นายหญิงมู่หัวเราะและพูดว่า “โถ่ ดูเด็กคนนี้สิ จะพูดยังไงดี จะไม่เกี่ยวข้องกันได้ยังไง ลูกพี่ลูกน้องก็เป็นพี่น้องกันนะ...”
คุณท่านมู่ “ใช่แล้ว พวกเราทุกคนมีสายเลือดของตระกูลมู่เหมือนกัน! แหม่ วัยรุ่นหนุ่มสาวชอบล้อเล่นตลอด!”
มู่กุยฝานพ่นลมทางจมูกอย่างเย็นชา “สายเลือดของตระกูลมู่งั้นเหรอ น่าเสียดายที่พวกคุณไม่คู่ควรเลย...”
ดวงตาของเขาเย็นชาไร้อารมณ์ใดใด
“ตอนคุณปู่ของผมเสียชีวิตและพ่อแม่ของผมถูกฆ่าตาย ผมกลับไปหาพวกคุณที่เมืองหนานเฉิง”
“เดาซิว่ายังไงต่อ” มู่กุยฝานปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน “เพราะพวกคุณกลัวที่จะมีส่วนเกี่ยวข้อง พอรู้ว่าผมมาถึงที่สถานีรถประจำทาง พวกคุณก็รีบหาคนมาไล่ผมออกจากเมือง”
“วันรุ่งขึ้น ทั้งครอบครัวก็ย้ายไปค้างคืนที่บริเวณชายฝั่ง”
เขาหาพวกเขาไม่พบ!
ตอนนั้นเขาเพิ่งจะเจ็ดขวบ ความกลัวและความสับสนในการสูญเสียผู้เป็นที่รักทำให้เขาต้องแสวงหาที่พักพิงจากญาติพี่น้องโดยสัญชาตญาณ
น่าเสียดาย...ที่ไร้ญาติขาดมิตร
เรื่องราวเปลี่ยนแปลงรุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอน ใครจะคิดว่าเด็กอายุเจ็ดขวบจะรอดชีวิตมาได้
ซู่เป่าไม่รู้ว่าทำไมเมื่อฟังพ่อคนนี้พูดถึงอดีตอย่างไม่แยแส ความเศร้าในใจของเธอก็ค่อย ๆ เอ่อล้นออกมา
จริง ๆ แล้วพ่อที่สูงกว่าขอบประตูคนนี้เคยเป็นเหมือนกับเธอ
ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีพ่อแม่ และถูกคนอื่นมองว่าเป็นตัวซวย
ซู่เป่าเม้มปากและกอดคอของมู่กุยฝานโดยไม่พูดอะไรสักคำ
มู่กุยฝานรู้สึกได้ถึงที่พึ่งพิงของเจ้าตัวเล็ก มู่กุยฝานจึงหยุดพูดไปชั่วขณะ
ผมนุ่มสลวยของซู่เป่าทิ่มแถวคอของเขา ทำให้หัวใจของเขารู้สึกเบาสบายขึ้นมา
“หืม” มู่กุยฝานเลิกคิ้ว
เจ้าตัวเล็กนี่...เจ็บปวดใจเรื่องเขางั้นเหรอ
หัวใจของมู่กุยฝานรู้สึกอุ่นขึ้นเล็กน้อย
ตระกูลมู่ถูกมู่กุยฝานเปิดโปงจนไม่รู้จะพูดอะไรอยู่พักหนึ่ง และได้แต่หัวเราะเขิน “นี่ นี่ ๆ ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรแน่เลย...”
เมื่อทุกคนได้ยินสิ่งนี้ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจ เดิมทีคุณท่านมู่และปู่ของเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน!
เมื่อรู้ว่าลูกพี่ลูกน้องถูกเปิดโปงและถูกฆ่าตายก็กลัวตัวเองโดนไปด้วย จึงขับไล่หลานชายที่กำลังตามหาญาติตัวเองออกไปและถึงกับต้องย้ายไปค้างที่อื่น
นั่นไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลมู่พูดเมื่อมาถึงจิงตู พวกเขาเอาแต่พูดว่า 'พี่ชายใหญ่ของฉันช่างน่าเวทนา' 'แทบรอแทนที่พี่ชายของฉันไม่ไหวแล้ว'...
เมื่อส่งการ์ดเชิญไปก็พูดว่า “เทพแห่งสงครามคือหลานชายร่วมสายเลือดของตระกูลมู่เรา”
มันก็เลยทำให้พวกเขาไม่เข้าใจเกี่ยวกับรายละเอียดมากนัก และคิดว่ามู่หมิงหย่วนผู้เสียสละคือพี่ใหญ่ร่วมสายเลือดของพวกเขา
“หลานของลูกพี่ลูกน้องเรียกปู่นั้นก็เป็นความสัมพันธ์อีกหนึ่งชั้น รุ่นปู่ทวดของลูกพี่ลูกน้องยิ่งไม่ต้องพูดถึง นับว่าเป็นญาติห่าง ๆ กันไหมล่ะ”
“ตอนเริ่มวิ่งแรกๆ วิ่งเร็วมากเพราะกลัวว่าจะเดือดร้อนไปด้วย พอได้เครดิตก็ยิ่งวิ่งเร็วขึ้นกว่าคนอื่นไปอีก! ไม่ได้หาหลานชายมานานกว่าสิบปี พอได้ยินว่ากลายเป็นเทพแห่งสงครามไปแล้วก็รับว่าเป็นญาติขึ้นมาเลยนะ...”
“ช่างหน้าไม่อายจริง ๆ”
“ถ้าหัวหน้ามู่เป็นเพียงคนธรรมดา พวกเขาจะยังจำได้อยู่ไหม”
“ไม่เป็นแบบนั้นแน่นอน ดูตระกูลซูพาคุณซู่เป่ามาที่นี่สิพวกเขาจำเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ ตาของเธอโตจนเกือบสุดหัว... ผู้คนคิดว่ามีเพียงคนจากตระกูลกวนเท่านั้นที่สมควรได้คบค้าสมาคมกัน”
เมื่อฟังการสนทนาที่ไม่มีปิดบังจากทุกคน นายหญิงมู่ก็รู้สึกได้แค่ถอนหายใจอยากหนักอก
อึดอัด!
คุณท่านมู่หน้าแดงขึ้น ราวกับว่าพวกเขามีผ้าผูกเอวมาตลอดแต่ตอนนี้ผ้าผูกเอวนั้นกลับถูกเปิดขึ้น
คนที่เปิดออกไม่ใช่พวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขาเสียหน้าต่อหน้าผู้คน
มู่ชิงหลินตอบสนองอย่างรวดเร็วและรีบพูดขึ้นว่า “ปู่รอง พี่ชายเดินทางมาไกลและเหน็ดเหนื่อยมาก เราเข้าไปคุยกันข้างในดีกว่านะ!”
เขามองไปที่มู่กุยฝาน พยักหน้าและยิ้มอย่างอบอุ่น “พี่ชาย พี่ว่าไง”
นายหญิงมู่พูดอย่างรวดเร็ว “ใช่ ๆ ๆ เสี่ยวฝาน เข้าไปก่อนแล้วค่อยคุยกัน เข้าไปก่อนแล้วค่อยคุยกัน...”
คุณท่านมู่ “เดินทางมาตั้งไกลคงเหนื่อยมาก! มาเร็ว เชิญเข้ามาก่อน...”
ผิวหน้าของคนตระกูลมู่เริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ และพวกเขาอยากจะเชิญมู่กุยฝานเข้าไปคุยด้านใน!
ความอัปลักษณ์ของครอบครัวไม่ควรให้คนข้างนอกได้รับรู้ ถ้าเชิญมู่กุยฝานเข้าไปก่อน ต่อให้น่าเกลียดแค่ไหนถ้าปิดประตูเอาไว้ก็จะมีแค่พวกเขาเท่านั้นที่รู้และเพื่อไม่ให้คนอื่นมองพวกเขาเป็นตัวตลก...
ไม่ทันคาดคิด มู่กุยฝานมองไปที่ซู่เป่าอีกครั้ง
“เด็กดี อยากเข้าไปข้างในไหม” มู่กุยฝานถาม
ก่อนที่ซู่เป่าจะพูด นายหญิงมู่ก็รีบเกลี้ยกล่อมเธอว่า “ซู่เป่าเด็กดี เราเข้าไปข้างในกันก่อนไหม ดูสิ ย่าทวดเตรียมเค้กไว้ให้หนูด้วยนะ...”
“ข้างในมีของเล่นสนุก ๆ เยอะแยะเลย ตุ๊กตาบาร์บี้!”
ซู่เป่าส่ายหัว “หนูไม่กินเค้กของพวกคุณ แล้วหนูก็ไม่อยากได้ของเล่นของพวกคุณด้วย”
แม้ว่าเธอจะชอบกินเค้ก
แต่ไม่ใช่ว่าจะกินเค้กที่ใครให้ก็ได้
คิดว่าเธอเป็นเด็กแบบไหนกัน
นายหญิงมู่กำลังจะอาเจียนเป็นเลือด
เมื่อครู่แทบอยากจะไล่ซู่เป่าออกไปไม่ไหว
นี่มันแย่ซะจริง ไม่คิดว่าต้องขอให้เธอเข้าไปเร็วแบบนี้
คนอื่นยังไม่ได้เข้า!
ถ้ารู้มาก่อนหน้านี้ เมื่อครู่นี้คงจะไม่ร้ายใส่เธอไปแบบนั้น...
มู่กุยฝานพูด “ว่านเทา ไป ไปเอาป้ายเกียรติยศของคุณปู่ฉันกลับมา”
ว่านเทาเป็นลูกน้องของมู่กุยฝานซึ่งนามสกุลว่าน เดิมทีพ่อแม่ของเขาต้องการตั้งชื่อว่า 'ว่านโซ่ว' แต่คิดว่ามันหยาบคายเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงเติมอักษรเพื่อเปลี่ยนเป็นชื่อ 'ว่านเทา'
ว่านเทาถูกส่งมาจากหัวหน้าชั้นบนเพื่อมาควบคุมมู่กุยฝาน เพราะเกรงว่าเขาจะอิสระมากเกินไป
แต่นี่คือสิ่งที่เขาสามารถควบคุมได้เหรอ
ว่านเทาแอบถอนหายใจ ตอบได้แค่ว่า 'ใช่' แล้วรีบเดินเข้าไปถอดแผ่นป้าย
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แผ่นป้ายนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่กับตระกูลมู่จริง ๆ
เสียชื่อวีรบุรษหมด!
คุณท่านซูและนายหญิงซูไม่เคยคาดคิดว่ามู่กุยฝานจะถอดป้ายของเขาออก!
พวกเขามาถึงจุดนี้ได้โดยอาศัยป้ายอันทรงเกียรตินี้ ถ้ามู่กุยฝานถอดเอาไป แล้วพวกเขาจะทำยังไง
นายหญิงมู่รีบตามเข้ามา
คุณท่านมู่พูดอย่างกระวนกระวาย “เสียวฝาน! หลานทำเกินไปแล้ว!”
ไม่รู้เลยว่าเป็นคนที่มีทัศนคติบิดเบี้ยว พูดพึมพำออกมาว่า "ใช่ ๆ คิดเล็กคิดน้อยเกินไป...เรื่องมันก็นานมาแล้ว ญาติพี่น้องจะช่วยหรือไม่ช่วยกันถึงกับต้องอาฆาตแค้นกันเลยเหรอ การช่วยเหลือกันคือการรักใคร่กัน ถ้าไม่ช่วยมันก็เป็นสิทธิของเขา...”
ซู่เป่ารู้สึกแปลก ๆ รักใคร่แบบไหนกัน สิทธิแบบไหนกัน
ตอนนี้คุณพ่อขายาวแค่ต้องการเอาของของตัวเองคืน มันควรจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ
มู่กุยฝานเลิกคิ้วด้วยความเย่อหยิ่งและเย็นชา “ยังมีอีกมากที่จะตามมา ใจเย็น ๆ”
เขามองไปรอบ ๆ และพูดอย่างเย็นชา “ผมมู่กุยฝานไม่เคยเป็นคนใจกว้าง ถ้าช่วยเหลือกันคือการรักใคร่กันและถ้าไม่ช่วยเหลือมันก็เป็นสิทธิของเขาแบบนี้ ต่อหน้าครอบครัวนี้ผมก็จะไม่ยอมรับ”
“ป้ายของคุณปู่ผม พวกเขาจะเอาไปในฐานะอะไร หลานชายแท้ ๆ อย่างผมเองยังสมเหตุสมผลมากกว่า!”
ก็แค่เอาป้ายเท่านั้น
เขาไม่ได้จะเอาชนะพวกเขาด้วยซ้ำ
แค่นี้ก็ใจกว้างมากแล้ว จะขอเขามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
คนที่พึมพำเมื่อครู่นี้ดูเขินอายและหยุดพูดทันที
ว่านเทาออกมาพร้อมกับแผ่นป้ายบนไหล่เขา นายหญิงตระกูลมู่ก็เดินตามหลังมาและหวังว่าเธอจะคว้ามันกลับมาได้
มู่กุยฝานมองไปรอบ ๆ อย่างไร้อารมณ์ “วันนี้ผมคงพูดชัดเจนแล้ว ผมมู่กุยฝานไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดใดกับตระกูลมู่ของพวกเขาทั้งสิ้น”
“จากนี้ไป ถ้าตระกูลมู่กล้าหลอกใช้ชื่อคุณปู่ของผมอีก ก็อย่าหาว่าผมไม่เกรงใจเลย”
ซู่เป่าพยักหน้าอย่างหนัก “ใช่ ไม่เกรงใจ!”
ปากเล็กแสยะยิ้มเผยให้เห็นฟันเขี้ยวเล็ก ๆ สองซี่ที่ดูดุร้าย
มู่กุยฝานเม้มปาก กอดซู่เป่าด้วยมือข้างหนึ่ง อีกมือหนึ่งโยนป้ายเกียรติยศของคุณปู่เขาเข้าไปในรถออฟโรด
จากนั้นเขาก็วางซู่เป่าลงบนที่นั่งอย่างนุ่มนวลด้วยรอยยิ้มในดวงตาสีเข้มของเขา
“นั่งดี ๆ นะเจ้าตัวเล็ก พ่อจะพากลับบ้าน”
ซูอีเฉินที่สังเกตอย่างใจเย็นตั้งแต่ต้นจนจบจู่ ๆ ก็กลับมารู้สึกตัว ไม่สิ พูดก็พูด จะพาซู่เป่าออกไปแบบนี้ได้ยังไง
“เดี๋ยวก่อน!” ซูอีเฉินไล่ตามเขาด้วยใบหน้าเย็นชา
รถออฟโรดที่เย่อหยิ่งและป่าเถื่อนกระแทกเข้ากับประตูเหล็กที่ผุพังของตระกูลมู่อย่างแรงและหายไปในความมืดมิด
ซูอีเฉิน “...”
“...”
ว่านเทาอ้าปากค้าง
นายท่านอา...ที่จะพูดก็คือ คุณทิ้งอะไรไว้หรือเปล่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน
สนุกค่ะ รออัพตอนใหม่อยู่นะคะ...
สนุกค่ะ อ่านได้เรื่อยๆ...
ยังมีใครอ่านอยู่ไหมค่ะเนี่ย ไม่รู้ตัวเอกเป็นยมบาลหรืออันธพาล ใครอ่านอยู่มาคุยกันค่ะ...
เสียดายเวลาที่อ่านมานานก็เลยพยายามอดทนอ่านต่อไปเรื่อยถ้าเนื้อเรื่องยังเป็นแบบนี้สักวันคงเลิกอ่านจริงๆอ่ะ...
อ้าว...ยัยแก่ มหาภัย ยังไงกันหะ อยู่ไปจะมาทำร้าย คุณพี่ชายซูจื่อซี ได้ไง...แกต้องโดนท่านยมบาลน้อย ชำระความ....
ชื่อเรื่อง "ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน" ไอ้เราก็นึกว่า ชีวิตใหม่ที่ว่าคือชีวิตที่ได้เจอคนรอบครัว มีตายายและลุงๆที่รักยัยหนู...แค่นั้น ที่ไหนได้ ที่แท้ชีวิตใหม่คือเป็นมือจับผีตัวน้อย...
🧐รอๆๆๆ...
เป้ยเฉินอวี่ เธอชอบ ซูอีเฉินของฉันไม่ได้!.... รออัพเดตนะค่ะ กำลังสนุก pleaseee...
มีผีร้ายเพิ่มอีกตัว.... ขอบคุณมากค่ะแอดมิน...
เย้ๆ ท่านหญิงซูเดินได้แล้ว ลุ้นๆแม่ของซูเป่าจะจำอดีตได้มั๊ยน๊า ขอบคุณมากค่ะแอดมิน...