หนุ่มน้อยถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัด
สีหน้าเขาดำคล้ำและแก้มก็ตอบลงมาก ดูไปแล้วไม่เหมือนกับเป็นเด็กอายุหกเจ็ดขวบเลย
เวินหรูอวิ๋นพูดอย่างสะอื้นว่า “อี้หรัน แม่จะพาหนูกลับบ้านนะ”
รักษาไม่ได้ก็ไม่ต้องรักษาแล้ว คิดๆดูเด็กตัวเล็กขนาดนี้ ทั้งร่างกายมีแต่สายยางเสียบอยู่มากมาย
นอนตัวคนเดียวอยู่ในห้องฉุกเฉินอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
ช่างทรมานเหลือเกิน
แล้วรถของซือเย่ก็ขับออกมาและเลี้ยวกลับเพื่อมุ่งตรงไปที่บ้านของตระกลูซู
เวินหรูอวิ๋นอุ้มซืออี้หรันไว้ด้วยใบหน้าที่โศกเศร้า จึงไม่ได้สนใจมองดูว่ารถยนต์นั้นขับไปที่ไหน
จนเมื่อมีคนโทรศัพท์เข้ามา ซือเย่ก็เลื่อนหน้าจอรับสาย แล้วจึงได้ยินเสียงพูดของนายหญิงตระกูลซือที่ฟังดูกระวนกระวายใจอย่างมาก
“อาเย่ แกพาอี้หรันไปที่ไหน?!”
ซือเย่พูดอย่างใจเย็นว่า “คุณหมอบอกว่าไม่มีทางรักษาอี้หรันได้แล้ว ผมจึงพาเขามาที่บ้านตระกูลซู”
เขาได้บอกเล่าประโยคที่ซู่เป่าพูดเอาไว้ทั้งหมด
นายหญิงตระกลูซือหรือคุณย่าของอี้หรัน เป็นคนแก่ที่มีความเชื่องมงายมาก
แม้แต่เวลาจะกินข้าวก็ยังต้องดูฤกษ์ดูยามเสียก่อน
เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของซือเย่ก็ยิ่งโมโหมากขึ้น “แกไปหายัยหนูน้อยจะสามารถช่วยอะไรได้?
เด็กขนาดนั้นจะไปรู้เรื่องได้ไง?ฉันจะตามไต้ซือมาเอง รีบพาอี้หรันกลับมาเดี๋ยวนี้!”
ซือเย่ขมวดคิ้วอย่างโมโห เพราะนายหญิงเคยตามไต้ซือมาหลายคนแล้วสุดท้ายก็ล้วนเจอแต่พวกนักต้มตุ๋น
ซือเย่พูดตอบกลับไปว่า “ไม่จำเป็น”
นายหญิงพูดจาเสียงดังจนเวินหรูอวิ๋นที่อยู่ข้างๆก็ได้ยินทุกคำ
“อะไรคือไม่จำเป็น!ฉันสั่งให้แกกลับมาได้ยินหรือเปล่า!รอบนี้ฉันตามอวิ๋นไต้ซือมา อวิ๋นไต้ซือเป็นใครแกรู้จักไหม?คนอื่นไปขอร้องถึงบ้านท่านยังไม่ออกมาพบหน้าเลย อวิ๋นไต้ซือบำเพ็ญสมถะจนบรรลุเป็นเซียนแล้วเจ้าเข้าใจหรือเปล่า!…แม้แต่อวิ๋นไต้ซือเจ้ายังไม่นับถือ แต่กลับไปนับถือยัยหนูน้อยเหรอ!”
ซือเย่พูดอย่างเย็นชาว่า “แค่นี้แหละ”
พูดจบก็วางสายลงทันที
เวินหรูอวิ๋นอุ้มซืออี้หรันไว้พร้อมกับเอ่ยปากถามขึ้นว่า “พวกเราไปหาซู่เป่า?”
แก้วตาดวงใจของตระกูลซูที่เพิ่งกลับมาไม่นาน เธอก็เคยได้ยินมาบ้าง
ซือเย่ถามเธอว่า “คุณเชื่อยัยหนูน้อยนั่นไหม?”
ถ้าบอกว่าไม่เชื่อ...เขาก็ต้องเลี้ยวรถพาอี้หรันกลับไปที่บ้าน
ซึ่งเธอไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น เวินหรูอวิ๋นจึงพูดตอบอย่างมั่นใจว่า “ฉันเชื่อ!”
เป็นเพราะว่ายัยหนูน้อยเคยแบกอี้หรันกลับมา
หรือเป็นเพราะว่าเมื่อวานก่อนที่อี้หรันจะป่วยหนัก ซู่เป่าเคยบอกไว้ว่าให้กลับไปหาเธออีกครั้ง
**
อีกด้านหนึ่ง เมื่อวางสายโทรศัพท์ลงนายหญิงตระกูลก็โมโหจนเลือดขึ้นหน้า
“อวิ๋นไต้ซือ ท่านดูสิ...คงต้องเชิญท่านไปที่บ้านตระกูลซูกับดิฉันหน่อยได้ไหมคะ?”
ข้างกายนายหญิงซือ มีนักพรตรูปหนึ่งกำลังหลับตาภาวนาซึ่งมีขนคิ้วแต่หนวดเครายืดยาว
เมื่อได้ยินแล้ว เขาก็พูดตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “นักพรตอย่างอาตมาตามหลักแล้วไม่ควรเข้าบ้านของฆราวาส ที่อาตมามาที่นี่ก็ถือว่าได้ฝ่าฝืนกฎไปแล้ว...
นายหญิงซือพยักหน้าอย่างศรัทธา “ใช่คะใช่คะ เพราะลูกอกตัญญูของดิฉันคนเดียว!
ที่ดื้อรันจะไปหายัยเด็กน้อยนั่น!”
เธอได้บอกกล่าวเรื่องที่ซือเย่เล่าอย่างสุดจะทน และได้เอ่ยถึงเรื่องที่จะซ่อมแซมวัดให้อวิ๋นไต้ซือเพื่อเป็นการสร้างบุญกุศล...
อวิ๋นไต้ซือจึงได้พูดขึ้นว่า “ก็ได้ สีกาและอาตมาก็ถือว่ามีบุญวาสนาต่อกัน อาตมาจะไปกับสีกาสักครั้ง
เพื่อจะได้ไปเห็นหน้าค่าตาของเจ้าเด็กเมื่อวานซืนที่ช่างใจกล้าพูดจาเหลวไหลนั้นด้วย!”
นายหญิงตระกูลซือรู้สึกขอบคุณอวิ๋นไต้ซืออย่างสุดซึ้ง แล้วก็ได้เดินทางไปที่บ้านตระกูลซู
**
เมื่อซู่เป่าทานข้าวเช้าเสร็จแล้ว ก็มองออกไปนอกประตูบ้านอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“อาจารย์ พี่ชายคนนั้นจะเป็นอะไรไหมคะ?”
ความฝันในเมื่อเช้าทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ‘เด็ก’ในความฝันที่อยู่นิ่งๆไม่พูดไม่จา
ได้แต่จ้องมองเธออย่างเดียว
ซู่เป่ากำลังคิดอยู่ว่า ถ้า‘เด็ก’คนนั้นตายไปแล้วจริงๆ คงจะต้องกลายเป็นผีคอยจ้องมองเธออยู่ในความฝันทุกวันแน่…
จี้ฉางนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆพร้อมกับถือพู่กันหมึกแดงไว้ในมือเพื่อวาดรูปบางอย่าง
แล้วก็ได้เอ่ยปากพูดจาอย่างไม่ได้คิดอะไรมากมายว่า
“อยากรู้เหรอ?เดี๋ยวอาจารย์จะสอนเจ้าทำนายดวง”
“ยังจำเรื่องที่อาจารย์สอนเจ้าในเมื่อวานนี้ได้หรือเปล่า
เบญจศาสตร์อู่ซู——ภูเขา การแพทย์ ชีวิต การทำนาย และการดู”
ซู่เป่า “จำได้คะ…”
จี้ฉางมองหน้าเธออย่างสงสัย
เมื่อวานตอนที่เขายังสอนไม่จบเธอก็นอนหลับไปก่อน แล้วจะจำได้ยังไง
จี้ฉางจึงพูดว่า“ชีวิตคือการศึกษาชีวิตตามวันเดือนปีเกิดของมนุษย์เพื่อทำนายโชคชะตา
การทำนายคือการดูลิ่วเหยา (ลายลักษณ์ทั้งหก) เพื่อบ่งบอกถึงเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้าย…”
เขาค่อยๆสอนพื้นฐานวิชาต่างๆให้ซู่เป่า ซึ่งซู่เป่าเองก็ตั้งใจฟังอย่างมาก
แต่จี้ฉางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอฟังเข้าใจหรือเปล่า
“ตอนนี้เจ้าลองทำนายดูสิว่า ซืออี้หรันจะเป็นอย่างไร?”
จากนั้นซู่เป่าก็เริ่มหมุนศรีษะมองไปรอบๆ
ทำนายทำนาย...กระดองเต่ากระดองเต่า…
เจ้าแก้มก้อนจำได้แค่สองอย่างนี้
ทันใดนั้นดวงตาของเธอก็เปล่งประกายขึ้นมาแล้ววิ่งไปที่สวนน้ำตกจำลอง
เพื่อจับเจ้าเต่าแก่ที่นอนรับแสงแดดอย่างสบายใจขึ้นมา!
“ย๊าก!”
ซู่เป่าโยนเต่าทิ้งไปที่พื้นหญ้า
เจ้าเต่าแก่ก็เลยกลิ้งไปมา แล้วกระดองก็หมุนวนอยู่ที่พื้นหลายรอบก่อนจะหยุดลง!
เจ้าเต่าแก่“???”
จี้ฉาง“???”
ถึงแม้ว่าการทำนายจะต้องใช้กระดองเต่า แต่ก็ไม่ควรใช้กระดองเต่าที่ยังมีชีวิตอยู่!
ทำอะไรลงไปเนี่ย!
แล้วซู่เป่าก็นั่งอยู่ด้านหน้าเจ้าเต่าแก่ด้วยสีหน้าจริงจัง “ออๆ อย่างนี้นี่เอง ……”
จี้ฉางทำปากกระตุก“อย่างไหนล่ะ?”
ซู่เป่า“พี่ชายคนนั้นยังไม่ตาย และกำลังจะมาหาพวกเราที่นี่!”
“และยังมีจอมลวงโลกอีกคน...พี่ชายจะต้องเคราะห์ร้ายอีกแล้ว!และอาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน……”
เธอนั่งอยู่กับพื้นใช้สองมือกอดเข่าเอาไว้ และคางก็วางอยู่บนหลังมือพร้อมกับจ้องมองเจ้าเต่าแก่อย่างตั้งใจ
เจ้าเต่าแก่ดิ้นรนไปมา และยื่นหัวออกมากัดต้นหญ้าจากนั้นก็หมุนตัวกลับมา!
ซู่เป่า “โอ้!มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น!”
จี้ฉางกระตุกปากไปมาจนชา
หมายความว่าเหตุการณ์เกิดผลิกผันอย่างฉับพลัน?
จี้ฉางหักนิ้วมือไปมาอย่างกังวลใจ จากนั้นก็ทำเสียงตกใจพร้อมกับเพ่งมองหน้าของซู่เป่า
หรือจะเป็นเหมือนอย่างที่เธอพูด??
และในเวลานั้น เสียงรถยนต์ก็ดังขึ้นมาในคฤหาสน์ตระกูลซู
ซู่เป่าลุกขึ้นยืนพร้อมกับตบก้นไปมา จากนั้นก็แหงนหน้ามองออกไปข้างนอก
และได้ยินเสียงของคุณท่านซูกับนายหญิงซูพูดขึ้นอย่างเบาว่า “คุณซือ…อี้หรันเป็นยังไงบ้าง?”
“ซู่เป่าอยู่บ้าน ป้าอู๋ไปตามซู่เป่ามาหน่อย... ”
ซู่เป่ารีบวิ่งมาอย่างรวดเร็ว“คุณยายหนูมาแล้ว!”
นายหญิงซูรีบประคองตัวเธอไว้ “ช้าๆหน่อยสิ ทำไมถึงได้วิ่งเร็วแบบนี้”
ซู่เป่าหันมองไปที่ซือเย่กับผู้หญิงข้างๆตัวเขาที่กำลังอุ้มซืออี้หรันไว้
“เจ้าเต่าแก่บอกกับซู่เป่าว่า พี่ชายกำลังจะมาแล้ว ฉะนั้นซู่เป่าจึงรีบวิ่งออกมาก่อน”
คุณท่านซูกับนายหญิงซูเกิดความสงสัยขึ้นมา อะไรคือเจ้าเต่าแก่?
เมื่อเวินหรูอวิ๋นเห็นหน้าซู่เป่า ก็รู้สึกเหมือนได้จับต้นไม้ช่วยชีวิตไว้ในมือ
“ซู่เป่า ได้โปรดช่วยชีวิตอี้หรันด้วย…”
สงสารหัวอกของคนเป็นพ่อแม่ เวินหรูอวิ๋นกระวนกระวายจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว
อี้หรันอยู่ในอ้อมอกของเธออย่างไม่ขยับตัวเลยแม้แต่นิดเดียว!
ซู่เป่าวิ่งเข้าไปภายในบ้านพร้อมกับพูดว่า “เข้ามาเร็วๆ!”
ซือเย่รับซืออี้หรันมาอุ้มแล้วก็รีบวิ่งตามซู่เป่า
นายหญิงซูกับคุณท่านซูก็วิ่งตามไปติดๆ
เมื่อซู่เป่าวิ่งเข้าไปในบ้านก็มุ่งไปที่ห้องครัว อาจารย์บอกว่าเรียกวิญญาณต้องหาอ่างมาเผาใส่กระดาษเงิน
และยังต้องเอาเสื้อผ้าของพี่ชายด้วย...
ป้าอู๋จึงถามด้วยความร้อนใจว่า “คุณหนู คุณหนูหาอะไรเหรอคะ?”
ซู่เป่าจึงตอบว่า “หนูหาอ่างเหล็กกับกระดาษเงิน และเดี๋ยวจะต้องใช้เสื้อผ้าของพี่ชายอีกหนึ่งตัวด้วยคะ... ”
ตอนที่พูดอยู่นั้นเธอก็มองไปที่ซืออี้หรัน
และมองเห็นธูปก้านหนึ่งโผล่ออกมาอยู่บนหัว
ซู่เป่าอึ้งไปสักพักและถามอย่างเบาเสียงว่า“อาจารย์ อะไรอยู่บนหัวของพี่ชายเหรอคะ?”
จี้ฉางตอบว่า“สิ่งนั้นเรียกว่าธูปหยิน ก่อนที่คนจะตาย บนหัวจะมีธูปหยินโผล่ขึ้นมา
ถ้าหากว่าธูปดอกนี้ไหม้จนหมดเมื่อไหร่คนนั้นก็ต้องตายจากไป
เขาพูดอธิบายพร้อมกับขมวดคิ้วไปด้วย
ถึงจะตกอยู่ในความอันตรายเพียงใดแต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่ต้องตาย แม้จะก้าวไปอยู่ในประตูนรกไปก็ไม่มีธูปหยินโผล่ออกมาให้เห็นได้ง่ายๆ
ถ้าบนหัวมีธูปหยินโผล่ออกมา ก็แสดงว่าจะต้องตายอย่างแน่นอน
เด็กคนนี้ ยังไงก็คงไม่รอด?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน
สนุกค่ะ รออัพตอนใหม่อยู่นะคะ...
สนุกค่ะ อ่านได้เรื่อยๆ...
ยังมีใครอ่านอยู่ไหมค่ะเนี่ย ไม่รู้ตัวเอกเป็นยมบาลหรืออันธพาล ใครอ่านอยู่มาคุยกันค่ะ...
เสียดายเวลาที่อ่านมานานก็เลยพยายามอดทนอ่านต่อไปเรื่อยถ้าเนื้อเรื่องยังเป็นแบบนี้สักวันคงเลิกอ่านจริงๆอ่ะ...
อ้าว...ยัยแก่ มหาภัย ยังไงกันหะ อยู่ไปจะมาทำร้าย คุณพี่ชายซูจื่อซี ได้ไง...แกต้องโดนท่านยมบาลน้อย ชำระความ....
ชื่อเรื่อง "ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน" ไอ้เราก็นึกว่า ชีวิตใหม่ที่ว่าคือชีวิตที่ได้เจอคนรอบครัว มีตายายและลุงๆที่รักยัยหนู...แค่นั้น ที่ไหนได้ ที่แท้ชีวิตใหม่คือเป็นมือจับผีตัวน้อย...
🧐รอๆๆๆ...
เป้ยเฉินอวี่ เธอชอบ ซูอีเฉินของฉันไม่ได้!.... รออัพเดตนะค่ะ กำลังสนุก pleaseee...
มีผีร้ายเพิ่มอีกตัว.... ขอบคุณมากค่ะแอดมิน...
เย้ๆ ท่านหญิงซูเดินได้แล้ว ลุ้นๆแม่ของซูเป่าจะจำอดีตได้มั๊ยน๊า ขอบคุณมากค่ะแอดมิน...