ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน นิยาย บท 114

ซู่เป่าเห็นซูเหอเวิ่นทำท่าทางโกรธ ผู้ใหญ่ตัวน้อยราวกับตบไหล่ของเขา “คนหนุ่มสาว อย่าทำหน้าหมดอาลัยตายอยากสิ!”

ซูเหอเวิ่นกลุ้มใจ “ฉันไม่ใช่คนหนุ่มสาวซะหน่อย”

ซู่เป่าชะงักไปชั่วครู่ แล้วพูดขึ้นว่า “หนูน้อย อย่าทำหน้าหมดอาลัยตายอยากสิ!”

ซูเหอเวิ่น “…”

ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า นายหญิงซูตะโกนเรียกอยู่ชั้นล่าง “กินข้าวกันได้แล้ว! ซู่เป่า รีบลงมาสิจ๊ะ”

“ซูเหอเหวิน ซูเหอเวิ่น ซูจื่อซี หานหาน!”

นายหญิงซูตะโกนเรียกไปทั่ว

ทันใดนั้นข้างบนก็ได้ยินเสียงเหล่าเด็กๆ วิ่งลงมาเอย ไม่เต็มใจเอย อืดอาดยืดยาดเอยดังขึ้นมา

คนที่วิ่งลงมานั่นต้องเป็นซู่เป่าแน่ คนที่อืดอาดยืดยาดไม่เต็มใจเป็นซูจื่อซีอย่างไม่ต้องสงสัย

หานหานอยู่ในห้อง หานหานกำลังทำการบ้านอยู่

เธอเงยหน้าขึ้นมาอย่างน่าสงสาร “พ่อคะ ไปกินข้าวก่อนได้ไหมคะ”

ซูจื่อหลินนิสัยเคร่งขรึม ไม่รู้จักยืดหยุ่น

เมื่อครู่บอกว่าถ้าทำการบ้านไม่เสร็จจะไม่อนุญาตให้เธอไปหาซู่เป่า ไม่อนุญาตให้เธอไปกินข้าว เขาไม่ให้เธอไปเลยจริงๆ

ก่อนหน้านี้หานหานถูกเหวยหว่านให้ท้าย แม้แต่ตัวอักษรคำว่าต้าก็ยังไม่รู้ (*ต้าเป็นตัวอักษรภาษาจีนตัวหนึ่งที่นับว่าเขียนง่ายเพราะมีเพียงแค่สองลำดับขีด)

ปีนี้เธออายุหกขวบ ปีหน้าก็เข้าเรียนชั้นประถมแล้ว

พี่ใหญ่ทั้งสองก็เป็นตัวท็อปของห้อง ซู่เป่าเองก็เป็นเด็กที่ฉลาดหลักแหลม มีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่คนหนึ่งดื้อรั้น อีกคนหนึ่งก็ติดเกม ในฐานะพ่อไม่มีทางที่จะไม่กดดันอยู่แล้ว

หานหานร้องไห้ “หนูเพิ่งจะอยู่ชั้นอนุบาลสามเองนะคะ! หนูต้องมาทำการบ้านอะไรกัน เด็กคนอื่นๆ ไม่มีใครเขาทำกันหรอก”

ใบหน้าของซูจื่อหลินไร้อารมณ์ “คนอื่นก็คือคนอื่น ลูกก็คือลูก”

ตัวอักษรสองสามตัวเขียนมาทั้งบ่ายแล้ว อืดอาดยืดยาดจนเขาแทบจะคุมพลังแห่งบรรพกาลเอาไว้ไม่อยู่

หานหาน “…”

ฮือๆ เธออยากไปกินข้าวกับซู่เป่า!

ซูจื่อหลินข่มอารมณ์โทสะนั่งอยู่ข้างๆ หิวเป็นเพื่อนหานหาน

หานหานทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงแค่เขียนไปทั้งน้ำตา...

ในขณะนี้เอง ซู่เฟินหอบดอกไม้ช่อโตขึ้นมาข้างบน ฝีเท้าของเธอเบาหวิว ไม่มีเสียงเลยสักนิดราวกับการเดินของผีอย่างนั้น...

เธอเดินผ่านห้องของหานหาน ขยับเข้ามาใกล้อย่างเงียบๆ ดวงตาทั้งคู่กรอกมองไปรอบๆ แอบมองสถานการณ์ข้างใน

ดูอยู่ชั่วครู่รู้สึกไม่มีอะไรน่าดู ขณะนี้เองจึงเดินไปอีกด้านอย่างพอใจเป็นอย่างมาก วางช่อดอกไม้ทีละห้อง แล้วสำรวจทีละห้องอย่างเงียบๆ...

ชั้นล่าง ในห้องอาหารแสนกว้างขวางครึกครื้นเป็นอย่างมาก นายหญิงซูให้คนเก็บอาหารไว้ให้ซูจื่อหลินกับหานหาน

คนตระกูลซูมองอาหารสองสามอย่างที่มู่กุยฝานยกมาเสิร์ฟ รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก

ไก่ต้มขิงยังพอใช้ได้ ถึงยังไงก็แค่เทน้ำลงไปพอต้มสุกก็ตักออกมา นี่เป็นอาหารที่เขาทำได้สำเร็จมากที่สุดจานหนึ่ง

ต่อไปเป็นไข่ฝูหรง นายหญิงซูหยิบช้อนตักตักบางอย่างที่เหลวอย่างกับ...“นี่...นี่คือ...”

มู่กุยฝานไม่มีเปลี่ยนสีหน้า “ผมชิมแล้ว ถึงจะหน้าตาอัปลักษณ์แต่รสชาติว้าวมากๆ เลยครับ”

นายหญิงซูแสยะยิ้ม “เหอะ...”

แล้วคีบของสีเทาที่ดำจนไหม้ขึ้นมา “แล้วนี่คือ”

มู่กุยฝาน “มะเขือครับ”

นายหญิงซู “…”

เธอเข้าใจเหตุผลทั้งหมด ลองย้อนกลับไปพวกเราก็ไม่ติดใจว่าทำไมมันถึงอยู่ในสภาพนี้

เพียงแต่...

“ทำไมไม่หั่น” นายหญิงซูถาม

มู่กุยฝานรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย “นี่ก็หั่นแล้วไม่ใช่เหรอครับ”

มะเขือหนึ่งลูกตัดสองท่อน ตัดได้เท่ากันมากๆ เลยด้วย!

คนตระกูลซู “...”

ซูอีเฉินคีบขึ้นมาหนึ่งชิ้นเงียบๆ แล้วพูดขึ้นว่า “ใช้ได้ทีเดียว”

ทุกคนแบ่งกันคนละชิ้น ไม่อร่อยทุกคนก็กินด้วยกัน ยุติธรรมมากๆ

หวังว่าครั้งต่อไปเขาจะทำได้ดีขึ้นหน่อย...ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงทนไม่ไหวแน่!

ซูอิ๋งเอ๋อร์จ้องเขม็ง บ่นอย่างทนไม่ไหว “ ‘มะเขือ’ ที่อร่อยขนาดนี้ ต้องเหลือไว้ให้พี่รองชิ้นหนึ่งสิ”

ซูอี้เซินยังคงยิ้มเล็กน้อย “น่าเสียดายจริงๆ คนอื่นๆ ไม่อยู่ เลยพลาดมะเขือรสชาติดีขนาดนี้ไป ครั้งต่อไปต้องทำให้พวกเขากินโดยเฉพาะด้วยนะ”

มู่กุยฝานก็คิดเห็นเช่นนี้ พยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ได้ครับ”

ซู่เป่ากินไข่ฝูหรงซู๊ดๆ จนหมดชาม ข้างปากยังเลอะซุปไข่นิดหน่อย

ใบหน้าของเธอฉีกยิ้มกว้าง ยกนิ้วโป้งตั้งขึ้น “อร่อยมาก!”

มู่กุยฝานฉีกยิ้ม

ต่างพูดกันว่าลูกสาวเป็นแก้วตาดวงใจ คำโบราณไม่เคยหลอกลวงฉันเลยจริงๆ ด้วย

วินาทีถัดมา ก็เห็นซู่เป่าคีบมะเขือขึ้นมาแล้วใส่เข้าไปในปากอย่างตื่นเต้นอีกครั้ง

ในใจของซู่เป่า ลุงห้ากับลุงเล็กบอกว่าเป็นมะเขือที่อร่อย ต้องอร่อยแน่ๆ

คนในตระกูลซูตกใจจนถอดสีหน้า “ซู่เป่า...”

ยังไม่ทันได้พูด ซู่เป่าก็คายออกมา

(≧◇≦) แหวะ

ถุ้ยๆ รสชาติแย่ชะมัด!

แปลกจัง รสชาติแย่ขนาดนี้ ทำไมพวกลุงใหญ่ คุณตาแล้วก็คุณยายเขายังกินได้อร่อยกันขนาดนั้น

เจ้าเด็กน้อยเงยหน้าขึ้นอย่างน่าสงสาร “ขอโทษค่ะพ่อ อันนี้ไม่อร่อยเอาซะเลย หนูชมออกมาไม่ได้จริงๆ”

มู่กุยฝาน “…”

เจ้าเด็กน้อยคนนี้วินาทีก่อนยังดีๆ อยู่เลย วินาทีต่อมาก็พูดเล็ดลอดออกมาแล้ว

รสชาติแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ พวกซูอีเฉินเขาก็กินกันได้ไม่ใช่เหรอ

มู่กุยฝานคีบขึ้นมากัดคำหนึ่ง ทันใดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะต้องไอขึ้นมา หยิบแก้วน้ำที่อยู่อีกฝั่งมากรอกคออึกใหญ่

เขาพูดขึ้นอย่างเงียบๆ ว่า “ไม่เป็นไร พ่อเองก็ชมออกไม่ได้เหมือนกัน”

ในสายตาของทุกคนแฝงไปด้วยรอยยิ้มอย่างทนไม่ไหว ซูจื่อซียิ่งหัวเราะฮ่าๆๆ ออกมาอย่างไม่เกรงใจ

ใบหน้าเคร่งขรึมของคุณท่านซูก็ค่อยๆ ปรากฏความอบอุ่นออกมา

กี่คะแนนก็ไม่เป็นไร

ขอเพียงแค่ซู่เป่าชอบ ก็ยอมรับได้

นั่นก็คือร้อยคะแนน

หลังซู่เฟินวางดอกไม้เสร็จก็ไม่รู้ว่าลงมาข้างล่างตั้งแต่เมื่อไร

เธอแอบดูทางห้องกินข้าวอย่างเงียบๆ

ทั้งตระกูลซูเหลืองทองอร่าม สง่างามและหรูหรา พวกเขาหัวเราะคึกคัก มีความสุข

สายตาของซู่เฟินเผยให้เห็นความอาฆาตเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว...

ทำไมพวกเขาถึงได้มีชีวิตกันดีขนาดนี้ ทั้งที่ในประเทศเทียบไม่ได้กับอเมริกาเลย

อากาศของอเมริกาล้วนหวานหอม

แต่ทำไมพวกเขาถึงได้ใช้ชีวิตได้มีความสุขมากกว่าเธอล่ะ

ในมือของซู่เฟินถือตะกร้าดอกไม้ มืออีกข้างถือกรรไกรตัดกิ่งที่ใช้ตัดดอกไม้ อดไม่ได้ที่จะกำแน่น...

ขณะนี้เองมู่กุยฝานหันหน้ามาโดยพลัน ซู่เฟินตกใจจนตัวสั่น กรรไกรตัดกิ่งไม้หล่นลงบนพื้น...

ได้ยินการเคลื่อนไหว คนตระกูลซูต่างหันมา

ซู่เฟินรีบเก็บกรรไกรตัดกิ่งไม้ขึ้นมาทันที แล้วพูดขอโทษ “ขอโทษค่ะ...ฉันไม่ทันระวังเลยทำกรรไกรตัดกิ่งไม้ตกน่ะค่ะ”

พูดจบก็วิ่งไปราวกับหนี

มู่กุยฝานมองเงาข้างหลังของซู่เฟิน แล้วพูดชืดๆว่า “คนสวนคนนี้ดูแปลกนิดหน่อยนะครับ”

นายหญิงซูขมวดคิ้ว คิดว่าวันนี้การกระทำของซู่เฟินดูแปลกๆ เช่นกัน

คนสวนคนนี้เธอเป็นคนคัดเฟ้นมาเอง เนื่องจากต้องการจัดการสวนดอกไม้ในคฤหาสน์ทั้งหมด รับผิดชอบเปลี่ยนดอกไม้ในสวนและจัดดอกไม้ในคฤหาสน์

ต่างจากแม่บ้านทำความสะอาดห้องนายจ้างสองสามคนนั้น ต้องเป็นคนที่สามารถไว้ใจได้เป็นอย่างมาก เธอถึงเลือกมา

“อาจจะไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า บางทีที่บ้านอาจจะมีปัญหาละมั้ง เดี๋ยวตอนดึกๆ ฉันค่อยไปถามเธอ”

มู่กุยฝานไม่ได้พูดอะไรอีก

ชั่วพริบตาเดียวก็ถึงตอนกลางคืนแล้ว มู่กุยฝานพักอยู่ในห้องรับแขกชั่วคราว

มู่กุยฝานมองไปรอบห้อง ในห้องตกแต่งด้วยโทนสีธรรมชาติดูสงบ เตียงสีเทา ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะข้างเตียงสีเทาขาวเข้าคู่กัน และโซฟาเดี่ยวหนึ่งตัวกับโต๊ะน้ำชาตัวเล็กตัวหนึ่ง

ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ส่วนเกินอะไร แต่สอดคล้องกับนิสัยของเขาเป็นอย่างมาก

ดูออกว่าจัดการโดยเฉพาะ

มู่กุยฝานนั่งอยู่บนโซฟาอย่างขี้เกียจและสบายๆ เปิดโทรศัพท์ เปิดรูปของซูจิ่นอวี้ขึ้นมา

เขาดูอย่างเงียบๆ ผ่านไปนานสองนานก็พูดขึ้นอย่างกระซิบว่า “ขอโทษนะที่ไม่มีโอกาสได้รู้จักคุณ”

ได้ยินมาว่าก่อนตายคนที่เธอเป็นห่วงมากที่สุดก็คือซู่เป่า

ไม่ว่าจะพิจารณาในด้านไหน เขาก็จะดูแลซู่เป่าให้ดี

“วางใจเถอะนะ หากคุณถ้ารับรู้ได้ในปรโลก พักผ่อนอย่างสงบสุขนะ”

หานหานที่ถูกปล่อยออกมาในที่สุดกินข้าวคำโตๆ จนลืมนิสัยแย่ๆ ชอบเลือกอาหารในก่อนหน้านี้ไปหมดแล้ว

พอกินเสร็จก็ยกชามไปวางในเครื่องล้างจาน จากนั้นคนก็วิ่งไปเลย ขึ้นข้างบนไปด้วยพลางตะโกนเรียกไปด้วย “ซู่เป่า! ซู่เป่า! มาเล่นกันสิ!”

ซู่เป่าชะเง้อชะแง้ออกมาจากในห้อง “พี่ หนูอยู่ตรงนี้”

หานหานเดินไปอย่างดีอกดีใจ

แต่กลับเห็นซู่เป่าหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาแล้วพูดขึ้นว่า “ลุงรองให้หนูกับพี่คอยกำกับให้พี่อ่านหนังสือ”

หานหานรีบเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างรวดเร็ว “เอ่อ จู่ๆ ฉันก็ง่วงมาก ฉันไปอาบน้ำนอนก่อนนะ”

ซู่เป่า “…”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน