ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน นิยาย บท 201

นอกห้อง หญิงสาวสวมชุดแต่งงานสีแดงคนหนึ่งกำลังโน้มตัวลงมา ราวกับจะแอบมองอย่างเงียบๆ...

ซูจื่อซีชะโงกศีรษะออกไป เจอกับใบหน้าของเธอพอดี

“…”

ลมหายใจของเขาชะงักทีหนึ่ง กระเด้งตัวขึ้นมาอย่างแรง จากนั้นก็พบว่านี่คือความฝัน!

ซูจื่อซีกลัวเป็นอย่างมาก

ตอนนี้เขาอยู่ในความมืด ไฟนอกทางเดินสลัวๆ ราวกับมีเสียงสวบสาบดึงขึ้นมา

ซูจื่อซีถึงขั้นแยกไม่ออกว่าตอนนี้อยู่ในความฝันหรือความเป็นจริง!

ไม่ว่าใครหากฝันติดต่อกันหลายครั้ง ฝันซ้อนฝัน ไม่ว่าใครก็ยากจะมีสติอย่างแน่นอน ซูจื่อซีทนไม่ไหวแล้ว

เขากัดฟัน แต่ไม่ได้ลุกขึ้นไปเปิดไฟแล้วชะโงกศีรษะออกไปอย่างในฝันแบบนั้น แต่กลับหยิบโทรศัพท์บนหัวเตียงแล้วโทรออกไปสายหนึ่ง...

ซู่เป่ากำลังหลับฝันหวาน ทันใดนั้นโทรศัพท์ในนาฬิกาก็ดังขึ้น เธอลืมตาตื่นอย่างสะลืมสะลือ

“ฮัลโหล...ใครน่ะ”

ซู่เป่าไม่มีเบอร์โทรของซูจื่อซี เธอขยี้ตาอย่างน่ารัก

ได้ยินเพียงเสียงของซูจื่อซีในสายแว่วมา “เธอ...เธอมาที่ห้องฉันหน่อยได้ไหม”

ซู่เป่า “อืม”

เธอค่อยๆ ตื่นตัว ฟังออกว่าเหมือนเป็นเสียงของพี่จื่อซี

เจ้าเด็กน้อยรีบปีนลงจากเตียง พลางพูดขึ้นว่า “มาแล้ว หนูจะไปเดี๋ยวนี้! หนูออกจากห้องแล้ว หนูเดินมาถึงทางเดินแล้ว...”

“หนูมาถึงแล้ว หนูจะถึงหน้าประตูห้องพี่แล้ว...”

ซูจื่อซีฟังโทรศัพท์อย่างใจลอย

ซู่เป่าถูกทำให้ตื่นแต่ไม่นึกเลยว่าจะไม่โกรธ น้ำเสียงนุ่มนิ่ม ราวกับกลัวว่าเขาจะกลัว มิหนำซ้ำยังถือโทรศัพท์พูดพลางเดินไปด้วยตลอดทาง

ในสายเสียงของเธอนุ่มนิ่ม ไม่นานนอกทางเดินก็มีเสียงของเธอดังขึ้นมาพร้อมกัน ต่อมามีเสียงแป๊ก ไฟถูกเปิด

ซูจื่อซีหลับตาอย่างแรง ใช้มือปิดตาเอาไว้ ในชั่วพริบตาก็เห็นเจ้าเด็กน้อยคนหนึ่งพุ่งเข้ามาทางเขา

เธอวิ่งมาอย่างรวดเร็ว ปีนขึ้นมาบนเตียงอย่างรวดเร็ว นั่งอยู่ข้างเขา “พี่คะ พี่ฝันร้ายอีกแล้วใช่ไหม”

ซูจื่อซีไม่พูดไปชั่วครู่

ซู่เป่ายื่นมือไปตบหลังของเขา “ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัวนะ!”

ซูจื่อซีเม้มปาก พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เธอไม่คิดว่ามันน่าขำมากๆ เหรอ”

ซู่เป่า “ห๊ะ ไม่น่าขำนะเลยนะ พี่เพิ่งจะอายุแค่เจ็ดขวบเอง เจ็ดขวบรู้จักกลัวจะเป็นอะไรไป ฉี่รดที่นอนก็เป็นเรื่องปกติ”

ซูจื่อซี “…”

ขอบคุณนะ ปลอบได้ดีมากเลย แต่ครั้งหน้าไม่ต้องปลอบจะดีกว่า

ซูจื่อซีเอนตัวนอนลงอย่างเงียบๆ หันข้างเบือนหน้าเข้ากำแพง ทำท่าทีเหมือนไม่อยากสนใจเธออย่างนั้น

แต่ซู่เป่าตบหลังของเขาอยู่ แต่เขากลับไม่มีการปฏิเสธใดๆ อีก

ซู่เป่าเองก็ไม่คิดอะไรมากมาย เธอนอนคว่ำลงข้างๆ และหาวทีหนึ่ง ชั่ววินาทีเดียวก็ผล็อยหลับไปเลย

ซูจื่อซี “…”

ผล็อยหลับไปทั้งแบบนี้เลยเหรอ

ไม่...ไม่ตบหลังเขาแล้วเหรอ

บางทีช่วงเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนคนเรามักจะอ่อนแอ ซูจื่อซีพลิกตัวอย่างระวัง เม้มปากพลางมองเจ้าเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้า

ใบหน้ากลมป๊อก จมูกสีชมพู ใบหน้าสีชมพูและปากสีชมพู ราวกับไม่ว่าตรงไหนก็เป็นสีชมพูไปหมด อันที่จริงหน้าตาก็น่ารักจริงๆ

ตอนนอนยังเอามือรองเอาไว้ใต้ใบหน้า ท่าทางไม่เป็นพิษเป็นภัย สำหรับเขาดูน่าไว้วางใจเป็นอย่างมาก

ซูจื่อซีบ่นพึมพำเสียงหนึ่ง แต่ก็หลับตาไปเช่นกัน

ซู่เป่าอยู่ข้างกาย เขาไม่เคยมีความสงบในใจมาก่อน พอหลับก็รู้สึกไร้ความกังวล

เช้าวันต่อมา

ซูจื่อซีตื่นขึ้นก่อน สุดท้ายก็เห็นซู่เป่าเบือนหน้านอนหลับอย่างสนิท ปรากฏอยู่ในท่าทางกางแขนกางขา และเท้าน้อยๆ ยังพาดอยู่บนคอของเขาอีกด้วย

เขาขมวดคิ้ว เขี่ยเท้าของเธออย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็ผละเท้าของเธอออก

แต่ไม่นึกว่าซู่เป่าจะไม่มีทีท่าว่าจะถูกทำให้ตื่นเลยแม้แต่น้อย และพาดเท้าขึ้นมาอีก

ซูจื่อซี “…”

เขายกเท้าของเธอออกอีกครั้ง

ซู่เป่าที่กำลังนอนหลับฝันเหมือนจะโกรธ เท้าน้อยๆ ออกแรงแล้วพาดไปบนคอของซูจื่อซีอย่างแรง

ในชั่วครู่ซูจื่อซีรู้สึกราวกับตัวเองถูกช้างเตะเข้าทีหนึ่งอย่างนั้น ดวงตาถลึงออกมา “บ้าเอ้ย...”

ซู่เป่าตื่นขึ้นมาโดยพลัน ปีนขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ขยี้ตาแล้วหาวฟอดหนึ่ง “พี่ พี่เป็นอะไรเหรอ”

ซูจื่อซีถลึงตา “เธอโตมาด้วยการกินลูกตุ้มตาชั่งหรือไง”

ก็แค่เท้าเปล่าทำไมถึงได้หนักขนาดนี้!ซู่เป่าสับสนมึนงง “ไม่ชะหน่อย ฉันโตมาด้วยการกินมังสวิรัติ”

ซูจื่อซี “…”

“ได้ ฉันล่ะยอมเธอจริงๆ”

ดวงตาของซู่เป่าเต็มไปด้วยความมึนงง เธอไม่ได้พูดผิดซะหน่อย ตอนอยู่ที่หนานเฉิงเธอกินเนื้อไม่มากนัก ทุกมื้อถ้าตระกูลหลินมีกับข้าวเหลือละก็ จะให้คุณน้าแม่บ้านห่อกลับไปตลอด

เหลือเพียงผักที่ไม่กินแล้วให้เธอ...

ซู่เป่าลูบหน้า ลุกขึ้นมาแล้วยืดมือบิดขี้เกียจ “ว้าว นอนหลับสบายมาก คุณตาพระอาทิตย์อรุณสวัสดิ์ค่ะ”

ซูจื่อซีรีบจ้ำอ้าวออกไปข้างนอก ใบหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย

จะให้คนอื่นรู้เข้าไม่ได้เด็ดขาดว่าตอนดึกดื่นเที่ยงคืนเขาเกิดกลัวขึ้นมา ฉะนั้นก็เลยเรียกซู่เป่ามา

ไม่อย่างนั้นเขาจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน!

แต่ทว่าขณะนี้เองกลับเห็นนกแก้วหัวเขียวสมควรตายตัวนั้นบินพึ่บพั่บออกมา แหกปากตะโกนเสียงดัง “รีบเข้ามาเร็วเข้า รีบเข้ามาเร็วเข้า คนหายไป คนหายไป!”

ซูอิ๋งเอ๋อร์วิ่งเข้ามาตึงๆๆ เป็นคนแรก พูดโหวกเหวกเสียงดังมากๆ “ซู่เป่าล่ะ ซู่เป่า!”

ซู่เป่าเดินมาเท้าเปล่า มองอย่างงุนงง “หนูอยู่นี่ค่ะ...”

ทุกคนอึ้ง “ทำไมเธอถึงวิ่งไปห้องซูจื่อซีล่ะ”

ซู่เป่าพูดขึ้น “คือหนู...”

สุดท้ายก็เห็นซูจื่อซีหูแดง เม้มปากแล้วเบือนหน้าไป

เธอพูดขึ้นว่า “หนู หนูฝันแล้วเดินละเมอไปน่ะค่ะ...”

ซูจื่อซีพยักหน้า “ใช่ครับเดินละเมอมา”

ทุกคนในตระกูลซู หือ

เสี่ยวอู่บินมาเกาะบนไหล่ของซู่เป่า เอียงศีรษะเล็กน้อย พูดขึ้นแว๊ดๆ ว่า “ตอนที่ฉันยังอยู่ในไข่เคยเจอหมอดูคนหนึ่ง เขาบอกว่าต่อไปฉันจะได้ขึ้นเป็นผู้นำ ตัวฉันจะได้กินหมูเห็ดเป็ดไก่ทุกมื้อ ฉันเชื่อคุณก็บ้าแล้ว! ตาลุงเลวชะมัด!”

ซูจื่อซี “…”

หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ในที่สุดซูจื่อซีก็ยอมรับซู่เป่า เขาเห็นสิ่งสกปรกจริงๆ เพียงแต่เป็นในความฝัน

ซู่เป่าห๊ะขึ้นมาทีหนึ่ง “แค่เห็นรูปก็ฝันถึงแล้วเหรอ”

บนถนน หากเห็นคนที่ตายจากอุบัติเหตุ อย่าไปประสมโรงเด็ดขาด ควรรีบออกไปให้เร็วที่สุด

เพราะหากอยู่นาน ไม่แน่ว่าอาจถูกคนตายเพ่งเล็ง วิญญาณก็จะตามกลับมาบ้านด้วย

ซู่เป่าเคยได้ยินอาจารย์บอกว่า เคยมีคนเห็นคนที่ตายจากอุบัติเหตุบนถนนถูกคลุมด้วยผ้าสีน้ำเงิน

แต่เขามองอยู่หลายครั้งด้วยความสงสัย สุดท้ายลมพัดผ้าสีฟ้าเปิดออก ทันใดนั้นเขาก็เห็นใบหน้าของผู้ตาย

ต่อมาก็ถูกผู้ตายตามมารังควาน...

ซู่เป่าฟังที่ซูจื่อซีเล่าแล้วก็ลูบศีรษะด้วยใบหน้างงงัน

เมื่อวานพี่จื่อซีก็แค่เห็นรูป งั้นคนมากมายที่เห็นรูปนั้นล่ะ...

ทันใดนั้นเสียงของจี้ฉางก็ดังขึ้นมา “ดูรูปก็อาจถูกตามรังควานได้”

ซู่เป่าดีใจ “อาจารย์กลับมาแล้ว!”

ซูจื่อซีขมวดคิ้ว เห็นท่าทางของซู่เป่าราวกับกำลังฟังใครพูดอย่างนั้น จากนั้นเธอก็พูดกับเขาว่า “ดูรูปก็อาจติดเคราะห์ร้ายได้ ยังดีที่เป็นแค่เคราะห์ร้ายไม่ใช่ไอพิฆาต”

ซูจื่อซี “หมดคำพูด”

งั้นคนที่เห็นรูปมากมายขนาดนั้น ทุกคนไม่ซวยกันไปหมดเหรอ

ช่างเป็นคำพูดที่น่าขบขันและไม่มีแหล่งที่มาจริงๆ...

ซูจื่อซีกลอกตาขาว แล้วเดินจากไปเลย

จี้ฉางพูดขึ้นว่า “ซู่เป่า อาจารย์ตามผีร้านตนนั้นอยู่สองวัน ก็ตามไม่เจอ เขาเจ้าเล่ห์เกินไป...”

ซู่เป่าถามขึ้นว่า “เจ้าเล่ห์ขนาดนี้ เป็นผีเจ้าเล่ห์เหรอ”

จี้ฉาง “...เจ้าพูดถูดแล้ว!”

ทันใดนั้นซู่เป่าก็ตื่นเต้นด้วยความดีใจ “หนูเก่งจริงๆ!”

ริมฝีปากของจี้ฉางยกยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ผีเจ้าเล่ห์ตนนั้นไม่ง่ายเลย อย่างน้อยก็ ‘มีชีวิต’ เป็นร้อยปี เขาไม่สิงร่างคนเป็น สิงเพียงร่างผีที่ตายไปแล้ว แบบนี้จะถูกเจอถูกจับยาก”

ซู่เป่าถามขึ้นว่า “สิงร่างวิญญาณ ทำไมไม่กินวิญญาณไปเลยล่ะ”

กินให้อ้วนไปเลย ยิ่งเก่งกาจเข้าไปใหญ่!

จี้ฉางพูดขึ้นว่า “นี่คือส่วนเจ้าเล่ห์ของเขา เขาเลี้ยงผีตายโหงอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็ให้ผีตายโหงไปหาผู้ที่มีดวงชะตาสอดคล้องกัน...”

ซู่เป่าพยักหน้าเข้าใจแล้ว “ก็หมายถึงหาผีรับจ้างทำงานกลุ่มหนึ่งเหรอ”

จี้ฉาง “…”

เจ้าอธิบายเช่นนี้ก็ไม่ผิด

ผีร้ายตนนี้ไม่ได้เจ้าเล่ห์แต่เก่งมาก ที่ลำบากที่สุดก็คือ ตอนนี้ผีร้ายตนนี้กำลังจ้องซู่เป่าอยู่

แม่เจ้า แม้แต่ยมบาลตัวน้อยก็ยังกล้าจับจ้อง!

จี้ฉางเปิดตำรา มองตัวอักษรสีแดงตัวใหญ่บรรทัดใหม่ที่ปรากฏใต้ชื่อของซู่เป่า แล้วในใจก็เริ่มหนักอึ้ง...

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน