ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต นิยาย บท 393

ตอนที่ 393 ชายและหญิงเป็นสหายกัน

หากว่าผู้ว่าท่านนี้มีอิทธิพลสูงสุดในบุคคลสามัญเมืองชวนจริงๆ แล้วล่ะก็ เช่นนั้นเขาก็น่าจะไม่อาจทำเรื่องโจ่งแจ้งต่อหน้าฝูงชนออกมาแน่ ส่วนพวกติดตาม ก็มิใช่ขอบเขตแห่งการพิจารณาของหลินซีนเยียนแล้ว

องครักษ์หลายนายนั้นเมื่อได้ยินนางกล่าวดังนี้ รีบกล่าวอธิบายทันใด “แม่นางอย่าเข้าใจผิด ใต้เท้าผู้ว่ารู้สึกว่าแม่นางเป็นคนบุคลิกน่าชื่นชมคนหนึ่ง ชมเชยวิธีการช่วยเหลือคนแร้นแค้นของแม่นางเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงนึกอยากผูกมิตรกับแม่นางเท่านั้น อนึ่งใต้เท้าผู้ว่าเพิ่งจะกล่าวการเฉพาะกิจแล้ว ท่านคาดหมายได้ว่าท่านต้องถามข้อกังขาเช่นนี้ ดังนั้นข้าจึงออกหน้าแทนทุกคน มอบป้ายอาญาสิทธิ์แก่แม่นางเป็นการแสดงความจริงใจ”

“ป้ายอาญาสิทธิ์?” หลินซีนเยียนค่อนข้างพิศวง ไม่รู้ว่าใต้เท้าผู้ว่าคนนี้สรุปแล้วจะเล่นแง่แบบไหนกันแน่

นางไม่รู้ว่าป้ายอาญาสิทธิ์นั่นหมายความว่าอย่างไร ทว่าคนรอบด้านที่ได้เห็นป้ายอาญาสิทธิ์ต่างเผยสีหน้าชื่นชมและเยินยอออกมา

“ป้ายอาญาสิทธิ์นนั้นเป็นป้ายอาญาสิทธิ์เข้าออกที่มีเพียงเมืองชวน เป็นตัวแทนว่าเป็นแขกของจวนผู้ว่า ในกลางเมืองสามารถเพลิดเพลินกับสิทธิพิเศษมากมาย รวมถึงโรงสุราเรือนพักแขก ก็สามารถใช้ป้ายอาญาสิทธิ์ชำระบัญชีได้ บัญชีทั้งหมดจะถูกคิดในจวนผู้ว่า” เด็กสาวที่เพิ่งถูกหลินซีนเยียนรับซื้อเอาไว้ยามนี้ลุกขึ้นยืนข้างกายของหลินซีนเยียน เห็นว่านางมีสีหน้ากังขา ดังนั้นจึงรีบอธิบายเสียงแผ่วแก่นางทันที

คราวนี้หลินซีนเยียนจึงเข้าใจความเป็นมาของป้ายอาญาสิทธิ์นี้ แต่ว่าต้องชมเชยเด็กสาวคนนี้ขึ้นมาหนึ่งขนัด หลักแหลมเช่นนี้ ก็มองออกถึงความฉงนของนางแล้วรีบอธิบายให้นางฟัง

“แม่นาง ป้ายอาญาสิทธิ์ท่านโปรดรับเอาไว้ ต่อหน้าผู้คนมากมายเพียงนี้ ท่านควรเชื่อมั่นในความจริงใจของใต้เท้าผู้ว่าเถิด” องครักษ์ผู้นั้นวางป้ายอาญาสิทธิ์ไว้บนมือทั้งสองข้าง

หลินซีนเยียนเดิมทีก็หวาดระแวงอยู่ ทว่าคิดกลับกัน เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะวิธีอหิงสาก่อนทำศึก มิเช่นนั้นผลลัพธ์ราวกับไม่อาจเกิดความเปลี่ยนแปลง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้เลือกวิธีที่ผ่อนคลายกว่ามาเสวนากันหรอกหรือ

นางพยักหน้า รับป้ายอาญาสิทธิ์นั้นไว้ จึงค่อยเดินตามองครักษ์นายนั้นไป

องครักษ์ที่เหลืออยู่ขับไล่กลุ่มฝูงชน ฝูงชนได้ชมเรื่องครึกครื้นจบแล้ว ต่างก็แยกย้ายตามๆ กันออกไป

ระยะทางของปากป้อมปราการของจวนโรงชาไม่ไกลนัก ผ่านไปไม่กี่นาทีขบวนคนก็เดินทางมาถึงหน้าประตูหลักของจวนโรงชา จวนโรงชานี้ไม่ค่อยเหมือนกับโรงน้ำชาทั่วไป อีกทั้งมีลานขนาดเล็กที่สง่างาม เดินเข้าไปให้ความรู้สึกราวกับห้องอ่านหนังสือส่วนตัวที่เคล้าคลุ้งกลิ่นหอมฉุน หากไม่ใช่ว่ามีกลิ่นชาอ่อนๆ ลอยฟุ้งตามอากาศ ก็ยากมากที่ผู้คนจะปะติดปะต่อมันกับจวนโรงชาเข้าด้วยกัน

ภายในสวน มีสระบัวเทียมที่สร้างด้วยฝีมือมนุษย์หนึ่งบ่อ มีใบบัวมากมายลอยอยู่กลางสระ แต่กลับไม่หนาแน่น อยู่เพียงกระจัดกระจายเท่านั้น ในนั้นมีดอกบัวที่เริ่มบานได้ครึ่งดอกปักอยู่ ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ไม่เพียงต่อให้หลินซีนเยียนรู้สึกแจ็บปวด ถึงแม้นางจะออกมาแคว้นหมัน แต่กลับรู้ว่าสภาพแวดล้อมของแคว้นหมันกับประเทษหนานเยว่ไม่เหมือนกัน ณ ที่นี้หากแม้นอยากปลูกดอกบัวกลับไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย อย่างน้อย ใบบัวเหล่านี้สามารถคงรอดอยู่ในสระนี้ นับว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์นัก

ระดับความหรูหราฟุ่มเฟือยของเถ้าแก่จวนโรงชานี้ สามารถมองออกได้เจ็ดส่วนจากดอกบัวเหล่านี้

มีอารไม้ไผ่สองชั้นติดกับสระบัว ตอนที่องครักษ์พาหลินซีนเยียนมายังปากประตูอาคารไม้ไผ่ก็หลุดฝีเท้าลง “แม่นาง ใต้เท้าผู้ว่ารอท่านอยู่บนชั้นสองแล้ว ยังเชิญท่านให้ขึ้นไปด้วยตนเอง สถานะของพวกเราต่ำต้อย ไม่ได้รับการอนุญาตจากใต้เท้าผู้ว่า ก็มิอาจขึ้นบนชั้นสองได้ขอรับ”

หลินซีนเยียนพยักหน้า ในอกกลับยิ่งไม่ได้ประทับใจอะไรกับใต้เท้าผู้ว่านั่น บุคคลหนึ่งที่แบ่งแยกสถานะของคนได้ชัดเจนเพียงนี้ ในกระดูกก็คงรู้สึกว่าตนเองสูงศักดิ์ยศใหญ่อยู่ บางทีในสายตาของเขาก็ดูแคลนคนอื่นๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

“เจ้าอยู่ที่นี่เถิด ข้าไปเอง” หลินซีนเยียนลังเลเล็กน้อย ตอนที่องครักษ์ตรงข้ามกำชับกับเด็กสาวคนนั้น หลังจากพูดเสร็จแล้ว นางยังลูบมือเด็กสาวคนนั้นเบาๆ ประชิดใบหูเด็กสาวคนนั้น กล่าวเสียงแผ่ว “หากว่ามีเรื่องไม่คาดคิดล่ะก็ ไม่ต้องสนใจข้า เจ้าคิดวิธีหนีด้วยตนเองได้เลย”

เด็กสาวได้ยินน้ำคำของนาง แววตกตื่นเต็มดวงตา ราวกับไม่คาดคิดว่านางไม่พาตนเองขึ้นไป เพียงเพราะสาเหตุข้อนี้ ครู่ต่อมาแววตาผันผวนของเด็กสาวทอประกายขึ้นก่อนจะแปรเป็นความตื้นตัน

หลินซีนเยียนขึ้นไปบนชั้นสองโดยลำพัง ชั้นสองมีเพียงห้องหรูหราห้องเดียว ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเรื่องการหาสถานที่ไม่พบเลยสักนิด นางมาถึงปากประตู ยกมือขึ้นเคาะประตูห้อง

ภายในห้องหรูหรา มีเสียงผู้ชายที่ทุ้มต่ำแต่เสนาะหูเสียงหนึ่งลอยออกมา “เข้ามาเถิด”

หลินซีนเยียนผลักประตูเข้าไป ยังไม่ทันได้เห็นคนด้านใน กลับได้ยินชาหอมฉุนลอยบนกระหม่อม ต่อให้นางไม่ชำนาญเรื่องชาแต่ก็พอรู้ว่าชานี้จะต้องเป็นชาดีที่สุดแน่นอน

“ยืนอยู่หน้าประตูทำการใด เข้ามา” คนที่อยู่หลังฉากกั้นกล่าวรบเร้าราวกับไม่มีความอดกลั้น

หลินซีนเยียนเดินอ้อมฉากกั้น คราวนี้จึงนับว่าเป็นการเข้าสู่เขตในของห้องหรู เพียงแต่ นางไม่ได้คาดคิดว่าคนตรงหน้าตัวเองจะเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง อายุไม่มาก มากสุดไม่น่าเกินสามสิบปี ถึงแม้เขาจะสวมอาภรณ์ยาวสีม่วง ทว่าบนเรือนกายยังเผยความเย่อหยิ่งจำพวกที่ผู้บัญชาการพึงมีออกมา

เขาเงยหน้าขึ้น สบมองใบหน้าหลินซีนเยียนตรงๆ “ข้าดูดีใช่หรือไม่”

“เอ่อ...” หลินซีนเยียนทำเพียงสติว้าวุ่นชั่วคราว ถูกเขาถามเช่นนี้ ราวกับกำลังแอบมองเขาไม่ปาน จึงค่อนข้างไร้คำพูด

“นั่ง” ผู้ว่าผายมือออก จากนั้นจึงกาชาละเมียดขึ้นมารินชาให้นางหนึ่งถ้วย “แม่นางมิใช่คนเมืองชวนรึ”

เบื้องหน้ามิใช่คนใบหน้าแย้มยิ้ม หลินซีนเยียนเองก็ไม่มีเหตุผลต้องยึดติดกับอีกฝ่าย ดังนั้นจึงนั่งลงอย่างว่าง่าย “อืม ข้าเป็นคนประเทศหนานเยว่”

“ประเทศหนานเยว่...” ผู้ว่างึมงำประโยคนี้อย่างมีเลศนัย ก่อนจะระเบิดหัวเราะ “ข้าชื่อฉินชิงเฟิง เจ้ามีนามว่าอะไร”

คนหนึ่งที่แบ่งชนชั้นวรรณะ แต่ตอนที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากแนะนำตนเองแก่นางกลับใช้น้ำเสียงแสนทัดเทียมกันเยี่ยงนี้ หลินซีนเยียนยิ่งรู้สึกสับสนในแกนสมอง ก่อนกระแอมไอกล่าว “หลินซีนเยียน”

“เมฆากำเนิดหมอก ว่าแต่เป็นชื่อที่ดีชื่อหนึ่ง” รอยยิ้มฉินชิงเฟิงยังคงจืดจาง เพียงแต่รอยยิ้มที่ไม่เข้าสู่ก้นบึ้งดวงตา ทำให้คนคาดเดาว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ไม่ได้เลยสักนิด

หลินซีนเยียนไม่ได้เอ่ยคำ นางปฏิเสธการคิดว่าใต้เท้าผู้ว่าคนนี้เชิญนางมาถึงที่ยี่เพียงเพียงดื่มชาจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นนางก็จะรอ รอตอนที่เขาอยากพูด เป็นธรรมดาว่าต้องพูดสิ่งที่เขาต้องการออกมาแน่

ความสงบและเยือกเย็นของนาง ทำให้แววสนใจในดวงตาของฉินชิงเฟิงยิ่งเพิ่มขึ้น กล่าวกระตุกยิ้มมุมปาก “ไม่ต้องเครียดเพียงนี้ก็ได้ ข้าชื่นชอบสาวสงม เป็นเรื่องที่คนทั้งเมืองต่างก็รู้ และเจ้า เป็นสาวงามคนหนึ่ง ดังนั้นข้าอยากเป็นเพื่อนกับเจ้าด้วยใจจริง”

น้ำคำประเภทนี้ มีเพียงเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเท่านั้นที่จะเชื่อ! ผู้ชายคนหนึ่งบอกว่าเขาต้องการเป็นเพื่อนกับเจ้า ประโยคนี้ฟังดูแล้วก็เป็นมุกตลกที่เกินจริงนัก

“แบบนี้เลย?” หลินซีนเยียนถามอย่างไม่เคลือบแฝง

ฉินชิงเผิงไหวไหล่ “ใช่ แบบนี้เลย”

“เช่นนั้นในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้าก็ผูกมิตรกับท่านผู้ว่าแล้ว เช่นนั้นสหายรักของข้า ใต้เท้าผู้ว่า ตอนนี้ข้ายังมีธุระ กลับไปได้หรือยัง” ปากกล่าวเรื่องที่ไม่รับผิดชอบ ใครจะทำไม่เป็นบ้าง หลินซีนเยียนใช้วิธีการของผู้อื่นมาปฏิบัติในเรื่องของตน กล่าวพลางหยัดกายลุกขึ้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต