์กลางอำนาจของเมืองเฟิ่งชีอยู่ภายในตำหนักเฉียนคุนขอวังหลวง ฮ่องเต้โม่จื่อยี่กำลังมองเซียวโส่วฝู่ที่คุกเข่าอยู่ด้านล่างด้วยสีหน้าที่ลำบากใจ ชายชราอายุเกินครึ่งร้อยกำลังเปลือยอกในวันที่หิมะตกหนัก บนหลังพันไว้ด้วยกิ่งไม้หนามแหลม ขณะที่กำลังคุกเข่าขอขมายอมรับผิดกับขุนนางทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนที่มานับร้อย เพียงเพราะเนื่องจากเซียวฉางเยว่ได้ทำเรื่องเสื่อมเสียทำให้ตระกูลเซียวสั่นคลอน

เซียวฉางเยว่และนักแสดงละครที่มาจากประเทศเป่ยหมิงรายนั้นเสพสุขกันอยู่ที่ด้านหลังภูเขาจำลอง แต่เพียงแค่ไม่กี่วันก็ได้แพร่ลือไปทั่วทุกซอกทุกมุมเมืองเฟิ่งชี ยามนี้ตระกูลเซียวถูกผลักอยู่บนริมหน้าผา แม้กระทั่งบุตรชายของเซียวโส่วฝู่ ผู้บัญชาการทหารเซียวนามเซียวฉิ้งก็ต้องรีบกลับมาจากชายแดน

“ฝ่าบาท กระหม่อมไร้ปัญญาสั่งสอนบุตรสาว ยินยอมรับการลงโทษ! ท่านทุบตีกระหม่อมให้ตายเถิด!” ลมหนาวที่พัดเข้าผ่านประตูตำหนักได้นำเกล็ดหิมะบางส่วนปลิวลอยมา ทำให้ร่างของเซียวโส่วฝู่สั่นเทิ้มไม่หยุด

ความสำนึกแค้นใจตนเองของเขา ทำให้เหล่าเสนาบดีฝั่งตระกูลเซียวปั่นป่วนกันถ้วนหน้า และออกมายืนพูดเพื่อตระกูลเซียว โดยส่วนใหญ่นั้นกล่าวว่าเรื่องนี้เป็นเพียงความผิดของบุตรสาวที่กระทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เซียวโส่วฝู่อายุมากแล้ว ไม่เหมาะสมที่จะได้รับการลงโทษอย่างสาหัสสากรรจ์เช่นนี้

ภายใต้การโน้มน้าวของผู้คน โม่จื่อยี่ยิ่งเกิดความลำบากใจ มองไปยังผู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างโดยมิปริปาก เพียงแต่คงไว้ด้วยใบหน้าที่เย็นชา “ยามนี้เซียวฉางเยว่ได้เป็นพระชายาอู่เซวียน อยู่บ้านอาศัยบิดา แต่งงานอาศัยสามี ไม่ทราบว่าอ๋องอู่เซวียนคิดจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?”

โม่จื่อเฟิงเงยหน้าขึ้นมา เหลือบมองโม่จื่อยี่ด้วยแววตาอันล้ำลึก ค่อยๆเดินไปจนมาถึงเบื้องหน้าของเซียวโส่วฝู่ พลันกล่าวว่า “เช่นนั้นเซียวโส่วฝู่คิดว่าเปิ่นหวางควรจะลงโทษบุตรสาวของเจ้าอย่างไร?”

เซียวโส่วฝู่เมื่อได้ฟังก็กัดฟันคำรามเสียงต่ำตอบ “บุตรสาวที่ด่างพร้อยมีมลทิน อ๋องอู่เซวียนประหารเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

โม่จื่อเฟิงแค่นเสียงเย็น แล้วจึงหันไปมองเซียวฉิ้งที่ยืนอยู่ด้านหลังเซียวโส่วฝู่ ถึงแม้เซียวโส่วฝู่จะเป็นประมุขของตระกูลเซียว แต่ทหารตระกูลเซียวกลับอยู่ในการควบคุมของเซียวฉิ้ง “แม่ทัพเซียวคิดว่าน้องสาวแบบนี้ สมควรประหารหรือไม่?”

ในสถานการณ์เช่นนี้ หนทางที่ดีที่สุดคือการเสียเรือเพื่อรักษาขุน( เสียสละสิ่งที่สำคัญน้อยกว่าเพื่อรักษาสิ่งที่สำคัญมากกว่า )ชื่อเสียงของตระกูลเซียวได้รับผลกระทบเนื่องจากเซียวฉางเยว่ ยามนี้ถ้าหากยังต้องการรักษานางไว้นั้นเกือบจะไม่มีทางเป็นไปได้ แต่เมื่อเซียวฉิ้งถูกโม่จื่อเฟิงถามเช่นนี้จึงรู้สึกตกตะลึง อารมณ์บนใบหน้าเปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า ดูเหมือนจะไม่สามารถเอ่ยปากได้

“อย่างไรกัน หรือท่านแม่ทัพเซียวคิดว่าน้องสาวสมควรได้รับการอภัยโทษ?” โม่จื่อเฟิงกลับไม่ได้เร่งรัด เพียงแค่ดูเหมือนกำลังเล่นแหวนหยกบนนิ้วมือตามใจชอบ

เซียวโส่วฝู่เห็นเซียวฉิ้งไม่พูดไม่จา ในใจก็เกิดโทสะ หันกลับไปจ้องเซียวฉิ้งพลางกล่าวว่า “เจ้าลูกอกตัญูญู! เจ้ายังลังเลอะไรอีก น้องสาวพรรค์นั้น เจ้ายังจะเก็บนางไว้เป็นหายนะทำลายตระกูลเซียวทั้งหมดของเราอีกหรือไง?

เซียวฉิ้งกัดกราม ริมฝีปากสั่นระริก อยากจะเอ่ยปากอยู่หลายครั้งแต่กลับไม่สามารถพูดออกมาได้

ในยามนี้ โม่จื่อเฟิงพลันหัวเราะขึ้นมากะทันหัน เสียงหัวเราะของเขาในท้องพระโรงที่เงียบสงัดดูโหดร้ายและบ้าคลั่ง ทุกคนถูกเสียงหัวเราะของเขาทำให้สับสน ขณะที่ทุกคนกำลังฉงน เขากลับหยุดหัวเราะ อีกทั้งหันกลับไปกล่าวกับโม่จื่อยี่ “ฝ่าบาท แม่ทัพเซียวไม่สะดวกใจที่จะเอ่ยปาก ไม่สู้ให้เปิ่นหวางพูดแทนเขาดีกว่า”

“เจ้าต้องการจะพูดอะไร?” โม่จื่อยี่สีหน้าเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม เขารู้จักโม่จื่อเฟิงดี ทุกครั้งที่โม่จื่อเฟิงเผยท่าทีเช่นนี้ ก็ต่อเมื่อมีบางสิ่งที่คำนวณไว้แล้วจนถึงที่สุด

โม่จื่อเฟิงยืนอยู่ใจกลางท้องพระโรง ร่างกายถูกห่อหุ้มด้วยจิ้งจอกดำอันเป็นสัญลักษณ์ตัวตนของเขา เกล็ดหิมะเล็กๆประปรายอยู่บนไหล่ของเขาเป็นครั้งคราว เมื่อถูกอุณหภูมิภายในห้องหลอมละลายจึงยังสายเกินไปที่จะทิ้งร่องรอยไว้โดยสมบูรณ์

ได้ยินเสียงอันเย็นชาของเขากล่าว “ไม่กี่วันก่อน คนของเปิ่นหวางได้ช่วยหญิงตั้งครรภ์ไว้คนหนึ่งที่ริมแม่น้ำ ที่น่าแปลกก็คือหญิงตั้งครรภ์คนนั้นอ้างว่าเป็นสตรีของท่านแม่ทัพเจียง นี่ไม่ใช่สาระสำคัญ บุรุษใดบ้างที่จะไร้สตรีเคียงกายไว้ฆ่าเวลา ที่น่าแปลกก็คือรูปลักษณ์ของหญิงตั้งครรภ์ผู้นั้น คาดไม่ถึงว่าจะละม้ายคล้ายคลึงกับพระชายาของเปิ่นหวางถึงแปดส่วน….”

เมื่อเขาพูดจบประโยค พลันเห็นเซียวฉิ้งถอยหลังไปหลายก้าว หลังจากนั้นก็มองมายังโม่จื่อเฟิงด้วยความตกตะลึง พึมพำขณะชี้ไปที่เขา “เป็นไปได้อย่างไร นางตายแล้วชัดๆ นางตายไปแล้ว…”

โม่จื่อเฟิงหัวเราะเบาๆโดยไม่สนใจท่าทีที่กำลังตกใจและเกรี้ยวกราดของเซียวฉิ้งในยามนี้ เพียงปรบมือครั้งสองครั้ง ทันใดนั้นก็มีองครักษ์ประคองหญิงท้องโตค่อยๆเดินเข้ามาในตำหนัก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต