นายหญิงซูโพกผ้ากันเปื้อน เดินออกมาจากในห้องครัว ขมวดคิ้วพร้อมถาม “ทำไมต้องอุ้มลูกหนีด้วย?”
นายหญิงจ้องไปทางซูอีเฉิน “ให้ซู่เป่าดูเรื่องไร้สาระอะไรอีกแล้ว”
ซูอีเฉิน “……”
เขาเหล่มองไปทางซูเหอเวิ่นทีหนึ่ง “ผมไม่ได้เป็นคนพูดนะครับ”
ซูเหอเวิ่นชะงัก
ดีเลย นี่พ่อเขาจะให้เขารับความผิดงั้นเหรอ
แม้เขาจะเป็นคนพูดก็จริง แต่ว่า เขาไม่ได้เป็นคนเล่าเรื่องน้ำเน่าพวกนั้นให้ซู่เป่าฟังนี่นา
สายตาอันตรายของคุณยายมองมา ซูเหอเวิ่นยกมือขึ้นในทันที “คุณยาย ผมไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น! อะ-อาเนี่ยต่างหากที่เปิดฟังนิยายบนรถ ผมก็แค่ฟังชื่อนิยายไป!”
อาเนี่ย “……?”
ซูเหอเวิ่นมองมาทางเขาด้วยสีหน้าขอความช่วยเหลือ
ข่วยไม่ได้ หากเขาบอกว่าพ่อเขาเป็นคนเปิดฟังนิยายล่ะก็ คุณยายไม่เชื่อแน่!
จึงทำได้เพียงต้องลำบากอาเนี่ยแล้ว
มุมปากอาเนี่ยกระตุก จากนั้นพูดขึ้นนิ่งๆ “นายหญิง ผมเป็นคนฟังเองครับ หลังจากนี้ผมจะใส่ใจเรื่องนี้มากขึ้นครับ”
นายหญิงกล่าวบ่น “แกก็อายุสี่สิบจะห้าสิบแล้ว ผู้ชายวัยกลาง กลับยังอ่านนิยายมุมมองผู้หญิงอีก”
นิยายรักพวกนี้ นายหญิงย่อมคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
นิยายทุกเล่มที่อวี้เอ๋อร์เคยอ่านเมื่อตอนที่เธอไม่สบาย นายหญิงต่างเคยแอบอ่านมาก่อน……
อาเนี่ยหัวเราะซื่อๆ พร้อมกล่าว “เมื่อก่อนฟังจนเป็นนิสัย ตอนนี้เลยรู้สึกว่ามันก็สนุกดีน่ะครับ”
แววตาของนายหญิงมืดหม่นลง จริงด้วย ช่วงที่อวี้เอ๋อร์ป่วยหนักที่สุดแค่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านนิยายที่เธอชอบที่สุดะเธอยังทำไม่ได้
แต่เธอจะเปิดฟังเอา
พวกเราทุกคนต่างก็เริ่มรู้สึกชิน
นายหญิงซูไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่เรียกทุกคนมากินข้าว
“ซู่เป่าเด็กดี รีบไปล้างมือแล้วมากินข้าว วันนี้อากาศเริ่มเย็นแล้ว พวกเรากินหม้อไฟกัน”
“ซูจื่อซีนอนในโรงพยาบาลนานขนาดนั้น ก็คงเบื่ออาหารจืดๆ…ยายทำขาหมูตุ๋นซอสไว้ให้”
ซูจื่อซีอื้มทีหนึ่ง จากนั้นวิ่งไปล้างมืออย่างเชื่อฟัง
เขาไม่เคยคิดมาก่อน ว่าความรู้สึกเวลากลับบ้านมันดีขนาดนี้
ซูจื่อซีกินข้าวไปด้วย พร้อมคิดเรื่องที่ตนเคยไปวังยมบาลมาด้วย
ช่วงเวลาที่เขานอนโรงพยาบาล เขาเองก็ไม่ได้นอนว่างๆ
เขาสืบหาเอกสารไปหลายอย่าง หนำซ้ำยังออกแบบแผนที่เวอร์ชั่นพัฒนาให้น้องสาวอีกด้วย
ในฐานะที่เป็นราชาแห่งผี…เขาจะต้องเหมาะสมกับชื่อเสียงที่ได้รับ เริ่มฝึกฝนตั้งแต่เล็กๆ!
ซูจื่อซีตั้งใจคิดมากเกินไป จึงไม่ได้ยินที่นายหญิงพูดกับเขา
นายหญิงซูมองซูจื่อซีด้วยสีหน้ากังวล
เธอพูดกับเขาไปนานขนาดนี้ เขากลับยังคงเหมือนเมื่อก่อน ไร้ซึ่งสีหน้าและเอาแต่กินข้าว
เด็กคนนี้ ขนาดทำการผ่าตัดแล้วนะ
ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐบาลหรือโรงพยาบาลเอกชน ต่างก็บอกว่าเขาฟื้นฟูได้ดีมาก ในสมองไม่มีเลือดคั่งกดทับแล้ว
แต่ทำไมยังตอบสนองช้าเหมือนเดิมเลย
เวลานี้เองซูจื่อซีเงยหน้า “ขาหมูตุ๋นได้เปื่อยมากเลย!”
นี่เป็นคำถามที่นายหญิงซูถามเขาเมื่อห้านาทีที่แล้ว
นายหญิงซู “……”
จบเห่แล้ว ยังไม่หายดีจริงด้วย!
เวลาการตอบสนองยังคงยาวเช่นเคย!
ซูเหอเวิ่นอุทาน “การตอบสนองแบบนี้ พี่รองยังอยู่นอกอวกาศไม่ได้กลับมาใช่ไหม!”
เหมือนว่า…เวลาการตอบสนองของเขาก่อนหน้านี่อยู่ที่ดาวอังคาร แต่ตอนนี้ในที่สุดก็อยู่ที่ชั้นบรรยากาศแล้ว
เวลาการตอบสนองเมื่อก่อนต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้านาที…
ซูเหอเวิ่นส่ายหน้า “ช่วยไม่ได้แล้ว เป็นตั้งแต่เกิดน่ะ”
ซูจื่อซียังคงคิดเรื่องตัวตนของซู่เป่าต่อ เขาไม่แน่ใจ ว่าน้องสาวของเขาเป็นยมบาลจริงหรือเปล่า
ในตำนานพื้นบ้านที่เกี่ยวกับเทพ ยมบาลส่วนมากจะเป็นผู้ชาย
ไม่ใช่ว่าจะไม่มีผู้หญิงเลย แต่เขาลองตั้งใจไปหาข้อมูลแล้ว ก่อนหน้านี้สังคมศักดินาดูถูกผู้หญิง ดังนั้นเวลาที่พวกเขาแต่งนิทานหรือเรื่องเล่า หากพบว่ามียมบาลผู้หญิง พวกเขาคิดผู้หญิงจะเป็นราชาได้อย่างไร ดังนั้นพวกเขาจึงแก้ยมบาลจากเพศหญิงเป็นเพศชาย
ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงๆ…น้องสาวเขาก็เป็นยมบาลตัวจริงงั้นเหรอ?
หลังกินข้าวครึ่งถ้วยที่เหลือหมด ซูเหอเวิ่นก็ยังไม่ได้ข้อสรุป จึงทำได้เพียงตอบคำถามเมื่อครู่ของซูเหอเวิ่น “ไม่ใช่สักหน่อย”
ทุกคน “……”
ยังจะบอกว่าไม่ใช่อีก
เขากินข้าวอีกครึ่งถ้วยที่เหลือจนหมดจึงขึ้นไปทำงาน
ข้าวสารในปากของเสี่ยวอู่หล่นลงมา “ช่วยไม่ได้แล้ว! ช่วยไม่ได้แล้ว!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน