ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน นิยาย บท 204

หลังจากซู่เป่าขึ้นรถแล้วออกไป ชายหนุ่มหน้าคล้ำร่างสูงใหญ่บึกบึนคนนั้นก็ตามไปด้วยความเร็ว

คนขับแท็กซี่เถื่อนมองแท็กซี่ที่ไปไกลแล้ว ในปากยังด่าประโยคหนึ่ง “ช่างเป็นเด็กที่น่ารังเกียจจริงๆ ! แกสิเห็นผี ทั้งบ้านแกสิเห็นผี!”

เขาขากถุย ขากเสมหะออกมานอกกระจกรถทีหนึ่ง แล้วรับลูกค้าต่อไป

บนรถ ซู่เป่าหยิบกระเป๋าสะพายใบน้อยของตัวเองออกมา รื้อหากระเป๋าเงินใบหนึ่งออกมา

ในกระเป๋าสตางค์ใส่อั่งเปาไว้ซองหนึ่ง

ซูจื่อซีเชื่อมต่อเกมมานานสองนานแล้วก็ยังเชื่อมไม่ได้ เขาโมโหจนเก็บโทรศัพท์

พอกลอกตาก็เห็นซู่เป่ากำลังนับอั่งเปาอยู่ เขาพูดขึ้นอย่างหมดคำพูด “นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว ยังใช้เงินอยู่อีกเหรอ”

ซู่เป่าสงสัย “พี่ไม่ใช้เงินเหรอ”

ซูจื่อซีพูดขึ้นอย่างหมดความอดทน “ฉันหมายถึงตอนนี้เขาใช้โทรศัพท์จ่ายกันหมดแล้ว ไม่มีใครใช้เงินสดแล้ว”

ซู่เป่าส่ายหน้า “หนูไม่ชอบใช้โทรศัพท์จ่าย หนูชอบใช้เงินสดจ่าย แบบนี้ขาดเงินไปเท่าไรหนูก็เห็นได้ชัด”

กระเป๋าสตางค์แฟบลงเธอก็จะเสียใจ เสียใจก็จะไม่ใช้เงินมั่วซั่ว

จากนั้นเธอก็จะประหยัดเงินได้เยอะ นับวันก็ยิ่งมีเงิน!

ซูจื่อซีเบะปากอย่างไม่แยแส ยื่นมือไปหยิบอั่งเป่ามาและมองอย่างเหยียดหยาม “งั้นเธอก็ไม่จำเป็นถึงขั้นไม่เปิดอั่งเปาหรอกใช่ไหม”

ต่อให้ใช้เงินสดจ่าย ก็ไม่มีมีใครเขาใส่อั่งเปาทั้งซองไว้ในกระเป๋าสตางค์กัน

ซู่เป่าจ้องเขม็งบนอั่งเปาที่อยู่ในมือของซูจื่อซี จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “พี่นี่ไม่เข้าใจอะไรเลย เงินที่ใส่ไว้ในอั่งเปา มันทำเงินได้ แบบนี้นับวันหนูก็ยิ่งมีเงินแล้ว!”

ซูจื่อซีเค้นเสียงหึทีหนึ่ง “ความเชื่องมงายล้าสมัย!”

ซู่เป่ายื่นมือน้อยๆ อันแสนอ่อนนุ่มออกมา จากนั้นหยิบอั่งเปากลับมาและพูดขึ้นว่า “หมดคำพูด พี่นั่นแหละที่ไม่เข้าใจ!”

ซูจื่อซีไม่มีกะจิตกะใจมายื้อยุดกับเธอ ขี้เกียจจะพูดออกมา

ซู่เป่าพาดตัวบนที่นั่งระหว่างที่นั่งคนขับและที่นั่งผู้โดยสาร จ้องมิเตอร์คิดเงินเขม็ง เห็นเพียงแต่บนมิเตอร์โชว์ตัวเลขแปดสิบเก้า...ทันใดนั้นก็กระโดดกลายเป็นเก้าสิบหก

“ถึงแล้ว” คนขับพูดขึ้น

ใบหน้าของซู่เป่าย่นเข้าด้วยกันไปชั่วขณะ เสียใจเป็นอย่างมาก นี่เพิ่งขับออกมาจากข้างหน้านิดเดียว ก็เปลี่ยนจากแปดสิบเก้าเป็นเก้าสิบหกเลยเหรอ

เพิ่มขึ้นมาตั้งเจ็ดหยวน!

แบบนี้เธอเดินสองก้าวก็ได้แล้ว!

ซู่เป่ามองอั่งเปาที่อยู่ในมือ พูดขึ้นด้วยใบหน้าลำบากใจ “คุณลุงคะ คุณลุงถอยหลังไปหน่อยได้ไหมคะ”

คนขับ “ห๊ะ” เสียงหนึ่ง เขาขับเลยเหรอ เปล่านี่!

กำลังพอดีเลย! ตอนเขาจอดรถในกองทัพยังจอดไม่ได้เป๊ะขนาดนั้นมาก่อนเลย

เขารีบพูดขึ้นว่า “ฉันขับเลยเหรอ ถอยหลังไม่ได้แล้ว จะถูกถ่ายภาพเอา”

รถคันนี้ไม่ใช่ของเขา ถ้าเป็นรถของเขาถูกปรับเองก็คงไม่เป็นไร แต่จะให้คนขับที่แท้จริงเขาถูกปรับไม่ได้

ซู่เป่าส่ายหน้า “เปล่าหรอกค่ะ คือหนูไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้น เมื่อกี้แปดสิบเก้ากำลังพอดีแล้ว!”

คนขับ “...”

“ยัยหนู ถอยหลังก็ต้องเก็บค่าบริการเพิ่มนะ”

ซู่เป่างงจนโง่ไปเลย “ห๊ะ”

ทำไมถอยหลังต้องเพิ่มเงินด้วยล่ะ มิเตอร์คิดเงินนี่ช่างไม่รู้จักคุณธรรมในการต่อสู้จริงๆ!

คนขับเห็นท่าทางไร้เดียงสาของเธอ ตัวเล็กๆ แต่ไม่นึกเลยว่าจะรู้จักต่อราคาด้วย

“ช่างเถอะ คิดหนูแปดสิบห้าก็พอ” เขาพูดขึ้นอย่างใจอ่อน

นัยน์ตาของซู่เป่าเป็นประกาย “ขอบคุณค่ะคุณลุง!”

พูดจบก็ควักแบงค์หนึ่งร้อยหยวนสีแด๊งแดงออกมาจากอั่งเปาใบหนึ่ง

คนขับยิ้มมุมปากในทันใด “นี่หนูก็มีเงินไม่ใช่เหรอ”

ซู่เป่ารู้สึกผิดเล็กน้อย พูดขึ้นด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย “คุณพ่อบอกว่า ประหยัดได้หน่อยก็คือหน่อย”

ใบหน้าของคนขับเต็มไปด้วยความสงสัย คนอย่างหัวหน้ามู่ของพวกเขา...เคยพูดแบบนี้ด้วยเหรอ

อีกด้าน มุมปากของมู่กุยฝานที่เห็นภาพอยู่ก็กระตุกเช่นกัน เขาไม่ได้พูดนะ เขาเปล่านะ!

คนขับช่วยซู่เป่าหยิบกระเป๋าลงจากรถ และช่วยเธอยกกรงนกลงมาด้วย จากนั้นมองซูจื่อซีที่พยายามเชื่อมต่อเกมในมือถือที่เดินตามอยู่ด้านหลัง

เขาหันไปทีหนึ่ง จากนั้นยัดคันชักลากกระเป๋าใส่มือของซูจื่อซีและวางกระเป๋าใบเล็กใบน้อยและกรงนกเอาไว้บนคันชักลากกระเป๋า

เมื่อซูจื่อซีเงยหน้าขึ้นมา ก็พบว่าในมือของตนเต็มไปด้วยของกองหนึ่ง

“…”

ขณะนี้เองเขาถึงรู้สึกตัวและนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ซู่เป่าเป็นคนถือกระเป๋าทั้งหมด

ซู่เป่ายื่นมือมาพลางพูดขึ้นว่า “พี่คะ หนูลากเอง หนูมีแรงเยอะ!”

ซู่เป่าไม่คิดว่ามีอะไรเลยสักนิด

ซูจื่อซีปัดมือของเธอออก ใบหน้าน้อยๆ แฝงไปด้วยความเคร่งขรึม “พอเถอะ ให้เธอถือ อีกเดี๋ยวร้องไห้จ๊ากขึ้นมาก็ไปฟ้องคุณปู่กับคุณย่าอีกใช่ไหม”

เขาพูดขึ้นอย่างปากแข็ง จากนั้นลากกระเป๋าไปทางประตูโรงแรมด้วยความเร็ว

ซู่เป่าเดินตามหลังอย่างมีความสุข พูดขึ้นอย่างเจี๊ยวจ๊าว “นี่คือหอพักดอกท้อ! เราจะพักอยู่ที่นี่สองวัน”

ซูจื่อซี “อือ”

หอพักดอกท้อ…ทำไมถึงคุ้นหูนิดหน่อยนะ

ซู่เป่าพูดขึ้นอีกว่า “ก่อนมาหนูให้พ่อจองห้อง 34008 โรงแรมจู้หมิงเอาไว้ เป็นห้องที่มีสองห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่น! อยู่ข้างห้องพี่สาวกระโดดตึกนั่น”

ฝีเท้าอันรวดเร็วของซูจื่อซีหยุดชะงัก “ให้ตายเถอะ! ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ”

ซู่เป่าพูดขึ้นอย่างมึนงง “ไม่งั้นเราจะมากันทำไมล่ะ!”

เดิมมาก็เพื่อจับผียังไงล่ะ!

พอพี่ซูจื่อซีเห็นภาพการตายของพี่สาวคนนั้น ก็ถูกตามรังควานแล้ว

แน่นอนว่าต้องจับพี่สาวคนนั้นให้ได้

ซู่เป่าเห็นสีหน้าของซูจื่อซีราวกับเปลี่ยนเป็นซีดเผือด จึงถามขึ้นว่า “พี่คะ พี่กลัวใช่ไหม”

ซูจื่อซี “ไร้สาระ…”

ซู่เป่า “งั้นก็ไปกันเถอะค่ะ”

ซูจื่อซี “…”

เขาเงยหน้า เห็นเพียงสองตึกสูงที่กำลังก่อสร้างตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ชั้นบนสุดเขียนตัวอักษรตัวใหญ่ว่า

หอพักดอกท้อ

ซู่เป่าเขย่งเท้า ลงทะเบียนที่เคาน์เตอร์เสร็จก็ลากซูจื่อซีเข้าไปในลิฟต์ “ไปกันเถอะ!”

ลิฟต์ขึ้นตรงไปเลย จนถึงชั้นสามสิบสี่

ตึกนี้สูงมากจริงๆ ห้องพักเองก็ทำค่อนข้างหนาแน่น ทางเดินยาวๆ สายหนึ่งแทบจะมองไม่เห็นสุดทาง

ซูจื่อซีมองเพียงแค่ทีเดียว ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกเย็นยะเยือกจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว

ซู่เป่ามองหน้าเหลียวหลัง พูดขึ้นอย่างวิเคราะห์ว่า “ชี่พิฆาตกลางใจยาวเป็นพิเศษ ทางเดินทั้งแคบทั้งยาวเกินไป ง่ายต่อการเลี้ยงผีหลายๆ ตน”

ซูจื่อซี “…”

พูดอธิบายได้ดีมาก แต่ครั้งต่อไปไม่ต้องพูดแล้ว

ดังนั้นไม่ใช่โรงแรมใหญ่ดาวสูงๆ อะไรประเภทนั้น แต่ชั้นนี้ก็ไม่ใช่โรงแรมเสียทั้งหมด แต่เป็นสาธารณสถานที่มีทั้งแบบเช่าระยะสั้นและเช่าระยะยาวอยู่ด้วยกัน บนทางเดินไม่มีพรมปูเอาไว้

พอลากกระเป๋าผ่านไป ทั้งทางเดินก็มีเสียงวื๊ดๆๆ กลับมา แผ่เสียงออกไปทีละชั้นๆ

ทางเดินสองข้าง บางครั้งก็มีประตูห้องเปิดทิ้งเอาไว้ ผู้เช่านั่งตากลมอยู่หน้าประตู เห็นเด็กอย่างพวกเขาสองคนก็กวาดตามองมาอย่างซึมกระทือ

ซูจื่อซีรู้สึกว่าทางเดินเส้นนี้มันช่างช้าและนาน ในที่สุดก็ถึงห้อง 34008 ซู่เป่าหยิบคีย์การ์ดห้องแสกนตื๊ดเปิดประตูห้อง

ประตูถูกเปิดออก สิ่งที่เข้ามาปะทะหน้าคือลมเย็นๆ วูบหนึ่ง ข้างประตูมีเสียงปังดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง ซูจื่อซีขนหัวลุกขึ้นมาโดยพลัน

แต่เสี่ยวอู่ดันแว๊ดขึ้นมาเสียงหนึ่ง พูดขึ้นอย่างเสียงดังว่า “ให้ตายเถอะ เย็นสบายชะมัดยาด”

หัวใจของซูจื่อซีเต้นระรัวจนถึงคอหอยแล้ว

“รีบเข้าไปเถอะ!” เขารีบจะเข้าไปในห้อง แต่ไม่นึกว่าลมจะแรง ประตูปิดดังปังเสียงหนึ่ง

ซู่เป่าเข้าไปแล้ว แต่เขายังไม่ได้เข้าไป

ลมในทางเดินพัดย้อนกลับเสียงดังวู่ ประตูห้องข้างๆ ปิดแน่น แต่ซูจื่อซีรู้มักมีความรู้สึกว่าวินาทีต่อไปมันจะเปิดออก

นี่ยิ่งน่ากลัวกว่าตอนยังไม่ได้เข้าไปในห้องซะอีก!

“ซู่เป่า! เปิดประตู!”

ซูจื่อซีรีบเคาะประตู

ผู้เช่าที่นั่งตากอากาสที่อยู่ไกลๆ ชะโงกหน้าออกมา ตัดเข้ากันกับเสียงลมวู่ๆ ในใจซูจื่อซีก็ยิ่งขนลุกซู่

ในขณะนี้เอง ประตูมีเสียงแก๊กขึ้นมาเสียงหนี่ง ในใจของซูจื่อซีดีใจ รีบเข้าไปทันที

แต่ทว่าเมื่อจับมือจับประตู ในตอนนี้เองถึงพบว่าประตูไม่ได้เปิด!

และหมายความว่า...

เสียงแก๊กเปิดประตูอาจไม่ใช่ห้องของเขา แต่เป็นห้องข้างๆ...

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน