ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน นิยาย บท 45

นายหญิงซูพูดอย่างเด็ดขาดว่า “ซู่เป่า เรากลับกันได้แล้ว”

ซู่เป่าได้ยินว่าผี เธอไม่กลัวเลยสักนิด

ผีก็ดีสิ ท่านอาจารย์ชอบผีที่สุด

เห็นว่าจี้ฉางลอยไปข้างหน้า ซู่เป่าก็สาวเท้าตามไปทันทีพลางพูดว่า “คุณยายอย่าซนนะคะ รอซู่เป่าอยู่ตรงนี้นะ”

นายหญิงซูเห็นแบบนั้นก็คิดว่าแย่แล้ว

“ซู่เป่า!” ท่านรีบตามไปพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาซูอีเฉิน

พอผ่านเขตพุ่มไม้ไปพลันรู้สึกว่าท้องฟ้ามืดมิดขึ้นมาทันใด

เมื่อกี้นายหญิงซูยังเห็นซู่เป่าอยู่ข้างหน้าอยู่เลย แค่พริบตาเดียวก็หายไปแล้ว

ในป่าว่างเปล่ามีแต่ท่านคนเดียว นกอะไรก็ไม่รู้บินผ่านไปเสียงดังขวับ ทำเอานายหญิงซูตกใจแทบร้องไห้

“ซู่เป่า ๆ!”

นายหญิงซูตะโกนเรียก

จู่ ๆ ก็มีเสียงดังสวบสาบมาจากหลังพุ่มไม้ ท่านมองตามไปอย่างหวาด ๆ กลับเห็นว่าเป็นซู่เป่ากำลังฮึบแบก ‘ผีน้อย’ ออกมา

ผีน้อยตนนั้นมีเลือดเต็มตัว มือที่ห้อยต่องแต่งเป็นสีดำ

เสื้อผ้าเปียกโชก ผมลงมาปรกหน้า

ซู่เป่าแบกเขาออกมาแทบไม่ต้องเปลืองแรง ดังนั้นภาพที่นายหญิงซูเห็นก็คือ ‘ผีน้อย’ ตนนั้นซ้อนทับอยู่บนหลังของซู่เป่าแบบลอย ๆ...

ในสมองของนายหญิงซูก็คิดถึงคำนึงขึ้นมาทันทีนั้นก็คือ ‘ผีขี่หลัง’

“ซู่เป่า...” นายหญิงซูเอามือทาบอก เสียงสั่น

ซู่เป่าเงยหน้าขึ้นมากระทันหัน ถึงได้เห็นว่านายหญิงซูตามเข้ามาด้วย แถมยังทำสีหน้าตกใจมากด้วย

เธอจึงรีบเอา ‘ผีน้อย’ ที่แบกอยู่บนหลังโยนทิ้ง ตึก... ‘ผีน้อย’ ร่วงลงไปกองกับพื้นส่งเสียงดังก้อง...

แต่ซู่เป่าไม่ได้สนใจ รีบวิ่งมากอดนายหญิงซูไว้

นายหญิงซูคิดว่าเธอกลัวเลยทำท่าจะปลอบ แต่กลับได้ยินซู่เป่าส่งเสียงกล่อมขึ้นมา

“โอ๋ ๆ คุณยายไม่ดื้อนะคะ คุณยายไม่ต้องกลัวนะคะ ไม่ต้องกลัว”

“ซู่เป่าอยู่นี่แล้ว”

นายหญิงซู “...”

ตอนแรกก็ไม่รู้สึกอะไร แต่โดนซู่เป่ามาทำแบบนี้ท่านก็ตาแดงขึ้นมา

“ซู่เป่าอย่าทิ้งยายสิ” นายหญิงซูกอดซู่เป่าพูดเสียงคลุมเครือ

ฮือ ๆ คนแก่ล่ะกลัวจริง ๆ กลัวว่าซู่เป่าจะเป็นอะไรไป

ซู่เป่าเองก็รู้สึกผิด จึงตบนายหญิงซูเบา ๆ “ซู่เป่าไม่ดีเอง ขอโทษนะคะคุณยาย...”

เธอรับปากคุณแม่ไว้แล้วว่าจะดูแลคุณยายดี ๆ แต่เมื่อกี้กลับทิ้งคุณยายไว้คนเดียว

ฮือ ๆ ซู่เป่าเป็นเด็กไม่ดี ไม่มีความรับผิดชอบ

ซูอีเฉินตามมาถึงอย่างรวดเร็ว มาถึงก็เห็นสองยายหลานกอดกันกลม ทั้งคนแก่ทั้งเด็กกอดกันร้องไห้

“...”

“เกิดอะไรขึ้น?” เขารีบเดินเข้าไป บังเอิญเห็น ‘ผีน้อย’ ที่อยู่ไม่ไกล จึงรีบเอาตัวไปบังนายหญิงซูกับซู่เป่าไว้

สมาชิกตระกูลซูคนอื่นที่กำลังตามมาข้างหลังก็มาถึงพอดี

นกแก้วเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใกล้ ๆ กันกระพือปีกพึ่บพั่บพลางส่งเสียงร้อง “โย่ว ๆ มีผีน้อย ๆ ชิกกิ้ดาว”

ซูอีเฉิน “...”

เขาหรี่ตาเดินไปข้างหน้า ใช้ปลายเท้าเขี่ยผีน้อยที่นอนอยู่บนพื้น เอาเขาพลิกให้หงายหน้าขึ้นมา

ก็พบว่าไม่ใช่ผีเผอที่ไหนแต่เป็นเด็กเล็กคนหนึ่ง

“เป็นเด็กผู้ชายคนนึง” ซูอีเฉินร้องบอก “ไม่ต้องกลัว”

นายหญิงซูจับมือซู่เป่าไว้พลางถามว่า “เด็กผู้ชายเหรอ ตายหรือยัง?”

ซู่เป่าส่ายหน้า “ยังไม่ตายค่ะ”

เมื่อกี้เเธอก็คิดว่ามีผีจริง ๆ ซะอีก แต่พอวิ่งไปดูก็เห็นว่าเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง

ท่านอาจารย์บอกว่าช่วยชีวิตคนหนึ่งชีวิตบุญหนักกว่าสร้างวิหารเจ็ดชั้น เธอเลยแบกเขาออกมา ไม่คิดว่าจะทำให้คุณยายตกใจ

ซูอีเฉินนั่งลงยอง ๆ จับชีพจรของเด็กคนนั้นบอกว่า “ยังไม่ตายจริง ๆ”

ซูอิ๋งเอ่อร์ขมวดคิ้ว “ในป่าแบบนี้มีเด็กโผล่มาได้ไง”

พี่น้องตระกูลซูพิจารณาเด็กที่นอนอยู่บนพื้น ในเมื่อยังไม่ตายงั้นก็ต้องช่วยเขาไว้

ซูอี้เซินเข้าไปตรวจสอบลมหายใจและชีพจรของเขา ซูอิ๋งเอ่อร์โทรหา 110 กับ 120 (110สายด่วนตำรวจ 120เรียกรถพยาบาล)

จี้ฉางลอยไปลอยมาอยู่ข้าง ๆ เขาดีใจมาก

“ดูสิ เมื่อตอนสายเพิ่งจะสอนวิชาแพทย์แผนจีนให้เจ้า ตอนนี้ก็มีตัวอย่างจริงมาให้ดูแล้ว” เขาพูด “สามจิตเจ็ดวิญญาณ ตอนนี้หายไปหนึ่งจิต กรณีแบบนี้พบได้บ่อย เดี๋ยวอาจารณ์จะสอนเจ้าว่าจะช่วยเขายังไง”

ซู่เป่าพยักหน้า “เจ้าค่ะ ช่วยคนหนึ่งชีวิตบุญหนักกว่าสร้างวิหารโจษจัน”

จี้ฉางกระตุกมุมปาก

วิหารเจ็ดชั้นต่างหากเล่า ไม่ใช่วิหารโจษจัน

แต่เพราะเห็นว่าหน้าตาสงสัยงงงวยของเจ้าแก้มก้อนน่าขันดี จี้ฉางจึงจงใจไม่แก้ให้ถูก

นายหญิงซูที่ช่วยอะไรเขาไม่ได้ก็อยู่ตรงนั้น “ห๊ะ... อะไรนะ อะไรโจษจัน?”

ซู่เป่าเองก็ไม่เข้าใจ

ตอนอยู่บ้านตระกูลหลินเธอไม่เคยได้ยินอะไรทำนองเดียวกับ ‘ช่วยคนหนึ่งชีวิตบุญหนักกว่าสร้างวิหารเจ็ดชั้นเลย’

ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าช่วยคนหนึ่งชีวิตบุญหนักกว่าสร้างวิหารเจ็ดชั้นหมายถึงอะไร

“คุณยายคะ บุญหนักแปลว่าอะไรคะ?”

นายหญิงซูโดนถามเสียเกือบจะไปไม่เป็น ท่านส่งเสียงเอิ่มก่อนจะตอบ “ก็คือ ‘ได้บุญมากกว่า’ ดีกว่า ได้กุศลมากกว่าไงจ๊ะ”

คำศัพท์เฉพาะทางศาสนาพุทธอธิบายยากอยู่เหมือนกัน...

แต่ซู่เป่ากลับเข้าใจ อ๋อแล้วถามต่อ “งั้นวิหารโจษจันแปลว่าอะไรคะ?”

ทำไมการช่วยชีวิตคนถึงได้บุญมากกว่าสร้างวิหารโจษจันล่ะ?

นายหญิงซูอดขำไม่ไหว ท่านบอกว่า “วิหารเจ็ดชั้นต่างหากเล่า ไม่ใช่วิหารโจษจัน”

เสี่ยวซู่เป่าก็พูดตามทันที “วิหารเจ็ดชั้น”

นายหญิงซูก็ตั้งใจสอน

เสี่ยวซู่เป่าก็ตั้งใจฟัง

สุดท้ายเจ้าตัวเล็กก็เข้าใจแล้วว่ามันคือวิหารเจ็ดชั้น ไม่ใช่วิหารโจษจัน ก็เลยหันกลับมาเหลือกตาใส่จี้ฉาง

เห็นอาจารย์กำลังกลั้นขำอยู่เธอก็รู้ทันที่ว่าอาจารย์จงใจแกล้ง

เชอะ ท่านอาจารย์เป็นคนไม่ดี

ตอนนี้เองซูอี้เซินก็พูดขึ้นมาว่า “เอาล่ะ เราพาเขากลับไปก่อนแล้วกัน”

ซู่เป่ารีบถามทันที “พี่เขารอดหรือยังคะ?”

ซูอี้เซินอุ้มเด็กผู้ชายคนนั้นขึ้นมาพลางบอกว่า “ยังสลบอยู่ แต่ว่าลมหายใจกลับมาปกติแล้ว”

ทุกคนเดินกลับไปทางเต็นท์กับเป็นขบวน รอให้รถพยาบาลมา ในป่าในเขาแบบนี้ต่อให้ซูอี้เซินจะมีวิชาการแพทย์เก่งกาจแค่ไหนก็ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าเด็กชายมีบาดแผลภายในหรือเปล่า

ฟ้ากำลังจะมืดแล้ว คนบ้านเสวี่ยเอ๋อร์เห็นคนบ้านซูส่องไฟฉายอุ้มอะไรมาก็ไม่รู้ ก็รู้สึกแปลกใจ

“นั่นอะไรน่ะ...” แม่เสวี่ยเอ๋อร์พึมพำ

พ่อของเสวี่ยเอ๋อร์บอกว่า “เหมือนจะเป็นเด็กนะ”

แม่ของเสวี่ยเอ๋อร์ส่งเสียงแปลกใจ ในแสงยามโพล้เพล้แบบนี้พวกเขาไม่เห็นซู่เป่าที่นั่งมาบนรถเข็นกับนายหญิงซู เลยถามว่า “คงไม่ใช่ว่าซู่เป่าเป็นอะไรหรอกนะ?”

ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ... งั้นก็ถือว่ากรรมตามสนอง

แม่ของเสวี่ยเอ๋อร์สายตาเปลี่ยนไปบอกว่า “ฉันจะไปดูหน่อย”

พ่อของเสวี่ยเอ๋อร์ห้ามเธอไว้บอกว่า “ยังก่อเรื่องไว้ไม่พอใช่ไหม? ผมไปเอง คุณกับลูกรออยู่นี่แหละ”

ถ้าหลานเทวดาที่คนตระกูลซูช่วยกันโอ๋ทั้งบ้านเป็นอะไรขึ้นมาจริง ๆ ล่ะก็ ไม่ว่ายังไงเขาก็ควรจะไปดูสักหน่อย

พ่อของเสวี่ยเอ๋อร์ออกไปแล้ว

เสวี่ยเอ๋อร์ยืดคอยาว ขนาดแม่ของเสวี่ยเอ๋อร์ยังมองไม่เห็น ตัวเธอก็ยิ่งมองไม่เห็นเข้าไปอีก แต่พอคิดว่าซู่เป่าอาจจะมีอันเป็นไป เธอก็อดดีใจไม่ได้

แต่ก็ยังแสร้งทำสีหน้าห่วงใย “หม่ามี๊ ซู่เป่าจะไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”

แม่ของเสวี่ยเอ๋อร์ตอบว่า “น่าจะไม่เป็นไรนะ...”

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่กว่าพ่อของเสวี่ยเอ๋อร์จะกลับมาอย่างรีบร้อน

เขาพูดค่อย ๆ “ไม่ใช่ซู่เป่า เป็นเด็กผู้ชายอีกคน เด็กคนนั้นใส่เสื้อของ Sdnchv”

แม่ของเสวี่ยเอ๋อร์อึ้งไป “เสื้อของ Sdnchv เหรอ? เด็กคนนั้นคงไม่ใช่... ลูกหลานตระกูลซือหรอกนะ...”

หลายปีมานี้ Sdnchv ไม่ทำเสื้อผ้าให้ใครแล้ว ทำให้แต่คนตระกูลใหญ่โตเท่านั้น

พวกเขาบริการเฉพาะลูกค้าต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ในประเทศก็มีแค่ ตระกูลซู ตระกูลซือกับตระกูลมู่

เด็กตระกูลซูก็อยู่ที่นี่กันหมด ตระกูลมู่ไม่มีเด็ก งั้นเด็กคนนั้นก็ต้องเป็นเด็กตระกูลซือเท่านั้น...

สองสามีภรรยามองตากัน สายตาทั้งคู่ฉายแววตื่นเต้น

คุณชายน้อยตระกูลซือถูกลักพาตัว ถ้าพวกเขาโทรไปบอกทางตระกูลซือก่อนว่าเขาเจอคุณชายน้อยตระกูลซือแล้ว...

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน