ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน นิยาย บท 117

นอกห้องมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ ข้างๆ เธอคือมู่กุยฝาน

ในมือของมู่กุยฝานถือมีดปลายแหลมเล่มหนึ่ง กำลังจี้คอของหญิงสาวเอาไว้

หญิงสาวคนนี้ไม่ใช่ใคร แต่เป็นซู่เฟิน!

“อย่าขยับ” มู่กุยฝานพูดด้วยน้ำเสียงชืดๆ แฝงเจตนาฆ่าอันเย็นเฉียบเล็กน้อยท่ามกลางความไร้รูปร่าง

ซู่เฟินเบิกตาโพลง พูดซ้ำๆ อย่างหวาดกลัวว่า “อย่าตัดหัวฉันเลยค่ะ...อย่าตัดหัวฉันเลยค่ะ...”

มู่กุยฝานหรี่ตามอง

เมื่อตอนบ่ายตอนที่มีดหั่นผักกระเด็นไป เธอเองก็กลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ พูดอยู่ซ้ำๆ ว่าอย่าตัดหัวของเธอ

คนทั่วไปเห็นมีดลอยไปหรือจี้อยู่บนคอ ก็ควรจพูดว่า ‘อย่าฆ่าฉัน’หรือ ‘ช่วยด้วย’

ผู้หญิงคนนี้ ไม่ปกติอย่างที่คิดไว้จริงๆ

“เธอเป็นใคร” น้ำเสียงของมู่กุยฝานเย็นชา

สีหน้าของซู่เฟินซีดเผือด พูดขึ้นอย่างสั่นเครือ “ฉัน...ฉันซู่เฟินไงคะ...”

มู่กุยฝานกับซูอีเฉินมองหน้ากันทีหนึ่ง

ซูอีเฉินถามขึ้นว่า “เธอมาทำอะไรที่นี่”

ซู่เฟินพูดขึ้นอย่างอึกๆ อักๆ “ตอน ตอนกลางคืนฉันนอนไม่หลับ ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวพอดี...”

นัยน์ตาของเธอกรอกไปมา แล้วมองไปที่ซูเหอเวิ่น “เหมือนจะเป็นเสียงของคุณชายน้อยเหอเวิ่น...คุณชายน้อยเหอเวิ่นไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ”

สายตาของซูอีเฉินประกายความเย็นชาออกมาเล็กน้อย แต่ทว่ากลับพูดชืดๆ ว่า “ไม่มีเรื่องอะไร เธอก็กลับไปเถอะ!”

มู่กุยฝานได้ยินที่ซูอีเฉินพูดก็ชักมีดปลายแหลมกลับมา

ซู่เฟินถอนหายใจเฮือกหนึ่ง มองมู่กุยฝานอย่างระวังทีหนึ่ง ขณะนี้เองจึงพูดขึ้นมาว่า “ค่ะ...ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้...”

พูดจบก็รีบจากไปในทันที

ซูเหอเวิ่นพูดขึ้นว่า “พ่อครับ นี่มันเรื่องอะไรกันเหรอ”

ซูอีเฉินกดเสียงต่ำลง “ห้องพักของเหล่าสาวใช้อยู่อีกฝั่งของคฤหาสน์ ห่างไปประมาณห้าร้อยเมตร ต่อให้แกจะแหกปากร้องเรียกดังแค่ไหน เธอก็ไม่มีทางได้ยิน แล้วมาเร็วขนาดนี้”

คุณภาพการตกแต่งของคฤหาสน์ตระกูลซูยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก ประตู ผนัง ประสิทธิภาพของฉนวนกันเสียงของแก้วเก็บเสียงเป็นอย่างดี

ไม่อย่างนั้นตอนที่ซูเหอเวิ่นเคาะประตูก๊อกๆ คนอื่นในตระกูลซูก็ถูกทำให้ตื่นไปตั้งนานแล้ว

แน่นอนว่า มู่กุยฝานเป็นกรณีพิเศษ

“อย่างที่สอง คฤหาสน์หลังนี้มีเด็กตั้งมากมายขนาดนั้น ทำไมเธอถึงรู้ว่าคนที่เสียงดังคือแกล่ะ”

พอเด็กกรีดร้องขึ้นมาก็แยกยากว่าใครเป็นใคร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซูเหอเวิ่น ซูเหอเหวินและซูจื่อซีทั้งสามคนล้วนเป็นเด็กผู้ชาย เสียงใกล้เคียงกันมาก

มั่นใจว่าเป็นเสียงของซูเหอเวิ่นทันที น่าสงสัยเป็นอย่างมาก

สองจุดนี้ เป็นข้อพิสูจน์ว่าเธอโกหก!

ซูเหอเวิ่นสมองไว พอคิดขึ้นได้ก็พูดกระซิบอย่างหวาดกลัวว่า “พ่อครับ พ่อหมายความว่าเมื่อกี้คนที่อยู่ในห้องผมคือเธอเหรอครับ”

ซูอีเฉินพยักหน้า โทรศัพท์เรียกอาเนี่ยขึ้นมา ให้เขาไปตรวจสอบกล้องวงจรปิด แต่กลับตรวจสอบไม่พบ

กล้องวงจรปิดถูกคนกดหยุดเอาไว้

ซูเหอเวิ่นคิดว่ายิ่งน่ากลัวกว่าเดิม บางครั้ง คนที่มีร่องรอยพิลึกกึกกือก็น่ากลัวเสียยิ่งกว่าผีซะอีก

ซูอีเฉินเงยหน้ามองไปทางมู่กุยฝาน มู่กุยฝานเองก็กำลังมองมาพอดี สายตาของทั้งสองคนมีประกายของการวางแผนชั่วอย่างหนึ่ง

มู่กุยฝานพยักหน้า พูดอย่างขึ้นเสียงเล็กน้อย “งั้นผมกลับไปก่อนละนะ”

ซูอีเฉินพูดขึ้นว่า “โอเค”

ซูเหอเวิ่นรีบพูดขึ้นว่า “พ่อครับ ผมอยากไปนอนห้องพ่อ...”

ซูอีเฉินอืมเสียงหนึ่ง จากนั้นก็พาซูเหอเวิ่นกลับห้อง

ไม่นานในคฤหาสน์ตึกหลักก็เงียบงันอีกครั้ง

ไม่นานเท่าไร ประตูของชั้นหนึ่งก็ถูกแง้มออกอย่างเงียบๆ เงาคนเส้นหนึ่ง ‘ฟิ้ว’ เข้ามาเงียบๆ...

ขณะนี้เอง มู่กุยฝานกำลังนั่งยองอยู่บนคาน หัวเราะอย่างเย็นชาเงียบๆ

คนปกติถ้าถูกจับได้คาหนังคาเขาหนึ่งครั้ง จะไม่กล้ากลับมาอีกครั้งเด็ดขาด

สาวใช้ตรงหน้าคนนี้ ถ้าาความคิดเธอไม่แปลกประหลาดจนถึงขั้นน่ากลัว ก็คือไม่ความคิดที่ไม่เหมือนคนปกติ

มู่กุยฝานเชื่อค่อนไปทางที่เธอเป็นโรคจิต

ชั้นล่างของคฤหาสน์ที่โล่งกว้าง ฝีเท้าที่กำลังเหยียบย่ำอย่างไร้เสียงของซู่เฟิน ขึ้นข้างบนอย่างช้าๆ

แต่ที่แปลกคือเธอยังมองรอบๆ คฤหาสน์ทีหนึ่ง เหมือนกับกำลังเดินเวรยามอยู่นิดๆ ราวกับวิญญาณเร่ร่อนที่ล่องลอยอยู่กลางดึกอย่างนั้น

มู่กุยฝานขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีความรู้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้...

ในห้อง ซูเหอเวิ่นทอดตัวนอนลงบนเตียงใหญ่สีเทาเขียว

โทนสีห้องของซูอีเฉินส่วนมากจะเป็นสีครามเทาแสนเคร่งขรึม สิ่งของถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ให้ความรู้สึกเคร่งขรึมและไร้ความเป็นคน

ร่างน้อยๆ ของซูเหอเวิ่นเหยียดตรง สองมือวางไว้บนหน้าท้องอย่างเป็นระเบียบ

ซูอีเฉินหยิบผ้านวมผืนบางออกมาผืนหนึ่ง พูดขึ้นอย่างชืดๆ ว่า “นอนเถอะ”

ปิดไฟ ห้องของซูอีเฉินไม่มีไฟกลางคืนดวงน้อยๆ อาศัยแสงไฟน้อยๆ นอกคฤหาสน์ที่ลอดเข้ามา

ซูเหอเวิ่นมองไปข้างหน้าต่าง จากนั้นขยับเข้าไปทางพ่อของตัวเองตามสัญชาตญาณ

ผ่านไปนานสองนาน เขาเม้มปากลองเรียกหยั่งเชิงอย่างกระซิบกระซาบ “พ่อครับ”

ซูอีเฉินตอบกลับคำหนึ่ง “อืม”

ซูเหอเวิ่นพูดอย่างเงียบๆ ยังไม่หลับสินะ...

เขาพูดขึ้นอย่างลังเล “พ่อครับ...คนอื่นพูดกันว่าผมกับพี่เกิดมาจากการทดลอง วัตถุประสงค์ของการมีตัวตนก็เพื่อปลูกถ่ายเซลล์ให้คุณอา...เป็นแบบนี้เหรอครับ”

ซูอีเฉินหลับตาพลางพูดขึ้นชืดๆ “ไปฟังใครมา”

ซูเหอเวิ่นเบ้ปาก “ทุกคนเขาก็พูดกันทั้งนั้น”

พวกเขาไม่มีแม่ตั้งแต่เด็กๆ มีเพียงพ่อเท่านั้น

ภาพถ่ายในตระกูลหรือในข่าวอื่นๆ ทั้งหมด หาร่องรอยการคงอยู่ของแม่พวกเขาไม่พบเลยสักนิด

ฉะนั้นคนอื่นจึงพูดกันว่าเขากับซูเหอเหวินเกิดมาจากการคัดเลือกจากหลอดทดลองแช่แข็ง เพียงเพราะตอนนั้นคุณอาเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวระยะสุดท้าย หามาทั่วทั้งโลกแล้วก็ยังไม่พบเซลล์ที่เข้ากันได้...

ซูอีเฉินหัวเราะเยาะอย่างเย็นชา “งั้นทำไมหลอดเดียวไม่ทำสองคนล่ะ ทำไมต้องแยกเป็นสองหลอด”

เขากับซูเหอเหวินอายุห่างกันปีกว่า

ซูเหอเวิ่น “…”

ซูอีเฉินกำลังจะพูด แต่ราวกับรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง จึงหันหลังกลับไปมองทางประตู

ซูเหอเวิ่นตื่นตระหนกตามไปด้วย

เป็นที่รู้กันดีว่า เป็นไปไม่ได้ที่ประตูไม้จะแนบสนิทกับพื้นไม้ ไม่อย่างนั้นตอนปิดประตูก็จะขูดกับพื้น ฉะนั้นมักจะเหลือร่องเล็กๆ เอาไว้ร่องหนึ่ง

ไฟของทางเดินด้านนอกส่องผ่านร่องด้านล่างเข้ามาเล็กน้อย ตอนนี้จู่ๆ ก็เงียบกริบ ราวกับมีคนยืนอยู่ข้างนอก

สักพักเงานั้นก็เคลื่อนไปข้างหน้า ไม่นานก็หายไป

ซูเหอเวิ่นเห็นการเปลี่ยนแปลงของเงานี้กับตาตัวเอง ฉี่จะแตกออกมาแล้ว

ในห้องของซู่เป่า

เจ้าเด็กน้อยเคลิ้มหลับอยู่ ทันใดนั้นลมมวลหนึ่งก็พัดผ่านแก้มของเธอไป ทางระเบียงมีเสียงจิ๊บๆ อันเคร่งขรึมของเสี่ยวอู่แว่วมา

ถ้าถูกสิ่งมีชีวิตอื่นเห็นนกแก้วในตอนกลางคืนจะนึกว่าเป็นศัตรูตามธรรมชาติ ฉะนั้นจึงร้องเสียงแบบนี้ออกมา

แต่ทว่าไม่นานเสียงนี้ก็หายไป

ซู่เป่าไม่รู้ว่าทำไมถึงลืมตาขึ้นมา มองเพดานอย่างมึนงง

หลังผ่านไปชั่วครู่ตาก็เริ่มหนักๆ หลับตาครึ่งหนึ่ง ท่าทางจะหลับแต่ไม่หลับ

บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด ฉะนั้นซู่เป่าจึงได้ยินตอนที่ประตูถูกเปิดเข้ามาเบาๆ เธอมองไปอย่างสงสัย

แสงของทางเดินที่ตามหลังเข้ามา เธอเห็นเงาคนร่างหนึ่งเข้ามาอย่างเงียบๆ ไร้เสียงใด ฝีเท้าย่องเข้ามาเหมือนตีนแมว ค่อยๆ เข้ามาใกล้ๆ...

เมื่อคนที่อยู่ในที่ที่แสงแล้วจู่ๆ ก็เข้ามาในที่มืด ปกติแล้วดวงตาทั้งสองจะมืดดำ มองไม่เห็นทิศทางในความมืด แต่ทว่าในทางกลับกันกลับตรงกันข้าม

ซู่เป่ามองเห็นคนที่เดินมาอยู่ข้างเตียงของตัวเองได้อย่างชัดเจน ลุกขึ้นยืนตัวตรงราวกับผี จ้องเธอเขม็ง

ทันใดนั้นซู่เป่าก็เปล่งเสียงถามขึ้นมา “คุณน้าซู่เฟิน คุณน้ามาทำอะไรที่นี่คะ”

ค่ำคืนอันเงียบสงัด ในความมืดยื่นมือไม่เห็นนิ้วทั้งห้า ทันใดนั้นเสียงอันไร้เดียงสาของเด็กน้อยก็ดังขึ้นมา

ซู่เฟินตกใจจนสั่นเทา ร้องเสียงหลงขึ้นมาตามสัญชาตญาณ

“อ๊า...”

เธอรีบถอยหลังในทันใด สุดท้ายไม่รู้เหยียบเข้ากับอะไร มีเสียงแก๊กดังขึ้นมา...

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน