ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน นิยาย บท 115

นายหญิงซูไปพูดคุยกับซู่เฟิน ซู่เฟินปฏิเสธอย่างเดียว รู้สึกเพียงว่าร่างกายของตัวเองไม่ค่อยสบาย ไม่ได้มีปัญหาอะไร

ดูไปดูมานายหญิงซูก็ไม่เห็นว่าเธอจะผิดปกติอะไร จับตามองให้มากหน่อย เลยให้เธอกลับไปพักผ่อน

แสงจันทร์กระจ่างดวงดาราริบหรี่ แสงยามสองทุ่มสามทุ่ม ในห้องของซู่เป่ามีเสียงอ่านหนังสือแว่วมา

ใบหน้าน้อยๆ ของซูเหอเหวินเคร่งขรึม เหมือนกับซูอีเฉินเป๊ะ

ซูเหอเวิ่นนั่งอยู่คนเดียวอีกฝั่ง พาดตัวอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งสีชมพูขาวของซู่เป่ากรอเครื่องถ่ายวิดีโอของตัวเอง

ด้านโต๊ะหนังสือ ทั้งสองแขนของซู่เป่าถือหนังสือเรียน เอาหนังสือไว้บนศีรษะ

หานหานกำลังอ่านบทเรียน “แสงจันทร์นวลส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ดั่งน้ำค้างแข็งเคลือบบนพื้นดิน...แสง...แสง...”

ใบหน้าอันแสนเย็นชาของซูเหอเหวินมองทีหนึ่ง

ในบทเรียนเขียนไว้ว่าพรวนดินยามแสงแดดจ้า หยาดเหงื่อไหลหยดลงดิน และยังมีภาพประกอบของการพรวนดินด้วย

ฉะนั้นเธอท่องไปเรื่อย!

อ่านมั่วๆ ก็ยังอ่านไม่ถูก แม้แต่กลอนง่ายๆ ขนาดนี้ก็ยังท่องไม่ได้

ซูเหอเหวินพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ตกลงที่สอนเธอไปเมื่อกี้จำได้ไหม”

หานหานมองใบหน้าที่แสนเย็นชาของพี่ชาย น่ากลัวกว่าพ่อของตัวเองเสียอีก

เธอร้องไห้พลางทำหน้าเศร้าแล้วพูดขึ้นว่า “จำได้แล้ว...”

ซูเหอเวิ่นยิ้มอย่างเย็นชา “จำได้หมดแล้วเหรอ”

หานหานกลัวยกใหญ่ “จำได้แล้วๆ!”

ซูเหอเหวินหรี่ตา “ดี ฉันจะทดสอบเธอ ประโยคข้างบน ภูเขาหนังสือใช้ความขยันเป็นเส้นทาง ทะเลความรู้ใช้ความขมขื่นเป็นเรือพาย ทั้งสองประโยค ท่องซะ”

เขาไม่เรียกร้องให้เธอท่องทั้งหมด

ท่องสองประโยคก็นับว่าผ่านแล้ว

ซู่เป่ามองหานหาน แล้วมองซูเหอเหวิน

เฮ้อ พี่ใหญ่ช่างดุมากจริงๆ!

สมองของหานหานมึนไปหมดแล้ว ประโยคที่แล้วคืออะไรแล้วนะ เธอมองไปทางซู่เป่าเพื่อขอความช่วยเหลือ

ซู่เป่ามองตรงไปด้านหน้า พูดเตือนอย่างเสียงเบาว่า “ภูเขาหนังสือ...”

สีหน้าเคร่งขรึมของซูเหอเหวินจ้องเธอทีหนึ่ง

ซู่เป่ารีบปิดปากเงียบ

หานหานเบิกตาโพลง อะไรนะ เธอพูดว่าอะไรนะ

ซู่เป่าส่งสายตากลับไปทีหนึ่ง เธอคิดเองสิ! รีบคิดเข้าสิ!

หานหานพยายามใช้ความคิด พูดขึ้นอย่างระวังว่า “อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน ทะเลความรู้ใช้ความขมขื่นเป็นเรือพาย”

ซูเหอเหวิน “…”

ซู่เป่าเขลาไปอยู่ชั่วครู่

ใช่...ใช่แบบนี้ไหม

หานหานพาซู่เป่าไปในทางที่ผิดได้สำเร็จ ทำให้เธอลืมประโยคเดิมไปเลย

ซูเหอเหวินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาอีกครั้ง “ทางหินไกลบนยอดเขาคดเคี้ยวและชันขึ้น ตรงเมฆขาวราวกับว่ามีบ้านเรือนอยู่สองสามหลัง ท่องต่อไป!”

หานหานช่างน่าสงสารจับใจ “ขึ้นต้นให้หน่อยเถอะค่ะพี่!”

ซูเหอเวิ่นพูดขึ้นกลอนให้อย่างไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา “อะไรนะ บุปผาเดือนสองอะไรนะ”

แม้แต่คนที่เกลียดวิชาสายศิลป์เป็นที่สุดอย่างเขายังท่องได้ หานหานช่างกากจริงๆ

ทันใดนั้นหานหานก็มีกลอนอยู่ในใจ “หยุดรถดับเครื่องแล้วดึงเบรกมือ ใบเฟิงที่มีหิมะปกคลุมย่อมดีกว่าดอกหงเดือนสอง!”

ซูเหอเวิ่น “…”

ซูเหอเหวิน “…”

ซู่เป่า ╭(⊙o⊙)╮

ใช่ประโยคนี้ไหม หรือว่าเมื่อกี้เธอจำผิด...

ความทรงจำของซู่เป่าดีกว่าคนปกติทั่วไป จี้ฉางมักจะสอนคาถาซับซ้อนให้เธอ เธอสามารถจำได้โดยไม่ตกหล่นไปสักตัวอักษร

ขณะนี้กลับสงสัยความคิดของตัวเอง

ซูเหอเหวินโกรธจนไม่อยากทำอะไรแล้ว

นี่มันอะไรกันเนี่ย!

“ไปหาอารองสอนเธอเองแล้วกัน!”

หานหานร้องไห้และพูดขึ้นอย่างน่าสงสารว่า “อย่านะพี่ พ่อหนูโกรธหนูจนโรคหัวใจกำเริบกะทันหัน ถ้าไปหาเขาอีกคงถูกหนูทำให้โมโหตายแน่”

ซูเหอเหวินหัวเราะอย่างเย็นชา “เธอเองก็รู้ด้วยเหรอว่าเธอทำให้คนโมโห”

ไม่สอน ใครจะมาบอกเขาก็ไม่สอน!

ซู่เป่าเอามือป้องปากแล้วแอบหัวเราะ

หานหานมองมาทางเธออย่างขอความช่วยเหลือ

ซู่เป่ารีบช่วยหานหานขอความเมตตา “พี่คะ พี่หานหานผิดไปแล้ว พี่สอนอีกครั้งหน่อยเถอะค่ะ เธอต้องทำได้แน่”

เจ้าเด็กน้อยมองซูเหอเหวินปิ๊งๆ ดวงตากลมโตปิ๊งๆ

ซูเหอเหวิน “…”

งั้นก็...สอนอีกห้านาทีแล้วกัน!

ห้านาทีผ่านไป

ซูเหอเหวิน “มีสหายมาจากแดนไกล”

หานหาน “...แม้...แม้ไกลสักเพียงใดเราจักต้องฆ่าให้หมด”

ซู่เป่าเอามือปิดหน้า

ไม่ถูกสิ!

ซูเหอเหวินโกรธอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ ใบหน้าเย็นชาราวกับก้อนน้ำแข็ง วางหนังสือแล้วพูดขึ้นว่า “เธอเรียนเองเถอะ!”

พูดจบก็โกรธจนปิดประตูแล้วเดินออกไป

ซู่เป่ากับหานหานมองหน้ากัน

หานหาน “ฉันท่องผิดเหรอ”

ซู่เป่า “คงผิดแน่ เมื่อกี้พี่บอกว่า แม้ไกลสักเพียงใดเราจักต้องฆ่าให้หมดหมายถึงไม่ว่าศัตรูจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ต้องฆ่าพวกเขาให้หมด เพื่อนมาจะฆ่าได้ยังไงล่ะ”

ทันใดนั้นหานหานก็ “จริงด้วย! เพื่อนมาแล้วจะแม้ไกลสักเพียงใดเราจักต้องฆ่าให้หมดไม่ได้!”

แต่เมื่อกี้พอพี่เหอเหวินจ้องเธอแบบนั้น ในสมองเธอก็ราวกับผึ้งบินหึ่งๆ จำอะไรได้ไม่อยู่แล้ว

ซู่เป่ามองหานหานอย่างเห็นใจ “พี่ พี่คงเป็นเด็กกากในตำนานสินะ!”

ซู่เป่าเคยตามซูเหอเวิ่นไปเรียนวันหนึ่ง จากการได้เรียนรู้กับตาตัวเองของครูหวังที่เป็นครูอังกฤษก็ได้รู้ว่าอะไรคือตัวท็อปอะไรคือเด็กกาก

หานหานถอดสีหน้า “ฉันเองก็ไม่อยากเป็นหรอก!”

การเรียนช่างยากเย็นจริงๆ

ทำไมต้องเรียนของอะไรพรรค์นี้ด้วย!

ทำไมต้องมีการสอบอะไรพรรค์นี้ด้วย!

ซู่เป่าตบๆ เธอ พูดปลอบปะโลมว่า “ไปอาบน้ำนอนเถอะ!”

หานหาน “…”

เธอถอดรองเท้าแตะแล้วสะบัด กระโจนไปบนเตียงของซู่เป่า “ฉันอยากนอนห้องเธอ”

เด็กสาวสองคนมองไปทางซูเหอเวิ่น

ซูเหอเวิ่นพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ฉัน...ฉันจะอยู่อีกสักพัก”

น่าโมโหชะมัด ทำไมเขาต้องเป็นเด็กผู้ชายด้วยนะ

ไม่อย่างนั้นเขาเองก็อยากนอนห้องนี้ด้วยเหมือนกัน

ซูเหอเวิ่นไม่อยากกลับห้อง ถ้าดึกดื่นเที่ยงคืนผีสาวตนนั้นมาหาที่ห้องจะทำยังไง...

ทันใดนั้นซู่เป่าก็วิ่งมา รื้อไปรื้อมาในโต๊ะเครื่องแป้ง ล้วงยันต์สีเหลืองที่พับจนเป็นรูปสามเหลี่ยมออกมาจากลิ้นชักน้อยๆ

“พี่ นี่ให้พี่ ไม่ต้องกลัวไปนะ!”

เธอทำหน้าราวกับฉันเข้าใจอารมณ์ของพี่

ซูเหอเวิ่นพูดด้วยความรู้สึกเฉยๆ “ใครบอกว่าฉันกลัวกัน ฉันกลัวแค่ฉันจะประดิษฐ์อุปกรณ์เห็นผีไม่ได้...”

หานหานพูดขึ้นเสียงดัง “อะไรนะ พี่เหอเวิ่นกลัวผีเหรอ ฮ่าๆ พี่นี่ขี้ขลาดจริงๆ เลย!”

ซูเหอเวิ่น “…”

เขาเองก็โกรธจนสะบัดมือแล้วเดินจากไป

หานหานลูบจมูกอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เธอพูดอะไรผิดไปเหรอ ไม่ผิดนี่!

ยิ่งดึกขึ้น ไฟของคฤหาสน์ตระกูลซูก็ค่อยๆ ดับไป เหลือเพียงแค่ไฟกลางคืนสลัวๆ เท่านั้น

ซูเหอเวิ่นกำลังจัดการกะละมังเหล็กของตัวเองอยู่ในห้อง

แล้ววางกระบี่ไม้ท้อเล่มหนึ่งไว้ใต้หมอน

จากนั้นแปะยันต์สีเหลืองที่ซู่เป่าให้อาไว้บนหน้าท้อง

เห็นบรรยากาศรอบๆ เงียบสงัด ลมพัดโชยเล็กน้อย ผ้าม่านพลิ้วไหว...

เขามักจะรู้สึกว่าในใจว่ามันแปลกๆ รู้สึกว่าใต้เตียง ในห้องน้ำและหลังประตูมีคนอยู่...

ตรงไหนก็มีคนอยู่

ซูเหอเวิ่นที่อกสั่นขวัญหายเกร็งตัวอยู่ครู่หนึ่ง และไม่รู้ว่าผล็อยหลับไปตอนไหน

ฟู่วๆ...

ลมพัดจนผ้าม่านพริ้วไหว

ประตูมีเสียงแก๊กๆ เบาๆ แว่วมา ราวกับมีคนกำลังหยิบกุญแจไขประตูอย่างนั้น

ซูเหอเวิ่นกำลังหลับฝันอยู่ขมวดคิ้ว ราวกับฝันร้ายอย่างนั้น

แก๊กๆ

ประตูถูกคนคนหนึ่งผลักออก ประตูไม้คุณภาพดีมาก ไม่มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังออกมา

คนคนหนึ่งเขย่งปลายเท้า เดินอย่างไม่มีเสียงใดๆ เดินไปตรงหน้าซูเหอเวิ่นเงียบๆ

มองซูเหอเวิ่นที่กำลังหลับสนิทอยู่

มือข้างหนึ่งยื่นออกมา ยิ่งใกล้ขึ้นเรื่อยๆ...

ขนตาของซูเหอเวิ่นสั่นระรัว เขาในความฝันราวกับมีความรู้สึก ยิ่งกระวนกระวายมากขึ้น ทันใดนั้นก็ถูกฝันร้ายทำให้ตกใจจนลืมตาขึ้นพรึบ

ตรงหน้าเป็นภาพสีดำขลับ ซูเหอเวิ่นไม่ได้สติกลับมาในทันใด เพียงแต่แอบถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง ที่แท้ก็เป็นแค่ฝันร้าย

รอจนดวงตาค่อยๆ ชินกับความมืด ซูเหอเวิ่นนึกถึงฝันของตัวเอง จึงหันไปทางประตูตามสัญชาตญาณ

นัยน์ตาของเขาหดอย่างแรง ประตูห้องเขา...เปิดไว้ตั้งแต่เมื่อไร!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน