ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน นิยาย บท 142

วันที่สอง

หลังจากร้องไห้มาทั้งคืนจนพอใจแล้ว หลินเสวี่ยอิงก็ได้สติ

มองดูตัวเองในกระจก เธอทำท่าทางให้กำลังใจตัวเองและพูดเสียงดังขึ้นมา “วันนี้ก็ต้องสู้ๆ นะเชอร์รี่น้อย! เธอเก่งที่สุดในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะเอาชนะเธอได้~ ”

“สู้ๆ สู้ๆ สู้ๆ~!”

อี้ปินทำอาหารเช้าและนำเข้ามาเธอ เมื่อบังเอิญเห็นเธอกำลังให้กำลังใจตัวเองในกระจกก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

“เชอร์รี่น้อยน่ารักจริงๆ ” เขานำอาหารเช้าวางไว้ข้างๆ เธอ กอดเธอไว้จากด้านหลัง “อย่าไปไหนอีกเลยนะ โอเคมั้ย”

หลินเสวี่ยอิงมองเขาอย่างเศร้าใจ แล้วส่ายหัว “คงไม่ได้หรอก อี้ปิน เธอน่ะดีกับฉันมากจริงๆ ฉันก็อยากอยู่กับเธอแบบนี้ไปตลอดนะ…”

“ตอนเช้าฉันจะตื่นขึ้นมา เธอก็ทำอาหารเช้า จากนั้นพวกเราก็จะมีลูกด้วยกัน เธอออกจากบ้านไปทำงาน ฉันก็จะอยู่ดูแลบ้านทำความสะอาด ลูกกับผมรอเธอเลิกงานกลับมาบ้าน”

อี้ปินกระชับอ้อมแขนให้แน่นยิ่งขึ้น และพูดด้วยเสียงแหบพร่า “ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ก็ได้ เธอก็อยู่ที่นี่ไป ส่วนฉันก็จะขยันทำงาน ให้เธอทุกสิ่งที่เธอต้องการเลย…”

หลินเสวี่ยอิงส่ายหัว “ถ้าอย่างนั้นโจวเซียวจะทำยังไงล่ะ เขามีอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรง ปิดตัวเอง แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับทุกคนด้วยรอยยิ้มก็เถอะ... ฉันคือความหวังเดียวของเขาที่จะมีชีวิตอยู่... ถ้าฉันจากไป เขาฆ่าตัวตายแน่”

เธอปิดหน้าและร้องไห้ “ฉันน่ะรักเธอจริงๆ นะอี้ปิน รักมากจริงๆ ไม่สนว่าใครจะคิดยังไง แค่มีเธอแบบนี้ฉันก็สุขใจ...แต่ว่าฉันทำไม่ได้หรอก อี้ปิน นายรู้ไหมว่าฉันทนเห็นคนตายไปต่อหน้าต่อตาเพราะตัวเองไม่ได้หรอกนะ…”

ในขณะที่หลินเสวี่ยพูด เธอก็สร้างฉากละครชีวิตดราม่าขึ้นมาในหัว

และเธอเป็นนางเอกในหมู่พวกเขา เธอรักชายหนึ่งในนั้นอย่างสุดซึ้ง แต่อีกคนนั้นหนึ่งป่วยหนัก เธอไม่สามารถทิ้งเขาไว้เบื้องหลังได้...

หลินเสวี่ยอิงร้องห่มร้องไห้ “ฉันเห็นแก่ตัวไม่ลงหรอก…ลืมฉันซะเถอะนะ อี้ปิน”

อี้ปินกอดเธอไว้แน่นด้วยความทุกข์ใจ “ฉันจะไปคุยกับเขาเอง!”

หลินเสวี่ยอิงส่ายหัวทันที “ไม่ได้ นายไปก้มีแต่ไปจุดชนวนให้เขาทุกข์ใจมากขึ้น ถ้าหากนายดันไปพูดแทงใจดำเข้า แล้วเขากระโดดตึกตายขึ้นมาล่ะ”

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต!”

ในขณะที่พูด หลินเสวี่ยอิงผลักเขาออก มองเขาด้วยสายตาอันลึกซึ้ง แล้ววิ่งหนีไป

อี้ปินไล่ตามเธอออกไป แต่ก็ไม่ทัน…

ณ มุมบันไดหลินเสวี่ยอิงปิดปากอำพรางใบหน้าที่เศร้าเอาไว้ โชคชะตาลิขิตให้เธอไม่สามารถอยู่กับอี้ปินได้

ด้วยความรู้สึกเศร้าใจ เธอจึงตัดสินใจไปหาแฟนหนุ่มคนที่สามของเธอ นอกจากโจวเซียวและอี้ปินก็คืออวี๋เซินเหมี่ยว …

เมื่อเห็นหลินเสวี่ยอิงเดินเข้ามา อวี๋เซินเหมี่ยวที่กำลังจะออกไปทำงานก็รู้สึกประหลาดใจมาก เขาพูดอย่างเย็นชา "เชอร์รี่น้อย เธอไม่ได้บอกหรอกเหรอว่าจะไม่มาเจอฉันอีก ... "

หลินเสวี่ยอิงพูดอย่างอ้างว้าง "ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไม...ฉันหาคนที่ไว้ใจไม่ได้ เท้ามันก็ควบคุมไม่ได้ ก็เลยเดินเรื่อยๆ มาจนถึงที่นี่”

เธอพูดไปน้ำตาก็ไหลไป

อวี๋เซินเหมี่ยวพยายามนิ่งไม่ไหวติง และพูดจาเย้ยหยันออกมา “โจวเซียวกับอี้ปินล่ะ ไม่ใช่ว่าพวกเขา…”

“ไม่ต้องพูดเลย!” หลินเสวี่ยอิงเอามือปิดหน้าด้วยความเจ็บปวด “ฉันกับพวกเขา ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว และหลังจากที่เลิกกับนายไป ฉันก็ไม่ได้ติดต่อพวกเขาอีกเลย”

“วันนี้ฉันไม่ควรมาหาเธอเลยจริงๆ แต่ฉันไม่รู้ว่าต้องทำยังไง…จู่ๆก็คิดถึงนายขึ้นมามากๆ ฉันโกหกความรู้สึกตัวเองไม่ไหวหรอก…”

มีความดุดันเกิดขึ้นในแววตาของอวี๋เซินเหมี่ยว จากนั้นเขาก็กอดเธอเอาไว้แน่น

หลินเสวี่ยอิงพักพิงแขนของอวี๋เซินเหมี่ยว ฉากในตอนนี้ช่างเหมือนกับในละครดราม่าหลังข่าว ที่พระเอกและนางเอกกลับมาพบกันอีกครั้งเพราะความเข้าใจผิด

อา…ซึ้งใจจริงๆ

เธอเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ แต่จู่ ๆ ด้วยรูปลักษณ์ของอวี๋เซินเหมี่ยวก็ทำให้เธอใจหายใจคว่ำ

มีหนวดขึ้นเป็นวงกลมบริเวณรอบมุมปากของเขา ซึ่งดูไม่สะอาดเลย แถมยังมีความรกเล็กน้อย

"..."

หลินเสวี่ยอิงรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากในหัวใจของเธอ

แน่นอนว่ามู่กุยฟานและซูอีเฉินได้ครอบครองหัวใจของเธอแล้ว และเธอไม่สามารถตกหลุมรักใครได้อีก...

"ฉันขอโทษ ฉันไม่ควรเข้ามารบกวนชีวิตที่สงบสุขของนายเลย ฉัน..."

หลินเสวี่ยอิงหันหลังกลับและกำลังจะเดินจากไป

อย่างไรก็ตาม การที่เธอทำแบบนี้ยิ่งทำให้อวี๋เซินเหมี่ยวแทบคลั่ง เขาจับข้อมือของเธอ กดเธอเข้ากับกำแพงแล้วจูบเธอ...

การปะทะกันที่รุนแรงแบบนี้ทำให้หลินเสวี่ยอิงเคลิ้มยิ่งกว่าเดิม เธอหลับตาและจินตนาการว่าคนที่จูบเธอตอนนี้คือมู่กุยฝาน…

“ฮู้...” หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้น อดไม่ได้ที่จะเขินอาย

ราวกับว่าน้ำมันที่มาปะทะกับกองไฟ

ลมหายใจร้อนระอุดั่งเปลวเพลิง

หลินเสวี่ยอิงหลับตาตลอดเวลา ทำให้ตัวเองอยู่ในจินตนาการว่ากำลังถูกครอบงำด้วยกระบวนการรักของซูอีเฉิน...

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

หลินเสวี่ยอิงเอาผ้าห่มคลุมตัวเองด้วยใบหน้าแดงก่ำ

ดวงตาของอวี๋เซินเหมี่ยวเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขาไม่อยากจะเชื่อเลย "เชอร์รี่น้อย นี่ นี่เป็นครั้งแรกของเธอ..."

หลินเสวี่ยอิงสวนขึ้นมาทันที: "ฉันเกลียดนาย ไม่ต้องพูดเลย!"

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเธอ ไม่สิ ควรจะพูดว่าเป็น 'ครั้งแรก' ของเธอและแฟน สังคมสมัยนี้มันพัฒนาไปมากแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ฟื้นฟูบำรุงได้ทั้งนั้น...

ครั้งนี้เธอเพิ่งได้รับการผ่าตัดมา พอคิดถึงหน้ามู่กุยฝานและซูอีเฉิน เธอก็คิดขึ้นมาว่าต้องไปโรงพยาบาลอีกสองครั้งแล้วสินะ... อืม...

อวี๋เซินเหมี่ยวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว เขาโอบกอดเธออย่างมีความสุข เชื่อทุกสิ่งที่เธอพูดในขณะนี้

ทั้งสองสนทนากัน และหลินเสวี่ยอิงเล่าเรื่องที่ตนเองทำให้ตระกูลซูขุ่นเคืองและถูกไล่ออกจากโรงเรียนอนุบาล

อวี๋เซินเหมี่ยวพูดอย่างเป็นทุกข์ "เพราะอย่างนั้นก็เลยมาหาฉันเหรอ"

หลินเสวี่ยอิงร้องไห้ "ฉันไม่รู้จะทำยังไงดี ฉันโทษตัวเองมาก ฉันอยากจะขอโทษครอบครัวซูจริงๆ แต่พวกเขาก็ไม่เคยฟัง ไล่ฉันออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ..."

"ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำอย่างไร ฉันเดินไปตามถนนอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่ากำลังจะไปไหน พอรู้สึกตัวอีกครั้ง ฉันก็พบว่าตัวเองอยู่ที่นี่แล้ว..."

อวี๋เซินเหมี่ยวพูดอย่างมีความสุข: "แสดงว่าคนที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจเธอก็คือฉัน ... "

หลินเสวี่ยอิงฮัมเพลง และทันใดนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น "ยังไงก็ตามเซินเหมี่ยว นายทำงานที่ซูซื่อกรุ๊ปใช่ไหม คุณช่วยฉันให้แอบเข้าไปได้ไหม..."

"ฉันอยากจะขอโทษคุณซูเป็นการส่วนตัว..."

อวี๋เซินเหมี่ยวพูดอย่างหมดหนทาง "เธอไม่ต้องโทษตัวเองหรอก และไม่จำเป็นต้องขอโทษใครด้วย"

หลินเสวี่ยอิงส่ายหัวด้วยตาอันแดงก่ำ “ไม่ได้หรอก วันนั้นฉันเห็นซู่เป่าถูกโจมตีทางอินเตอร์เน็ต ฉันโทษตัวเองอย่างหนัก เป็นเพราะฉันไม่ดูให้ดี ซู่เป่าอายุพึ่งจะแค่สี่ขวบเอง! ก็ต้องมาโดนกลั่นแกล้งบนอินเตอร์เน็ตซะแล้ว”

“ถ้าตอนนั้นฉันถ้าฉันไม่เคว้งคว้างจนคิดถึงแต่เรื่องนาย ฉันก็คงสามารถหยุดเด็กสองนั้นคนไม่ให้ทะเลาะกันได้ ซู่เป่าก็คงไม่ต้องมาถูกทำร้ายแบบนี้…ฮือๆๆ ”

อวี๋เซินเหมี่ยวคิดว่าเธอมีเมตตาเกินไป เขาจะไปทนไหวได้อย่างไร เขาจึงพูดอย่างเกรงใจว่า “เดี๋ยวลองดูนะ…อย่างไรก็ตามฝ่ายบริหารทั่วไปของเราและสำนักงานอธิการบดีไม่ได้อยู่บนชั้นเดียวกัน ห้องทำงานของอธิการบดีอยู่ที่ชั้นที่หกสิบหก พนักงานส่วนใหญ่ขึ้นไปบนนั้นไม่ได้หรอก”

“ไม่เป็นไร…นายพาฉันไปก็พอแล้วล่ะ!” หลินเสวี่ยอิงพูดอย่างตื่นเต้นดีใจ "ฉันเชื่อว่าพระเจ้าจะเข้าข้างผู้ที่ไม่ยอมแพ้~"

อวี๋เซินเหมี่ยวจูบเธออย่างเคลิบเคลิ้ม ไหนๆ ก็สายแล้ว เขาจึงแจ้งบริษัทว่าเขามีธุระด่วนและลางานครึ่งวัน และตัดสินใจพาหลินเสวี่ยอิงไปที่บริษัทในตอนบ่าย

**

ใจกลางเขตเศรษฐกิจใหม่มีอาคารหลักเป็นรูปโค้ง ด้านบนเป็นอาคารสูงสองชั้นคล้ายใบเรือเชื่อมต่อกันเป็นเส้นสายสวยงามเหมือนประตูเทพ

นี่คือที่ตั้งของซูซื่อกรุ๊ป

อาคารหลักนี้มีขนาดใหญ่มาก ชั้นที่สามสิบลงไปใช้เป็นโรงแรมและศูนย์การค้า และชั้นที่สามสิบขึ้นไปใช้เป็นอาคารสำนักงาน นอกจากระบบอันใหญ่โตของซูซื่อกรุ๊ปแล้ว ยังมีส่วนอื่นๆ อีกมากมายให้เช่า บริษัทจึงมีการจราจรที่ค่อนข้างหนาแน่น การตกแต่งภายในก็ซับซ้อนเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ระบบของซูซื่อกรุ๊ปมีลิฟต์ภายในของตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากบริษัทให้เช่าอื่นๆ ดังนั้นเมื่อเข้ามาในพื้นที่นี้ พนักงานจะมีบัตรควบคุมการเข้าออกของตนเอง และยากมากที่จะเข้าไปโดยไม่มีบัตรผ่านประตู

ใบหน้าของหลินเสวี่ยอิงเต็มไปด้วยความตะลึง "ว้าว ที่นี่น่าทึ่งมาก!"

เมื่อเห็นท่าทางที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสาของเธอ อวี๋เซินเหมี่ยวก็อดไม่ได้ที่จะอยากดูแลเธอและตัดสินใจอย่างลับๆ ว่าจะหาเงินในอนาคตและพาเธอออกไปเที่ยวดูโลกกว้างให้มากขึ้น

หลินเสวี่ยอิงถามอย่างร้อนรน “ประธานซูจะขึ้นลิฟต์จากตรงนี้ด้วยไหม”

วันนี้เธอสวมชุดสีขาว สวยงามเป็นเอกลักษณ์มาก

การแต่งหน้าโทนสีพีช เส้นผมที่เปล่งประกายเพราะได้รับการดูแลมาอย่างดี ยกระดับความงามไปอีกขั้น

หลินเสวี่ยอิงอดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงฉากที่เธอวิ่งเข้าไปหาซูอีเฉินในลิฟต์ เจ้านายที่ห่างเหินตอบกลับคำทักทายของพนักงานด้วยสีหน้าอันว่างเปล่า แต่จู่ๆ ก็ลดสายตาลงมาหาเธอพร้อมกับความตกตะลึงในความงามของเธอ ...

แต่อวี๋เซินเหมี่ยวกลับพูดว่า "เปล่าหรอก ประธานซูและคนอื่นๆ มีลิฟต์วีไอพี ลิฟต์พวกนั้นอยู่ตรงนั้นน่ะ"

ซูซื่อกรุ๊ปมีขนาดใหญ่อลังการมากและกระจายไปทั่วทั้งอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น เขาทำงานอยู่ในแผนกขายของอุตสาหกรรมเสื้อผ้า

ทั้งสำนักงานของผู้จัดการทั่วไปและสำนักงานของประธานอยู่ที่ชั้นหกสิบหก พวกเขาอยู่ใน ‘สำนักงานใหญ่’ และจัดการสาขาย่อยของพวกเขาอีกที

“ประธานซูไม่ได้เรื่องมากขนาดนั้น เขาไม่มีลิฟต์พิเศษ แต่ขึ้นลิฟต์วีไอพีกับพนักงานของสำนักงานใหญ่แทน”

แต่ถึงกระนั้น ลิฟต์วีไอพีก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะขึ้นไปได้

หลินเสวี่ยอิงมีความปลื้มปิติเอ่อล้นและเธออุทานว่า "น่าทึ่งมาก"

ซูซื่อกรุ๊ปถูกแบ่งออกเป็นสำนักงานใหญ่และบริษัทอื่นๆ ในเครือที่เกี่ยวข้อง

เนื่องจากเป็นสำนักงานหลักก็ต้องมีแผนกบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ด้วยเช่นกัน

แผนกผู้ช่วยเองก็ต้องมีเคสแบบนี้บ้างล่ะ เช่น เธอไม่อยากทำงานในโรงเรียนอนุบาลอยู่พอดี เธอก็สามารถสมัครเป็นเลขานุการของซูซื่อกรุ๊ป จะเป็นสำนักงานทั่วไปหรือสำนักงานใหญ่ก็ได้!

พอถึงเวลานั้นเธอก็จะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับซูอีเฉินมากขึ้น หลินเสวี่ยอิงกำลังคิดไปถึงฉากละครรักระหว่างผู้บริหารหนุ่มหล่อกับเลขาสาวเจ้าเสน่ห์…

**

ซูอีเฉินออกมาจากการประชุมและกำลังจัดการงานในสำนักงานของตัวเองตามปกติ แต่เปลือกตาของเขากลับกระตุกอย่างต่อเนื่อง

เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วสงสัยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า

ในเวลานี้ ประตูถูกผลักเปิดออก และหัวเล็กๆ ก็โผล่เข้ามา

“คุณลุงใหญ่!” เสียงน่ารักของซู่เป่าดังขึ้น

ซู่เป่าสวมเสื้อยืดลายทางสีน้ำเงินและสีขาว จับคู่กับชุดเอี๊ยมยีนส์ สะพายกระเป๋าสัตว์เลี้ยงแบบใส ซึ่งมีเสี่ยวอู่และเจ้าเต่าแก่อยู่ในนั้น

“ซู่เป่าเหรอ” ซูอีเฉินรีบยืนขึ้น “มาได้ยังไงน่ะ”

ข้างหลังซู่เป่าคือนายหญิงซูที่ถือกล่องอาหารไว้ในอ้อมแขนแล้วพูดว่า “เธอบอกว่าเธอทำนายดวงด้วยการนับนิ้วของเธอ และบอกว่าในวันนี้ทุกอย่างจะไม่เป็นใจสำหรับแก ซู่เป่าแกเลยอยากมาดู”

นายหญิงซูเชื่อว่าซู่เป่ามีท่านอาจารย์คอยอยู่ข้างๆ

แต่เธอไม่ค่อยเชื่อในการทำนายของซู่เป่า เพราะเธอยังเด็ก ดังนั้นเธอจึงรู้สึกว่าอาจารย์ของเธอกำลังแกล้งเธอหรือเปล่า

ซูอีเฉินไม่ได้พูดอะไร แต่เขาได้ยกเลิกแผนสำหรับสิ่งที่เขาวางแผนจะทำในวันนี้ไว้ในใจชั่วคราวแล้ว

ซู่เป่าน้อยบอกว่าทุกอย่างไม่เป็นใจ ดังนั้นเขาจึงจะไม่ทำอะไรในวันนี้

“ถ้าอย่างนั้นซู่เป่าวางแผนจะพาลุงใหญ่ไปไหนดีล่ะวันนี้” ดวงตาของซูอีเฉินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ซู่เป่าเอียงศีรษะและพูดอย่างจริงจังว่า "พาลุงไปซื้อยาค่ะ!"

ซู่อีเฉินหยุดชั่วคราว นึกถึงกระดาษที่ซู่เป่าไปทิ้งไว้ให้ครั้งที่แล้ว

บนนั้นมีรูปยาสมุนไพรเฉ่าไป๋จู๋ คนนึงเอาตัวกั้นน้ำเอาไว้แล้วอีกคนหนึ่งก็เหยียดขาออกไป แล้วบอกว่ามันคือตั่งเซียม…

“ลุงใหญ่ยังไม่ซื้อใช่ไหมคะ ” ซู่เป่าถาม ใบหน้าเล็กของเธอจริงจังและดูโกรธเล็กน้อย

ซูอีเฉินหัวเราะ “ซื้อสิ ซื้อสิ วันนี้จะไปอยู่พอดี”

ซู่เป่าตะคอก "ลุงก็พูดตลอด แต่ไม่เห็นจะไปเลย วันนี้หนูก็เลยมาที่นี่!"

ซูอีเฉินกำลังคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เธอพูดเอาไว้ว่า 'วันนี้ไม่มีอะไรเป็นใจ' ขึ้นมา หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นล่ะก็ เขาออกไปข้างนอกกับเธอสักหน่อยก็ดี

ยาของเขาถูกออกใบสั่งยาโดยผู้เชี่ยวชาญที่เก่งที่สุดแล้ว ที่จริงแล้วไม่ต้องไปซื้อยาแผนจีนโบราณอะไรเลย…

“ไปกันเถอะ!” เขาหยิบโทรศัพท์กับกุญแจรถและเดินออกไปพร้อมซู่เป่าและนายหญิงซู

นอกจากนี้หลินเสวี่ยอิง หลังจากเธอติดตามอวี๋เซินเหมี่ยวและเชื่อฟังเขามาได้สักพัก เธอก็แยกตัวออกมาจากชั้นนั้นโดยอ้างว่ามาสูดอากาศ

เธอลองอยู่หลายวิธี แต่กลับไม่เข้าข้าง เธอขึ้นไปชั้นที่หกสิบหกไม่ได้

หลินเสวี่ยอิงไม่พอใจ

“น่าเบื่อจริงๆ ทำไมยากขนาดนี้นะ…”

เธอลงไปที่ลานจอดรถใต้ดินเพื่อดูว่าเธอจะสามารถขึ้นไปจากที่นี่ได้หรือไม่ แต่ก็พบว่าไม่มีทางขึ้นไปได้

ลิฟต์วีไอพีไม่เพียงแต่ต้องใช้บัตรผ่าน แม้แต่เธอก็เข้าไปไม่ได้ เพราะตรงกลางถูกคั่นด้วยห้องทำงานของยาม

หลินเสวี่ยอิงที่เกือบจะยอมแพ้ จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงลิฟต์เปิดออก และร่างสูงก็เดินออกมา

ซูอีเฉินสวมเสื้อเชิ้ตสีดำ กางเกงเรียบหรูไร้รอยยับทำให้เขาดูสูงสง่าผ่าเผยมากขึ้น

หลินเสวี่ยอิงตาค้างไปชั่วขณะ แน่นอนว่าพระเจ้าต้องเมตตาคนที่ไม่ละทิ้งความพยายามอยู่แล้ว!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน