มองดูรถออฟโรดที่แล่นห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ คนตระกูลมู่ก็หน้าดำคร่ำเครียด เสียใจจนแทบกระอักเลือด
ไม่เหลือแล้ว ตระกูลมู่ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
ถ้ารู้แต่แรกว่าซู่เป่าเป็นลูกสาวของมู่กุยฝาน ไม่ต้องรอให้ซู่เป่ามานับญาติ พวกเขาก็พร้อมเสนอหน้าไปหาถึงบ้านอยู่แล้ว
แล้วมู่กุยฝานก็อีกคน ยังไงพวกเขาก็ถือว่าเป็นญาติกัน ทำไมต้องตัดบัวไม่เหลือใยขนาดนี้ด้วย?!
เอาป้ายหน้าบ้านไปยังไม่พอ แถมยังทิ้งคำขู่ไว้อีก ต่อไปใครจะเกรงใจพวกเขาอีก
นี่จะบีบกันให้ตายเลยหรือไง
เป็นไปตามคาด พอคนอื่นเห็นว่ามู่กุยฝานจากไปแล้วก็พากันกลับตาม ๆ กันไป
ไม่ใช่แค่กลับ แต่ยังเอาของขวัญที่เตรียมมาแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสวันเกิดกลับไปด้วย
ถ้าเป็นคนอื่น แขกอาจจะไม่ทำกันขนาดนี้
แต่เพราะเป็นนายหญิงมู่...
นายหญิงมู่โมโหแทบคลั่ง “พวก... พวกคุณ! ของขวัญที่ให้ไปแล้วที่ไหนเขาเอากลับกัน?”
“อย่าเพิ่งไปสิ!”
คนตระกูลมู่เครียดทำอะไรไม่ถูก เมื่อกี้เพิ่งดูถูกคนอื่นอยู่หยก ๆ แต่มาตอนนี้ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องไปอ้อนวอนเขาเสียงอ่อนเสียงหวาน
แต่แขกที่มาต่างไม่เห็นใจ
“ไป ๆ ๆ ถุย! อัปมงคลชะมัด!”
“หลอกลวงกันทั้งบ้าน ดีนะที่ไม่หลงเชื่อ!”
“คนบ้านนี้น่ะนะ เอาหินปาหน้าหน้ายังไม่แตกเลย”
“กลอนอันนั้นว่าไงแล้วนะ? ด้านนอกศาลา ข้างถนนสายโบราณ หญ้าเขียวขจียาวจรดท้องฟ้า...”
“ฮ่า ๆ ๆ คนหน้าไม่อาย!”
ไม่เท่าไหร่แขกก็พากันกลับจนหมด
รถของตระกูลซือเพิ่งจะมาถึง ซือเย่ต้องเคลียร์งานขั้นสุดท้าย และรายงานการทำงานให้เสร็จก่อนจึงมาช้าไปมากทีเดียว
เขาก้าวลงจากรถ มองดูกรอบประตูเหล็กที่ว่างเปล่าของบ้านตระกูลมู่
“ไปกันเถอะ” ซือเย่เดินขึ้นหน้าเอาเสื้อคลุมไหล่ให้เวินหรูอวิ๋น
พอเสื้อคลุมทหารสีเขียวขี้ม้าที่ยังคงมีไออุ่นของซือเย่หลงเหลืออยู่มาคลุมอยู่บนตัว เวินหรูอวิ๋นก็เม้มปากแล้วเบือนหน้าหนี
ใบหน้าน้อย ๆ ของซืออี้หรันบึ้งตึง จ้องไปทางทิศที่รถออฟโรดขับออกไป
คนตระกูลมู่เปรียบเหมือนเห็นขอนไม้ช่วยชีวิตลอยมา รีบออกมาพูดกับเขาว่า “คุณซือ คุณนายซือ... อย่าเพิ่งไป!”
“คุณเป็นเพื่อนร่วมรบกับเสี่ยวฝานของเราใช่ไหมคะ? เอ่อ รบกวนคุณช่วยบอกเสี่ยวฝานให้หน่อยนะว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันทั้งนั้น!”
“คุณดูสิเรื่องเป็นถึงขนาดนี้...”
ซือเย่สีหน้าเย็นชา สายตาดุดัน “คิดจะใช้เส้นสายทหารมั่ว ๆ เหรอ พวกคุณรู้ไหมว่าจะมีจุดจบเป็นยังไง?”
คนตระกูลมู่ “...”
ซือเย่บังคับโอบเวินหรูอวิ๋นที่คิดจะหนีขึ้นรถไปก่อนคนเดียวไว้ จากนั้นทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้ “หัดมียางอายซะบ้าง”
พอหันกลับมาก็เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงอบอุ่น “หรูอวิ๋น คุณ...”
เวินหรูอวิ๋นไม่รอเขาพูดจบ จ้องหน้าด่าคนตระกูลมู่ “ว่าใครไร้ยางอาย? คิดว่าตัวเองแน่มากนักหรือไงหา” แกล้งโง่อยู่ได้”
ซือเย่ “...”
คนตระกูลมู่ “?”
พวกเขายังไม่ได้ว่าอะไรเลย!
รถของตระกูลซือก็ขับออกไปแล้วเหมือนกัน
นายหญิงมู่มองดูพื้นรกรุงรังระเนระนาด ก็นึกถึงภาพตอนรับของขวัญหน้าชื่นตาบานเมื่อครู่
ของมีราคาตั้งมากมาย ท่านเพิ่งได้จับทีเดียวก็หายไปหมดแล้ว เจ็บใจแทบกระอัก
นายท่านมู่มองดูวัตถุโบราณที่โดนทุบแหลกไม่เหลือชิ้นดี ถึงกับเป็นลมล้มพับไป
งานเลี้ยงวันเกิดที่ควรจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พวกเขามีตำแหน่งสูงขึ้น แต่คิดไม่ถึงว่านอกจากจะไม่ได้กำไรสักแดงเดียว ยังขาดทุนไปอีกร้อยล้าน วัตถุโบราณสมบัติชิ้นสุดท้ายก็โดนทุบแหลกไม่เหลือ
จะร้องก็ไม่มีที่ให้ร้อง...
————————
หลังจากซู่เป่าโดนหิ้วขั้นรถก็ลืมคุณลุงใหญ่ไปชั่วขณะ
เพราะว่า...
เธอนอนหมอบอยู่บนที่นั่งข้างคนขับ หันไปมองที่นั่งด้านหลังอยู่เนือง ๆ
รถของคุณพ่อขายาว มีไอ้นี่เพิ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่?
มู่กุยฝานขับไปพลางกดหูฟังบลูทูธสองสามที
“ว่านเทา ช่วยส่งพี่ชายภรรยาฉันกลับไปทีนะ” เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเสริมว่า “บอกพี่ชายภรรยาฉันให้ด้วยว่า พรุ่งนี้จะกลับมาแน่นอน”
ว่านเทาที่เป็นผู้รับสาย “...” คุณบอกเองดีไหมครับ?
ว่านเทาเหลือบมองซูอีเฉินที่อยู่ข้าง ๆ
ซูอีเฉินถือโทรศัพท์อยู่ เขามองจออยู่นานแต่ก็ไม่ทำอะไร เหมือนกำลังคิดว่าจะโทรไปพูดยังไงดี
เจ้าทึ่มมู่ที่อยู่ปลายสายพูดอย่างไม่แยแสว่า “ถ้าให้ว่ากันตามเหตุตามผล ฉันก็คงไม่ทำแบบนี้หรอก”
เสี่ยวซู่เป่าเป็นหลานสาวตระกูลซู
แล้วไม่ใช่ลูกสาวเขาตรงไหน
เขาต้องการพาลูกไปเคารพบรรพบุรุษ จะไปที่สุสานของปู่กับพ่อแม่...
บอกพวกเขาว่า ไม่ต้องห่วงเขาแล้ว ตอนนี้เขาก็มีครอบครัวแล้ว
เขามีลูกที่น่ารัก ชีวิตต่อจากนี้ไปไม่ต้องเดียวดายอีกแล้ว เขาก็มีคนให้ต้องห่วงแล้วเหมือนกัน
แต่ถ้าให้ทำตามขั้นตอนของตระกูลซูล่ะก็... อย่างน้อยก็ต้องผ่านบททดสอบ ค่อย ๆ ปรับตัว แล้วก็...
เอาเป็นว่าคงต้องใช้เวลาหลายวัน
ดังนั้นต้องขอโทษด้วย
มู่กุยฝานมีสีหน้าอ่อนลง เขามองซู่เป่าที่อยู่ข้าง ๆ กำชับว่า “นั่งดี ๆ นะ”
ว่านเทาได้ยินดังนั้นก็ตกใจ “คุณท่าน คุณคงไม่ได้ให้เด็กนั่งข้างคนขับใช่ไหม?”
มู่กุยฝาน “อ่าฮะ”
ไม่นั่งข้างคนขับแล้วจะให้นั่งไหน
ในรถเขาเขาก็ไม่มีคาร์ซีทสักหน่อย
ถ้าให้นั่งข้างหลังก็มองไม่เห็น เป็นห่วงกว่าเดิมอีก
อีกอย่าง เบาะหลังรถเขาก็... เคยมีคนตายซะด้วย
จะให้เจ้านุ่มนิ่มตัวน้อยของเขานั่งข้างหลังไม่ได้อยู่แล้ว
ว่านเทากระตุกมุมปาก แล้วแต่เลยครับ เตรียมตัวโดนลงโทษให้ดีแล้วกัน!
หลังจากวางสายว่านเทาก็ถอนหายใจ พูดกับซูอีเฉินด้วยรอยยิ้มว่า “ขอโทษด้วยนะครับ ผู้บัญชาการมู่... นายท่านมู่ของเราถึงแม้จะชอบไม่ทำอะไรตามแบบแผน แต่ก็ไม่เคยทำอะไรไม่มีขอบเขตหรอกนะครับ”
ไม่เช่นนั้นคนที่ดื้อรั้นไม่ฟังใครอย่างเขา คงไม่เต็มใจมาทำงานรับใช้ชาติแบบนี้หรอก
“คุณท่านมู่บอกว่า พรุ่งนี้จะพาคุณหนูซู่เป่ากลับบ้านแน่นอนครับ”
“ประธานซูวางใจได้ครับ คุณหนูซู่เป่าอยู่กับคุณท่านมู่จะไม่ได้รับอันตรายแน่นอนครับ”
ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตมู่กุยฝานก็จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายซู่เป่าได้แม้แต่ปลายเล็บแน่นอน
ซูอีเฉินพ่นลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์แล้วขึ้นรถจากไปด้วยสีหน้าแย่เอามาก ๆ
ชวีเสี่ยงสตาร์ทรถ ถามงง ๆ “เอ่อ ประธานซูครับ กลับคฤหาสน์หรือครับ?”
ซูอีเฉินกดหัวคิ้วลงต่ำ นี่ยังมีหน้ากลับไปได้อีกเหรอ?
“กลับบริษัท”
“ทำงาน”
ชวีเสี่ยง “...”
โอเค วันนี้ใครอย่าคิดจะได้นอนเลย...
**
รถออฟโรดสีดำขับผ่านเขตในตัวเมืองเข้ามายังลานบ้านสไตล์จีนโบราณตกแต่งแบบเรียบง่าย
ลานบ้านสร้างตามแบบสิ่งปลูกสร้างสมัยราชวงศ์หมิงราชวงศ์ชิง หลังคามุงกระเบื้องแบบจีนสีเทาดำ ขื่อคานกรอบประตูหน้าต่างล้วนเป็นสีเนื้อไม้ ดูดีมีระดับ
ดูมีบารมีกว้างขว้างทั่งยังประณีตงดงาม แตกต่างกับนิสัยของมู่กุยฝานราวฟ้ากับเหว
มู่กุยฝานลงจากรถ เปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับ อุ้มซู่เป่าขึ้นมา
จากนั้นเปิดประตูหลังรถ หยิบป้ายหน้าบ้านอันนั้นขึ้นมา
ซู่เป่าเกาะอยู่บนบ่าของมู่กุยฝาน จ้องเงาสีขาวที่คอยตามมาอย่างช้า ๆ
เธออุ้มหัวตัวเองอยู่ เล็บยาวเฟื้อยสีแดงแปร๊ดจู่ ๆ สายตาเหม่อลอยคู่นั้นก็ขยับจ้องตรงมาที่ซู่เป่า
ซู่เป่าไม่ได้กลัว เพียงแต่ว่าท่านอาจารย์ไม่อยู่ เธอไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าผีที่อยู่ตรงหน้านี่คือผีอะไร
“นายท่าน” เพิ่งก้าวเข้าประตูก็มีผู้ชายสวมชุดยาวสีเทาหม่นก้มหน้าทักทาย
มู่กุยฝายยื่นป้ายหน้าบ้านที่หยิบมาส่งให้ชายคนนั้น “เอาไปที่ห้องโถงกลาง เอาไปแขวนไว้”
“ครับ” ผู้ชายสวมชุดสีเทาขานรับแล้วรับเอาป้ายหน้าบ้านอันนั้นถือเข้าไปข้างใน
ทางที่เดินเข้ามาเลี้ยวลดคดเคี้ยว มีคนเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นคนสวมชุดยาวสีเทาเฝ้ายามอยู่
ซู่เป่าเบิ่งตากว้าง รู้สึกเหมือนตัวเองทะลุเข้ามาในละครย้อนยุค... ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็น่าจะเป็นคำว่าทะลุมิติหรือเปล่านะ?”
ทุกอย่างที่เห็นอยู่ตรงหน้า เหมือนได้ย้อนกลับไปสมัยโบราณแบบที่ฉายในทีวีเลย
คุณพ่อขายาวก็เหมือนกับท่านอ๋องในละคร แล้วคนที่สวมชุดยาวสีเทาเหล่านั้นก็เป็นองครักษ์
พอเห็นสายตาของซู่เป่า มู่กุยฝานก็เอามือลูบหัวเธอ
“ที่นี่ก็คือบ้านของเรา” เขาบอก “เรากลับบ้านแล้วนะซู่เป่า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน
สนุกค่ะ รออัพตอนใหม่อยู่นะคะ...
สนุกค่ะ อ่านได้เรื่อยๆ...
ยังมีใครอ่านอยู่ไหมค่ะเนี่ย ไม่รู้ตัวเอกเป็นยมบาลหรืออันธพาล ใครอ่านอยู่มาคุยกันค่ะ...
เสียดายเวลาที่อ่านมานานก็เลยพยายามอดทนอ่านต่อไปเรื่อยถ้าเนื้อเรื่องยังเป็นแบบนี้สักวันคงเลิกอ่านจริงๆอ่ะ...
อ้าว...ยัยแก่ มหาภัย ยังไงกันหะ อยู่ไปจะมาทำร้าย คุณพี่ชายซูจื่อซี ได้ไง...แกต้องโดนท่านยมบาลน้อย ชำระความ....
ชื่อเรื่อง "ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน" ไอ้เราก็นึกว่า ชีวิตใหม่ที่ว่าคือชีวิตที่ได้เจอคนรอบครัว มีตายายและลุงๆที่รักยัยหนู...แค่นั้น ที่ไหนได้ ที่แท้ชีวิตใหม่คือเป็นมือจับผีตัวน้อย...
🧐รอๆๆๆ...
เป้ยเฉินอวี่ เธอชอบ ซูอีเฉินของฉันไม่ได้!.... รออัพเดตนะค่ะ กำลังสนุก pleaseee...
มีผีร้ายเพิ่มอีกตัว.... ขอบคุณมากค่ะแอดมิน...
เย้ๆ ท่านหญิงซูเดินได้แล้ว ลุ้นๆแม่ของซูเป่าจะจำอดีตได้มั๊ยน๊า ขอบคุณมากค่ะแอดมิน...