ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน นิยาย บท 105

นายหญิงมู่หัวเราะและพูดว่า “โถ่ ดูเด็กคนนี้สิ จะพูดยังไงดี จะไม่เกี่ยวข้องกันได้ยังไง ลูกพี่ลูกน้องก็เป็นพี่น้องกันนะ...”

คุณท่านมู่ “ใช่แล้ว พวกเราทุกคนมีสายเลือดของตระกูลมู่เหมือนกัน! แหม่ วัยรุ่นหนุ่มสาวชอบล้อเล่นตลอด!”

มู่กุยฝานพ่นลมทางจมูกอย่างเย็นชา “สายเลือดของตระกูลมู่งั้นเหรอ น่าเสียดายที่พวกคุณไม่คู่ควรเลย...”

ดวงตาของเขาเย็นชาไร้อารมณ์ใดใด

“ตอนคุณปู่ของผมเสียชีวิตและพ่อแม่ของผมถูกฆ่าตาย ผมกลับไปหาพวกคุณที่เมืองหนานเฉิง”

“เดาซิว่ายังไงต่อ” มู่กุยฝานปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน “เพราะพวกคุณกลัวที่จะมีส่วนเกี่ยวข้อง พอรู้ว่าผมมาถึงที่สถานีรถประจำทาง พวกคุณก็รีบหาคนมาไล่ผมออกจากเมือง”

“วันรุ่งขึ้น ทั้งครอบครัวก็ย้ายไปค้างคืนที่บริเวณชายฝั่ง”

เขาหาพวกเขาไม่พบ!

ตอนนั้นเขาเพิ่งจะเจ็ดขวบ ความกลัวและความสับสนในการสูญเสียผู้เป็นที่รักทำให้เขาต้องแสวงหาที่พักพิงจากญาติพี่น้องโดยสัญชาตญาณ

น่าเสียดาย...ที่ไร้ญาติขาดมิตร

เรื่องราวเปลี่ยนแปลงรุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอน ใครจะคิดว่าเด็กอายุเจ็ดขวบจะรอดชีวิตมาได้

ซู่เป่าไม่รู้ว่าทำไมเมื่อฟังพ่อคนนี้พูดถึงอดีตอย่างไม่แยแส ความเศร้าในใจของเธอก็ค่อย ๆ เอ่อล้นออกมา

จริง ๆ แล้วพ่อที่สูงกว่าขอบประตูคนนี้เคยเป็นเหมือนกับเธอ

ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีพ่อแม่ และถูกคนอื่นมองว่าเป็นตัวซวย

ซู่เป่าเม้มปากและกอดคอของมู่กุยฝานโดยไม่พูดอะไรสักคำ

มู่กุยฝานรู้สึกได้ถึงที่พึ่งพิงของเจ้าตัวเล็ก มู่กุยฝานจึงหยุดพูดไปชั่วขณะ

ผมนุ่มสลวยของซู่เป่าทิ่มแถวคอของเขา ทำให้หัวใจของเขารู้สึกเบาสบายขึ้นมา

“หืม” มู่กุยฝานเลิกคิ้ว

เจ้าตัวเล็กนี่...เจ็บปวดใจเรื่องเขางั้นเหรอ

หัวใจของมู่กุยฝานรู้สึกอุ่นขึ้นเล็กน้อย

ตระกูลมู่ถูกมู่กุยฝานเปิดโปงจนไม่รู้จะพูดอะไรอยู่พักหนึ่ง และได้แต่หัวเราะเขิน “นี่ นี่ ๆ ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรแน่เลย...”

เมื่อทุกคนได้ยินสิ่งนี้ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจ เดิมทีคุณท่านมู่และปู่ของเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน!

เมื่อรู้ว่าลูกพี่ลูกน้องถูกเปิดโปงและถูกฆ่าตายก็กลัวตัวเองโดนไปด้วย จึงขับไล่หลานชายที่กำลังตามหาญาติตัวเองออกไปและถึงกับต้องย้ายไปค้างที่อื่น

นั่นไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลมู่พูดเมื่อมาถึงจิงตู พวกเขาเอาแต่พูดว่า 'พี่ชายใหญ่ของฉันช่างน่าเวทนา' 'แทบรอแทนที่พี่ชายของฉันไม่ไหวแล้ว'...

เมื่อส่งการ์ดเชิญไปก็พูดว่า “เทพแห่งสงครามคือหลานชายร่วมสายเลือดของตระกูลมู่เรา”

มันก็เลยทำให้พวกเขาไม่เข้าใจเกี่ยวกับรายละเอียดมากนัก และคิดว่ามู่หมิงหย่วนผู้เสียสละคือพี่ใหญ่ร่วมสายเลือดของพวกเขา

“หลานของลูกพี่ลูกน้องเรียกปู่นั้นก็เป็นความสัมพันธ์อีกหนึ่งชั้น รุ่นปู่ทวดของลูกพี่ลูกน้องยิ่งไม่ต้องพูดถึง นับว่าเป็นญาติห่าง ๆ กันไหมล่ะ”

“ตอนเริ่มวิ่งแรกๆ วิ่งเร็วมากเพราะกลัวว่าจะเดือดร้อนไปด้วย พอได้เครดิตก็ยิ่งวิ่งเร็วขึ้นกว่าคนอื่นไปอีก! ไม่ได้หาหลานชายมานานกว่าสิบปี พอได้ยินว่ากลายเป็นเทพแห่งสงครามไปแล้วก็รับว่าเป็นญาติขึ้นมาเลยนะ...”

“ช่างหน้าไม่อายจริง ๆ”

“ถ้าหัวหน้ามู่เป็นเพียงคนธรรมดา พวกเขาจะยังจำได้อยู่ไหม”

“ไม่เป็นแบบนั้นแน่นอน ดูตระกูลซูพาคุณซู่เป่ามาที่นี่สิพวกเขาจำเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ ตาของเธอโตจนเกือบสุดหัว... ผู้คนคิดว่ามีเพียงคนจากตระกูลกวนเท่านั้นที่สมควรได้คบค้าสมาคมกัน”

เมื่อฟังการสนทนาที่ไม่มีปิดบังจากทุกคน นายหญิงมู่ก็รู้สึกได้แค่ถอนหายใจอยากหนักอก

อึดอัด!

คุณท่านมู่หน้าแดงขึ้น ราวกับว่าพวกเขามีผ้าผูกเอวมาตลอดแต่ตอนนี้ผ้าผูกเอวนั้นกลับถูกเปิดขึ้น

คนที่เปิดออกไม่ใช่พวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขาเสียหน้าต่อหน้าผู้คน

มู่ชิงหลินตอบสนองอย่างรวดเร็วและรีบพูดขึ้นว่า “ปู่รอง พี่ชายเดินทางมาไกลและเหน็ดเหนื่อยมาก เราเข้าไปคุยกันข้างในดีกว่านะ!”

เขามองไปที่มู่กุยฝาน พยักหน้าและยิ้มอย่างอบอุ่น “พี่ชาย พี่ว่าไง”

นายหญิงมู่พูดอย่างรวดเร็ว “ใช่ ๆ ๆ เสี่ยวฝาน เข้าไปก่อนแล้วค่อยคุยกัน เข้าไปก่อนแล้วค่อยคุยกัน...”

คุณท่านมู่ “เดินทางมาตั้งไกลคงเหนื่อยมาก! มาเร็ว เชิญเข้ามาก่อน...”

ผิวหน้าของคนตระกูลมู่เริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ และพวกเขาอยากจะเชิญมู่กุยฝานเข้าไปคุยด้านใน!

ความอัปลักษณ์ของครอบครัวไม่ควรให้คนข้างนอกได้รับรู้ ถ้าเชิญมู่กุยฝานเข้าไปก่อน ต่อให้น่าเกลียดแค่ไหนถ้าปิดประตูเอาไว้ก็จะมีแค่พวกเขาเท่านั้นที่รู้และเพื่อไม่ให้คนอื่นมองพวกเขาเป็นตัวตลก...

ไม่ทันคาดคิด มู่กุยฝานมองไปที่ซู่เป่าอีกครั้ง

“เด็กดี อยากเข้าไปข้างในไหม” มู่กุยฝานถาม

ก่อนที่ซู่เป่าจะพูด นายหญิงมู่ก็รีบเกลี้ยกล่อมเธอว่า “ซู่เป่าเด็กดี เราเข้าไปข้างในกันก่อนไหม ดูสิ ย่าทวดเตรียมเค้กไว้ให้หนูด้วยนะ...”

“ข้างในมีของเล่นสนุก ๆ เยอะแยะเลย ตุ๊กตาบาร์บี้!”

ซู่เป่าส่ายหัว “หนูไม่กินเค้กของพวกคุณ แล้วหนูก็ไม่อยากได้ของเล่นของพวกคุณด้วย”

แม้ว่าเธอจะชอบกินเค้ก

แต่ไม่ใช่ว่าจะกินเค้กที่ใครให้ก็ได้

คิดว่าเธอเป็นเด็กแบบไหนกัน

นายหญิงมู่กำลังจะอาเจียนเป็นเลือด

เมื่อครู่แทบอยากจะไล่ซู่เป่าออกไปไม่ไหว

นี่มันแย่ซะจริง ไม่คิดว่าต้องขอให้เธอเข้าไปเร็วแบบนี้

คนอื่นยังไม่ได้เข้า!

ถ้ารู้มาก่อนหน้านี้ เมื่อครู่นี้คงจะไม่ร้ายใส่เธอไปแบบนั้น...

มู่กุยฝานพูด “ว่านเทา ไป ไปเอาป้ายเกียรติยศของคุณปู่ฉันกลับมา”

ว่านเทาเป็นลูกน้องของมู่กุยฝานซึ่งนามสกุลว่าน เดิมทีพ่อแม่ของเขาต้องการตั้งชื่อว่า 'ว่านโซ่ว' แต่คิดว่ามันหยาบคายเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงเติมอักษรเพื่อเปลี่ยนเป็นชื่อ 'ว่านเทา'

ว่านเทาถูกส่งมาจากหัวหน้าชั้นบนเพื่อมาควบคุมมู่กุยฝาน เพราะเกรงว่าเขาจะอิสระมากเกินไป

แต่นี่คือสิ่งที่เขาสามารถควบคุมได้เหรอ

ว่านเทาแอบถอนหายใจ ตอบได้แค่ว่า 'ใช่' แล้วรีบเดินเข้าไปถอดแผ่นป้าย

อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แผ่นป้ายนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่กับตระกูลมู่จริง ๆ

เสียชื่อวีรบุรษหมด!

คุณท่านซูและนายหญิงซูไม่เคยคาดคิดว่ามู่กุยฝานจะถอดป้ายของเขาออก!

พวกเขามาถึงจุดนี้ได้โดยอาศัยป้ายอันทรงเกียรตินี้ ถ้ามู่กุยฝานถอดเอาไป แล้วพวกเขาจะทำยังไง

นายหญิงมู่รีบตามเข้ามา

คุณท่านมู่พูดอย่างกระวนกระวาย “เสียวฝาน! หลานทำเกินไปแล้ว!”

ไม่รู้เลยว่าเป็นคนที่มีทัศนคติบิดเบี้ยว พูดพึมพำออกมาว่า "ใช่ ๆ คิดเล็กคิดน้อยเกินไป...เรื่องมันก็นานมาแล้ว ญาติพี่น้องจะช่วยหรือไม่ช่วยกันถึงกับต้องอาฆาตแค้นกันเลยเหรอ การช่วยเหลือกันคือการรักใคร่กัน ถ้าไม่ช่วยมันก็เป็นสิทธิของเขา...”

ซู่เป่ารู้สึกแปลก ๆ รักใคร่แบบไหนกัน สิทธิแบบไหนกัน

ตอนนี้คุณพ่อขายาวแค่ต้องการเอาของของตัวเองคืน มันควรจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ

มู่กุยฝานเลิกคิ้วด้วยความเย่อหยิ่งและเย็นชา “ยังมีอีกมากที่จะตามมา ใจเย็น ๆ”

เขามองไปรอบ ๆ และพูดอย่างเย็นชา “ผมมู่กุยฝานไม่เคยเป็นคนใจกว้าง ถ้าช่วยเหลือกันคือการรักใคร่กันและถ้าไม่ช่วยเหลือมันก็เป็นสิทธิของเขาแบบนี้ ต่อหน้าครอบครัวนี้ผมก็จะไม่ยอมรับ”

“ป้ายของคุณปู่ผม พวกเขาจะเอาไปในฐานะอะไร หลานชายแท้ ๆ อย่างผมเองยังสมเหตุสมผลมากกว่า!”

ก็แค่เอาป้ายเท่านั้น

เขาไม่ได้จะเอาชนะพวกเขาด้วยซ้ำ

แค่นี้ก็ใจกว้างมากแล้ว จะขอเขามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

คนที่พึมพำเมื่อครู่นี้ดูเขินอายและหยุดพูดทันที

ว่านเทาออกมาพร้อมกับแผ่นป้ายบนไหล่เขา นายหญิงตระกูลมู่ก็เดินตามหลังมาและหวังว่าเธอจะคว้ามันกลับมาได้

มู่กุยฝานมองไปรอบ ๆ อย่างไร้อารมณ์ “วันนี้ผมคงพูดชัดเจนแล้ว ผมมู่กุยฝานไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดใดกับตระกูลมู่ของพวกเขาทั้งสิ้น”

“จากนี้ไป ถ้าตระกูลมู่กล้าหลอกใช้ชื่อคุณปู่ของผมอีก ก็อย่าหาว่าผมไม่เกรงใจเลย”

ซู่เป่าพยักหน้าอย่างหนัก “ใช่ ไม่เกรงใจ!”

ปากเล็กแสยะยิ้มเผยให้เห็นฟันเขี้ยวเล็ก ๆ สองซี่ที่ดูดุร้าย

มู่กุยฝานเม้มปาก กอดซู่เป่าด้วยมือข้างหนึ่ง อีกมือหนึ่งโยนป้ายเกียรติยศของคุณปู่เขาเข้าไปในรถออฟโรด

จากนั้นเขาก็วางซู่เป่าลงบนที่นั่งอย่างนุ่มนวลด้วยรอยยิ้มในดวงตาสีเข้มของเขา

“นั่งดี ๆ นะเจ้าตัวเล็ก พ่อจะพากลับบ้าน”

ซูอีเฉินที่สังเกตอย่างใจเย็นตั้งแต่ต้นจนจบจู่ ๆ ก็กลับมารู้สึกตัว ไม่สิ พูดก็พูด จะพาซู่เป่าออกไปแบบนี้ได้ยังไง

“เดี๋ยวก่อน!” ซูอีเฉินไล่ตามเขาด้วยใบหน้าเย็นชา

รถออฟโรดที่เย่อหยิ่งและป่าเถื่อนกระแทกเข้ากับประตูเหล็กที่ผุพังของตระกูลมู่อย่างแรงและหายไปในความมืดมิด

ซูอีเฉิน “...”

“...”

ว่านเทาอ้าปากค้าง

นายท่านอา...ที่จะพูดก็คือ คุณทิ้งอะไรไว้หรือเปล่า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน