ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน นิยาย บท 43

จี้ฉางยิ้มหยัน ถามอย่างไม่รู้จะพูดยังไงดี “แล้วเจ้าก็รออยู่ตรงนั้นจริง ๆ เช่นนั้นหรือ?”

ซู่เป่าพยักหน้า “ค่ะ”

เธอยืนอยู่บนแผ่นกระเบื้องสี่เหลี่ยมแผ่นนั้นอย่างเชื่อฟัง ไม่ได้ขยับออกไปไหนเลย

แต่สุดท้ายคุณพ่อก็ลืมเธอจริง ๆ...

พูดมาถึงตรงนี้รอยยิ้มบนใบหน้าเล็ก ๆ ของซู่เป่าก็ค่อย ๆ หุบลง ถามเสียงแผ่วเบา “คุณพ่อต้องการเอาซู่เป่าไปทิ้งใช่ไหมคะ?”

ที่จริงเธอเองก็รู้อยู่แล้ว วินาทีที่คุณพ่อหันหลังเดินจากไปโดยไม่หันมอง เธอก็รู้ว่าตัวเองโดนทิ้ง

คุณพ่อไม่ต้องการเธอแล้ว

เธอยืนอยู่กับที่นานมาก รอบตัวมีคนมากมาย แต่เธอไม่รู้จะไปทางไหนดี

จี้ฉางไม่รู้จะพูดยังไงดีแล้ว

หึ... จริง ๆ เลย เจ้าเด็กโง่เอ๋ย

“ทีหลังถ้าใครไม่เอาเราแล้ว เราก็ไม่เอาเขาแล้วเหมือนกันเข้าใจไหม? เสี่ยวซู่เป่าเจ้าจำไว้นะ คนที่ทอดทิ้งเจ้าไม่สมควรได้รับการให้อภัย เขาไม่สิทธิ์ทำให้เจ้าหม่นหมอง”

ซู่เป่าพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ ไม่นานใบหน้าของเธอก็กลับมาเปื้อนยิ้มอีกครั้ง

สีหน้าของเด็กก็เหมือนสภาพอากาศเดือนมิถุนา นึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน

หรืออาจเป็นเพราะว่าตอนนี้ซู่เป่าแข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนแล้ว ตอนนี้เธอมีคุณตาคุณยายกับคุณลุงอีกแปดคนที่รักเธอ ความเจ็บปวดในอดีตพวกนั้นเธอไม่สนใจแล้ว

“ท่านอาจารย์คะ ถ้างั้นท่านช่วยสอนวิชาแพทย์แผนจีนให้หนูหน่อยได้ไหมคะ! ซู่เป่ารู้จักแพทย์แผนจีน แพทย์แผนจีนไม่ถูกจับ แถมยังได้ออกทีวีด้วย”

จี้ฉางอดไม่ได้ต้องเอามือปิดหน้า จะไม่พูดถึงคำว่าถูกจับทุกเรื่องได้ไหมเล่า!

“ออกทีวีที่ไหน?” เขาถามออกไปส่ง ๆ

ซู่เป่าท่องบทเลียนแบบโฆษณาในทีวีออกมาทันที

“ผ่านการคิดพิจารณาอย่างรอบคอบ ข้าตัดสินใจขัดคำสั่งของบรรพบุรุษ เอาตำหรับลับเฉพาะของตระกูลที่ส่งต่อกันมารุ่นต่อรุ่นอุทิศให้...”

“ข้าคือ “ศิษย์หมอเทวดา” เป็นเหลนของหลานของหมอคนดัง มีตำหรับยารักษาทุกโรคที่สืบทอดกันมาจากต้นตระกูล ไม่ว่าโรคอะไรก็รักษาหายได้!”

“ยาของฉันเม็ดนี้ แก้ปวดหัว แก้ปวดฟัน แก้ปวดเอว แก้ปวดเท้า เด็กอาหารไม่ย่อย ท้องเสีย ไม่ยอมทานข้าว คนแก่ไอมีเสมหะ หอบหืด ไตวาย นกเขาไม่ขัน โรคอะไรก็ใช้ได้หมด!”

จี้ฉาง “...”

ซู่เป่าถามขึ้นมาว่า “สุดยอดเลยใช่ไหมล่ะ? ในทีวียังมีฉายอยู่เลย! ว่าแต่ว่าท่านอาจารย์ นกเขาไม่ขันแปลว่าอะไรเหรอคะ?”

จี้ฉางริมฝีปากกระตุก เขาตอบหลอกเด็กไปว่า “นกเขาไม่ขันก็คือนกเขามันไม่ร้องไง”

ซู่เป่าทำหน้าอ๋อขึ้นมาทันที

เธอเข้าใจแล้ว เหมือนที่เขาแข่งนกเขาในทีวีใช่ไหม ที่พานกเขาไปแข่งกันขัน!

“นั่นมันสุดยอดมากเลยนะ” ซู่เป่าทำหน้าชื่นชม

คราวนี้จี้ฉางไม่เพียงแต่มุมปากกระตุก นัยน์ตาของเขาก็กระตุกวูบเหมือนกัน

เจ้าไม่เข้าใจหรอกหนูจ๋า เจ้าจะไปชื่นชมเขาทำอะไร

เขาพูดอย่างไม่รู้จะพูดยังไงดีแล้ว “สุดยอดกับผีสิ เจ้าไม่รู้เหรอว่าคนพวกนั้นถูกจับไปแล้วเหมือนกัน?”

ซู่เป่าอึ้งไป

ห๊ะ?

เรียนอันนี้ก็ถูกจับด้วยเหรอ?

ที่ท่านอาจารย์สอนมีแต่อะไรเพี้ยน ๆ สินะ เรียนอะไรก็ถูกจับไปหมด

แต่ว่าทำเพื่อคุณยาย... เธอได้ประกาศออกไปแล้วนี่นา!

ดูจากอารมณ์ที่แสดงบนใบหน้าละอ่อนของซู่เป่าแล้ว จี้ฉางก็รู้ได้ทันทีว่าเธอคิดอะไรอยู่

เขาล้มเลิกความคิดจะอธิบาย

“แพทย์แผนจีน คือวิชาการแพทย์แผนโบราณของคนหลงเรา...” จี้ฉางเริ่มสอนให้ทันที

ซู่เป่าตั้งใจฟัง จี้ฉางก็พูดอยู่นานสองนาน

สรุปว่าหันกลับมาดูอีกทีก็เห็นว่าซู่เป่าหลับไปแล้ว

“ครอก... ฟี๊...”

จี้ฉาง “...”

แล้วนี่เขาสอนให้ใครฟังล่ะนี่

นายหญิงซูนั่งอยู่ไม่ไกลจากซู่เป่ากำลังนั่งชมวิวสบายอกสบายใจ แล้วหันมามองซู่เป่า

เห็นเจ้าแก้มก้อนคุยกันเจ๊าะแจ๊ะจอแจอยู่กับนกแก้วอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็หลับไป

เธอก็อดเอ็นดูไม่ได้ กระซิบบอกให้คนไปพาซู่เป่าเข้าไปนอนในเต็นท์

ซูอี้เซินแอบย่องมาอย่างเบามือเบาเท้า ถามด้วยความประหลาดใจว่า “หลับแล้วเหรอ?”

เจ้าแก้มก้อนนี่ตลกดีจริงเชียว เมื่อกี้ยังพูดไม่หยุด เผลอแป๊บเดียวหลับเสียแล้ว

นายหญิงซูตอบยิ้ม ๆ “คงเหนื่อยล่ะมั้ง เมื่อกี้วิ่งไปวิ่งมาอยู่”

อีกด้านหนึ่ง หานหานกำลังช่วยกันทำปิ้งย่างกับคุณพ่อซูจื่อหลิน

เธอจ้องมองปีกไก่ย่างอยู่นานมาก ซูจื่อซีเงยหน้าขึ้นมาระหว่างเล่นเกมพอดี จึงแกล้งเยาะว่า “ยังจะกินอีกเหรอ! พวกเราเล่นกันมาตั้งห้าตาแล้วนะ เธอยังกินไม่เสร็จอีกเหรอ”

หานหานพ่นลมจมูก “ไม่ต้องมายุ่ง!”

พอปีกไก่ย่างเสร็จปุ๊ป หานหานก็คว้ามาปั๊ป

ซูจื่อหลินขมวดคิ้ว “ลูกอย่ากินมากนักสิ”

หานหานสะบัดหน้าหนี “ไม่เอา!”

จังหวะสะบัดหน้าหนีก็เห็นซู่เป่าซึ่งกำลังหลับที่โดนซูอี้เซินอุ้มมาพอดี

หานหานอารมณ์เสียขึ้นมาชั่วขณะ นั่งจ้องอาหารย่างเงียบกริบ พอย่างเสร็จหนึ่งอย่างเธอก็จะรีบคว้ามาสองไม้

ไม่รู้ว่าซู่เป่าหลับไปนานขนาดไหน

ตอนที่สะลึมสะลือตื่นมาพระอาทิตย์ก็จวนจะตกดินแล้ว

จู่ ๆ ก็มีอาหารย่างโผล่ขึ้นมาตรงหน้า

หานหานพูดว่า “อ่ะ ให้”

ซู่เป่าเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ แล้วรับมาด้วยความดีใจ

“ขอบคุณนะพี่” เธองับเข้าไปคำหนึ่งพูดจาอู้อี้

หานหานขมวดคิ้ว “ฉันไม่ได้เอามาให้แกโดยเฉพาะหรอกนะ ก็แค่กินไม่หมดเลยเอามาแบ่งเข้าใจไหม!”

ซู่เป่าพยักหน้า “อืม ๆ”

หานหานรีบวิ่งหนีไป ถ้าสังเกตดูให้ดีจะพบว่าที่หานหานอารมณ์เสียก่อนหน้านี้หายเป็นปลิดทิ้งแล้ว อารมณ์ดีมากด้วยซ้ำ

ณ ที่ไกล ๆ บนสนามหญ้า

เสวี่ยเอ๋อร์เอาขาตั้งสำหรับวาดรูปมาตั้งไว้ และกำลังวาดรูปอยู่ตรงนั้น

เธอวาดรูปมาเกือบทั้งวันแล้ว

เธอมองซู่เป่ากับหานหานที่กำลังกินปิ้งย่างกันอย่างสนุกสนานอยู่ไกล ๆ อย่างอิจฉา

ทั้งที่เป็นเด็กเหมือนกันแท้ ๆ แต่ทำไมพวกเขาถึงสนุกสุดเหวี่ยงกันได้ขนาดนั้นนะ

ไม่มีหัวก้าวหน้าเอาเสียเลย...

แม่ของเสวี่ยเอ๋อร์ถือถาดมาใบหนึ่ง บนถาดมีเช็งโป้วเลี้ยงหม้อเล็กอยู่หม้อหนึ่ง

แม่ของเธอบอกว่า “เสวี่ยเอ๋อร์ เอาของไปให้บ้านนู้นกัน”

เสวี่ยเอ๋อร์รีบวางพู่กันลงทันที หน้าตาว่าง่าย “ได้ค่ะ”

ขณะเดินมาจวนจะถึงเขตบ้านตระกูลซู

เสวี่ยเอ๋อร์ก็ทำหน้าสงสัยอย่างไร้เดียงสา “แม่ค่ะ มันคืออะไรเหรอ?”

แม่ของเสวี่ยเอ๋อร์ตอบว่า “เช็งโป้วเลี้ยง”

เสวี่ยเอ๋อร์เบิกตากว้าง ทำหน้างง “เช็งโป้วเลี้ยงง เป็นของที่กินแล้วผ่ายลมเบา ๆ ก็จะเย็นเหรอคะ?”

แม่ของเสวี่ยเอ๋อร์หัวเราะ คิดว่าลูกสาวตัวเองช่างไร้เดียงสาน่ารักเสียจริง

ซูจื่อซีขำพรวดออกมาทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เงยหน้า “จะเสแสร้งไปถึงไหน น่ารังเกียจชะมัด”

เขาพูดไม่ดัง แต่เสวี่ยเอ๋อร์ได้ยิน

เธอรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา... เธอ... เธอไม่ได้เสแสร้งสักหน่อย...เธอไม่ได้เสแสร้งสักหน่อย.....

“แม่คะ...”

แม่ของเสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้ตอบเธอ แต่กุลีกุจอพูดกับคนตระกูลซูอย่างกระตือรือร้น “คุณท่านซู สวัสดีค่ะ ฉันเพิ่งเคี่่ยวเช็งโป้วเลี้ยงมา เอาหม้อไปแช่น้ำในทะเลสาปมา อุ่นกำลังดี เลยเอามาแบ่งน่ะค่ะ”

นายท่านซูตอบเสียงเรียบ “ขอบใจนะ แต่พวกเราก็ทำของหวานไว้แล้วเหมือนกัน”

แม่ของเสวี่ยเอ๋อร์พูดยิ้ม ๆ “ฉันเห็นว่าพวกเด็ก ๆ กินปิ้งย่างกันไปเยอะ เดี๋ยวคืนนี้ต้องคอแห้งแน่เลยค่ะ ยังไงก็น่าจะกินสักหน่อยนะคะ”

พูดจบเธอก็หันมาหาเสวี่ยเอ๋อร์ “เสวี่ยเอ๋อร์ ตักไปให้น้องซู่เป่ากับน้องหานหานหน่อยสิลูก”

เสวี่ยเอ๋อร์ตอบรับเสียงใส ตักเช็งโป้วเลี้ยงใส่ชามสองชาม พลางพูดด้วยท่าทางราวอาเจ๊ว่า “เจ๊ตักให้แล้ว””

เป็นเด็กที่ช่าง ‘รู้ประสา’ เสียจริง

นายหญิงซูที่มองอยู่ อดไม่ได้ต้องเหลือกตาใส่

ให้ตายสิโดนแม่เจ้าเล่ห์อบรบสั่งสอนทุกวัน ๆ สอนลูกออกมาได้แบบนี้

“คุณนายหลาน น้ำใจเราได้รับแล้วครับ แต่พี่สามของบ้านเราก็ทำของหวานไว้แล้วเหมือนกัน คงไม่ต้องรบกวนพวกคุณหรอก”

แม่ของเสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้รู้สึกเสียหน้าแต่อย่างใด พูดพลางหัวเราะ “ไม่เป็นไรค่ะ ๆ ไหน ๆ ก็เอามาแล้ว งั้นฉันวางไว้นี่แล้วกัน ถ้าพวกคุณอยากกินก็จะได้กิน”

ในขณะที่ผู้ใหญ่กำลังพูดกัน เสวี่ยเอ๋อร์ก็ถือชามเช็งโป้วเลี้ยงไปหาซู่เป่าที่กำลังกินปิ้งย่างจุบจับอยู่

“เอานี่ ซู่เป่า” เสวี่ยเอ๋อร์ยิ้มหวาน

ซู่เป่าหยุดกิน ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่เอา”

พูดจบก็เอากระดาษเช็ดปาก ผุดลุกขึ้นเตรียมตัวจะไปหาพวกผู้ใหญ่

แต่ปรากฏว่าได้ยินเสียงเสวี่ยเอ๋อร์ร้องโอ๊ยทีหนึ่ง แล้วก็ล้มลงกับพื้น ชามเช็งโป้วเลี้ยงในมือก็หกใส่ตัวเอง

ซู่เป่าตกตะลึงไป

คนที่เหลือได้ยินเสียงจึงตามมา

เสวี่ยเอ๋อร์ตาแดง พูดเคือง ๆ “น้องซู่เป่า ทำไมต้องผลักพี่ด้วย...”

ซู่เป่า “?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน