ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน นิยาย บท 113

ซูเหอเวิ่นได้สติกลับมาจากความตะลึง

ซู่เป่าเป็นลูกสาวของคุณอา

พ่อของลูกสาวของคุณอาก็คืออาเขยของเขา

อาเขยตรงหน้าคนนี้ฆ่าไก่ตัวหนึ่งด้วยท่าทางห้าวหาญ

“ซู่เป่า เราขึ้นไปข้างบนกันก่อนเถอะ...” ซูเหอเวิ่นวิ่งมาข้างกายซู่เป่า

เขากลัวเป็นอย่างมาก ว่าต่อไปอาเขยของเขาคนนี้อาจจะกุดหัวไก่สองตัวที่เหลือที่ยังไม่ได้ฆ่า...ไปเลยหรือเปล่า

ทนดูไม่ได้ น้องสาวที่สุดแสนบอบบางของเขา จะทนเห็นภาพเลือดสาดกระจายแบบนี้ได้ยังไง!

ในขณะนี้เองซู่เป่ากลับมองไปอีกด้าน หลังต้นไม้ใหญ่มีสาวใช้คนหนึ่งสีหน้าซีดเผือดยืนอยู่ ตะกร้าดอกไม้ในมือของเธอตกลงบนพื้น ดอกไม้หล่นกระจายเต็มพื้น

เธอพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวก่อน!”

เจ้าเด็กน้อยวิ่งไปข้างต้นไม้ใหญ่ ยื่นมือดึงมีดหั่นผักออกมาอย่างง่ายดาย

จากนั้นเธอก็เบือนหน้ามองไปทางสาวใช้ที่อยู่ตรงหน้า “คุณน้าคะ คุณน้าโอเคไหมคะ”

พอสาวใช้ก้มหน้า ก็เห็นสาวน้อยหน้าตาน่ารักอยู่ตรงหน้า ดวงตากลมโตสีดำขลับ แต่ในมือกลับถือมีดหั่นผักเปื้อนเลือด...

“อ๊า...” เหมือนว่าเธอจะตกใจแล้ว เธอถอยหลังอย่างต่อเนื่อง “อย่าตัดหัวฉันนะคะ!”

ซู่เป่าอึ้ง ซ่อนมีดหั่นผักเอาไว้ด้านหลัง

เธอไม่ได้มีเจตนานั้นนะ!

คุณน้าคนนี้คงตกใจแล้วละสิ

ซู่เป่าสงสัยมองแล้วก็มองอีก รู้สึกเพียงว่าตรงไหนมันทะแม่งๆ

“คุณน้าคะ คอของคุณน้าไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”

ที่แท้ตอนที่สาวใช้ถอยออกไป ก็พยายามหันหน้าไปอีกฝั่งราวกับทำท่าจะหนีอย่างนั้น แต่มือและเท้าของเธอกลับไม่สอดคล้องกันนิดหน่อย ศีรษะไปทางซ้ายแต่ร่างถอยหลัง ไม่ได้ตอบสนองตามที่สมองสั่งการ

พอมองไป ก็ราวกับว่าศีรษะถูกบิดอย่างนั้น

ไม่รู้ว่ามู่กุยฝานเดินมาตั้งแต่เมื่อไร เขาหยิบมีดที่อยู่ในมือของซู่เป่ามา ขณะนี้เองถึงควงมีดหั่นผักแล้วจับให้มั่น และมองสาวใช้

“เธอชื่ออะไร”

ท่าทางของมู่กุยฝานราวกับจะข่มเหงคนอย่างหนึ่ง ขณะที่จ้องเขม็งคนคนหนึ่งดวงตาทั้งสองก็เย็นชา บวกกับมีดในมือเล่มนั้นแล้ว...

เผยให้เห็นจิตสังหารออกมาเล็กน้อยอย่างล่องหน

สาวใช้ราวกับตกใจกลัวจนผวา พูดอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ “ฉัน...ฉัน...”

มู่กุยฝานขมวดคิ้ว

นายหญิงซูบังคับรถเข็นมา จากนั้นถามขึ้นว่า “ซู่เฟิน เธอมาทำอะไรตรงนี้”

ที่แท้สาวใช้ก็ชื่อซู่เฟินนี่เอง เป็นคนสวนและนักจัดดอกไม้ที่ดูแลคฤหาสน์ตระกูลซู

คฤหาสน์ของตระกูลซูใหญ่เป็นอย่างมาก ปลูกดอกไม้เอาไว้มากมาย เดือนสี่ที่เห็นเป็นช่วงที่ดอกไม้แย้มบานพอดี ดอกท้อ ดอกกุหลาบ ดอกไห่ถัง ดอกลิลลี่และดอกโบตั๋นเป็นต้น ต่างบานสะพรั่งเต็มสวน จะมีคนมาตัดดอกไม้โดยเฉพาะ หลังจากจัดแจกันเสร็จก็เอาไปจัดวางตามห้องต่างๆ ในตระกูลซู

นานสองนานซู่เฟินถึงจะใจเย็นลง ก้มหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ฉัน...กำลังตัดดอกไม้ค่ะ...”

นายหญิงซูไม่คิดมาก ถึงยังไงมีดหั่นผักเล่มใหญ่ขนาดนั้นลอยละลิ่วออกไป เป็นคนก็ต้องตกใจจนโง่กันทั้งนั้น

“ไปทำงานเถอะ” เธอกล่าว

ซู่เฟินพยักหน้า เก็บดอกไม้ที่หล่นลงบนพื้นขึ้นมาอย่างลุกลี้ลุกลน วิ่งอยู่กลางอากาศ

นายหญิงซูพูดขึ้นอย่างแปลกใจ “วันนี้ซู่เฟินเป็นอะไรไป ทำท่าทางแปลกๆ”

นัยน์ตาของมู่กุยฝานดูไม่เข้าใจ จึงพูดอย่างคล้อยตามไปประโยคหนึ่ง “อาจจะตกใจมั้งครับ”

นายหญิงซูเหล่ตามอง “เหอะๆ! ยังมีหน้ามาพูดอีก ดาบทวนไม่มีตา ถ้าไม่ระวังแล้วเกิดทำซู่เป่าบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไง”

มู่กุยฝานลูบจมูก ไม่นึกว่าเขาในวันนี้ก็ยังถูกคนอบรมสั่งสอนได้

มีดและปืนเมื่ออยู่ในมือเขา...อันที่จริงก็มีตาตลอด

นายหญิงซูลากซู่เป่ามาแล้วพูดขึ้นว่า “ซู่เป่าเชื่อฟังนะ ขึ้นข้างบนไปกับพี่ก่อนไป”

ซู่เป่าพยักหน้า มองไปทางมู่กุยฝานแล้วกำชับว่า “คุณพ่อสู้ๆ นะ! ตอนฆ่าไก่กุ๊กๆ ก็เบามือหน่อย...”

มู่กุยฝานเอื้อมมือจะลูบศีรษะของเธอ

แต่พอนึกขึ้นได้ เมื่อครู่มือข้างหนึ่งของตัวเองเพิ่งไปจับไก่มา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งรับมีดมา...ช่างมันละกัน

“ขึ้นข้างบนไปเถอะ!” เขากล่าว “ว่างใจเถอะ พ่อทำอาหารเป็นน่า”

ซู่เป่าพยักหน้าอย่างเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก จากนั้นตามซูเหอเวิ่นขึ้นข้างบนไป

นายหญิงซูเองก็จนปัญญา กำชับป้าอู๋ให้ไปทำกับข้าวอย่างอื่น เธอกลัวว่าเดี๋ยวตอนเที่ยวจะไม่ได้กินข้าว

ห้องครัวใหญ่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ป้าอู๋ทำอาหารอย่างอื่นอยู่อีกด้าน ส่วนมู่กุยฝานทำอาหารที่นายหญิงซูสั่ง

เขาฆ่าไก่ต่อ ต่อมาสับหัวไก่เลยอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ เอาไก่ห้อยหัวลงให้เลือดหยด

ถอนขนไก่ด้วยความรุนแรง ถลกหนังไก่ออกมาแผ่นใหญ่ น่าเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้...

ถึงตามะเขือที่ทำยากที่สุดในตำนาน มู่กุยฝานหยิบมะเขือขึ้นมาดู แต่ดูไม่ออกเลยว่ายากตรงไหน

ฉับเดียวสับเป็นสองท่อน

……

ชั้นบน

เสี่ยวอู่หลับตาเคลิ้มนั่งยองอยู่ข้างหน้าต่าง

นกแก้วเองก็ต้องการนอนกลางวันเช่นกัน ขณะนี้จะงอยปากของมันตั้งอยู่บนปีก กึ่งหรี่ตา พยักหน้าเป็นครั้งคราวราวกับสัปหงก

ซูเหอเวิ่นมองหน้าต่างอย่างระวังทีหนึ่ง ขยับฝีเท้า ในมือถือกระจกบานหนึ่งยื่นออกไป

เสี่ยวอู่ลืมตามองเขาอย่างแปลกใจทีหนึ่ง จากนั้นก็ขยับไปข้างๆ

เมื่อซูเหอเวิ่นมั่นใจว่านอกหน้าต่าง กำแพงสองข้างและข้างบนไม่มีผี ขณะนี้เองถึงชะเง้อชะแง้ออกไปอย่างวางใจ

“แปลกจัง จะตกไปอยู่ตรงไหนได้” เขาชะเง้อคอยาวมองออกไปไกลๆ แล้วหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาคำนวณพาราโบลา

วาดระยะห่างระหว่างตำแหน่งของห้องกับแปลงเพาะดอกไม้ และวิถีพาราโบลา

“ก็ตรงนั้นไง เมื่อกี้เราไม่ได้หาผิดที่”

ซู่เป่าพาดตัวข้างหน้าต่างแล้วขยับเข้าไปใกล้เสี่ยวอู่ มือข้างหนึ่งเท้าคาง อีกข้างหนึ่งเกาให้เสี่ยวอู่

ทำท่าทางราวกับว่าไม่ได้สนใจเท่าไรว่าผีสาวหายไปไหนแล้ว

ซูเหอเวิ่นถามขึ้นอย่างตะลึง “ซู่เป่า เธอไม่ร้อนใจเลยเหรอ”

ซู่เป่าส่ายหน้า “ไม่ร้อนใจหรอก! บนโลกใบนี้มีผีตั้งเยอะแยะ ผีที่เราต้องการหา มันต้องโผล่ออกมาซักวันสิน่า”

ซูเหอเวิ่นยังมีท่าทีสงสัย “จะเป็นไปได้เหรอ”

ถ้าเกิดมันหนีไปล่ะจะทำยังไง

ซูเหอเวิ่นยังจำที่ซู่เป่าบอกว่าต้องเติมน้ำเต้าวิญญาณให้เต็ม ไม่อย่างนั้นเธออาจจะต้องถูกบังคับให้จากไปได้แม่น

ฉะนั้นไม่ว่าจะกลัวแค่ไหน ก็จะให้ผีสาวตนนั้นหนีไปไม่ได้

ซู่เป่าพยักหน้าอย่างมั่นใจ “แน่นอน! บางทีตอนกลางคืนเรานอนหลับอยู่เธออาจจะออกมาเองก็ได้”

ซูเหอเวิ่น “…”

เธอออย่าพูดเลยดีกว่า

ยิ่งหาไม่เจอ ซูเหอเวิ่นก็ยิ่งกังวล นอนก็นอนอย่างไม่วางใจประเภทนั้น

นึกถึงท่าทางที่ผีสาวอ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือดเมื่อครู่ เขาก็สั่นเทาอย่างอดไม่ได้

ดังนั้นซูเหอเวิ่นจึงรีบขีดเขียนบนกระดาษอีกครั้ง และหยิบกล้องถ่ายวิดีโอขึ้นมา

เขาอยากทำเครื่องแจ้งเตือนเมื่อเห็นผี!

“เอ๊ะ เครื่องอัดวิดีโอยังเปิดอยู่”

ซูเหอเวิ่นกดปุ่มสิ้นสุดการถ่ายวิดีโอ แล้วลวดมือกดเปิดวิดีโอที่บันทึกสำเร็จ

“เปิดไว้ตั้งแต่ตอนไหนฉันจำไม่ได้แล้ว” เขากล่าว “ต้องล้างหน่วยความจำถึงจะ...”

คำนั้นยังไม่ทันได้พูดออกมา

เขาก็เห็นในภาพ ผีสาวไร้หัวตนหนึ่งปรากฏตัวลอยออกมากลางอากาศ ไหล่โผล่ออกมาก่อน ตามมาด้วยศีรษะที่กอดเอาไว้ จากนั้นก็เป็นขาสีเขียวดำทั้งสองข้างนั่น...

เขาในภาพกำลังหมุนกะละมังเหล็กไปมา

ซูเหอเวิ่นตกใจจนเกือบจะโยนเครื่องอัดวิดีโอออกไป!

ซู่เป่ารีบถามขึ้นว่า “พี่คะ เป็นอะไรไปเหรอคะ”

ซูเหอเวิ่นพูดขึ้นอย่างสงบสติอารมณ์ “ไม่เป็นไร! ไม่เป็นไร...”

เขาช้าลง แล้วจู่ๆ ก็คึกขึ้นมา คนในอินเทอร์เน็ตพวกนั้นไม่เชื่อเขาไม่ใช่เหรอ

เขาจะอัปโหลดวิดีโอนี้ลงไป ให้พวกเขาตกใจจนตายไปเลย!

ซูเหอเวิ่นบอกจะทำก็ทำเลย ก๊อบปี้วิดีโออัปโหลดลงไป แล้วคิดคำเท่ๆ เขียนลงไปด้วยหนึ่งประโยค

(เหอะ พวกมนุษย์โง่ พวกคุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกใบนี้เลย)

หลังอัปโหลดวิดีโอไป ไม่นานก็มีผู้ชมมาดูสองสามคน

(หึ ก็แค่สเปเชียลเอฟเฟกต์ไร้คุณภาพ ขยะ!)

(บนโลกนี้ไม่มีผี ต้องเชื่อวิทยาศาสตร์เข้าใจไหม เจ้าเด็กน้อยไม่ตั้งใจเรียน วันๆ เอาแต่ทำเรื่องไร้สาระพวกนี้ ฉันว่าหลังเรียนจบแม้แต่เก็บขยะนายยังสู้คนเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ)

(อะไรประเภทนี้อีกแล้ว! ถ้าเห็นผีจริงๆ ทำไมบ้านนายถึงซื้อกล้องที่ภาพชัดๆ ไม่ไหวล่ะ ทุกเรื่องที่เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ ภาพจะเป็นขาวดำบ้างไม่ชัดบ้าง แผนการของคนอย่างพวกนายนี่ฉันเห็นมาเยอะแล้ว)

(แน่จริงก็ทำให้มันดีหน่อย ไม่แน่จริงก็อย่ามาโม้!)

ยังคงหัวเราะเยาะเช่นเดิม

ทันใดนั้นซูเหอเวิ่นก็โกรธยกใหญ่...

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน