ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน นิยาย บท 501

หลังจับผีขี้แยแล้ว ซู่เป่าก็เอาแต่คิดเรื่องอาชีพร้องไห้หน้าโลงศพนี้อยู่ตลอด

ก่อนหน้านี้ทำเงินได้สองถึงสามแสนต่อปี แม้นี่จะแยกกับความสามารถพิเศษของผีขี้แยไม่ได้...

แต่ทว่า ใจก็เต้นอยู่นิดหน่อยจริงๆ

ไม่รู้ว่าตอนนี้คนที่รับจ้างร้องไห้หน้าโลงศพจะทำเงินได้เท่าไร

ซู่เป่านึกได้ก็ถาม เธอเงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “ลุงใหญ่คะ ตอนนี้ถ้าจะจ้างคนร้องไห้หน้าโลงศพต้องจ่ายเงินเท่าไรเหรอคะ”

เมื่อมีคำถามซูอีเฉินก็ต้องตอบ เขาจึงรีบกวาดตาอ่านข้อมูลที่หาได้ด้วยความรวดเร็ว “ราคาของคนที่เป็นมืออาชีพหน่อยจะอยู่ที่ห้าพันต่องาน คนที่มีฐานะทางครอบครัวดียังต้องให้คนรับจ้างร้องไห้หน้าโลงศพไปแสร้งอยู่หน้าโถงตั้งศพ แบบนี้จะยิ่งแพงนิดหน่อย รวมถึงบริการที่พัก อาหารและค่าเดินทางครบวงจร หนึ่งทีมใหญ่ประมาณห้าหมื่นหยวน”

ซู่เป่าเบิกตาโพลง ว้าว!

“ทีมหนึ่งกี่คนเหรอคะ”

ซูอีเฉิน “ปกติจะอยู่ที่สามถึงห้าคน ดูจากรีวิว บางคนยังเสนอบริการส่งดวงวิญญาณอีกด้วย ประมาณว่าส่งดวงวิญญาณผ่านเทือกเขาระกาทองกับเทือกเขาจอทมิฬ ก็จะเพิ่มอีกห้าหมื่น”

ชั่วขณะหนึ่งซู่เป่าคิดว่าเธอทำได้

เธอถึงขั้นส่งคนไปยังตำหนักพญายมเลยก็ได้!

“หนูก็สร้างทีมขึ้นมาได้! คุณน้าผีขี้แยรับผิดชอบร้องไห้ คุณน้าผีหลายใจรับผิดชอบคุยธุรกิจ ลุงผีทึ่มกับพี่พันรับผิดชอบเป็นหัวหน้าทีม หนูรับผิดชอบพาคนไปส่งตำหนักพญายม...” ซู่เป่าพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น

มืออาชีพขนาดนี้ เรียกเก็บหนึ่งแสนหยวนคงไม่เกินไปใช่ไหม

“พวกผีต้องการแค่ลูกอมก็พอแล้ว ลูกอมหนึ่งถุงห้าสิบหยวน...”

ซู่เป่ายื่นนิ้วออกมาคำนวณดู “พี่ หนูไปครั้งหนึ่งจะทำเงินได้เท่าไรเหรอ”

ซูเหอเวิ่นไม่นึกว่าในเรื่องนี้จะมีความรู้มากมายขนาดนั้น เขาพูดขึ้นอย่างตะลึงงันว่า “ตัดธูป เงินกระดาษ แล้วก็อุปกรณ์อะไรออกแล้ว...หนึ่งงานทำกำไรได้อย่างน้อยเก้าหมื่นเก้า”

ทำกำไรได้เก้าหมื่นเก้าจริงๆ

เด็กน้อยสองคนนัยน์ตาเป็นประกายปิ๊งๆ เกิดอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาในทันใด

ซูเหอเวิ่นพูด “ซู่เป่าพาฉันไปด้วย ฉันจะช่วยเธอคิดบัญชีเอง ไม่คิดเงิน! และไม่แบ่งเงินกับเธอด้วย ฉันก็แค่ชอบคิดเงิน!”

ซู่เป่า “พี่คะ แล้วถ้าหนูไปทุกสุดสัปดาห์ คิดให้หน่อยว่าหนูจะทำเงินได้เท่าไร”

ซูเหอเวิ่น “ถ้าไปสองงานต่อหนึ่งสุดสัปดาห์ละก็ สุดสัปดาห์หนึ่งทำเงินได้สุทธิหนึ่งแสนเก้าหมื่นแปดพัน...หนึ่งเดือนก็เท่ากับเจ็ดแสนเก้าหมื่นสองพัน นี่เป็นรายได้สุทธินะ ไม่มีความเสี่ยงและเงินลงทุน!”

“หนึ่งปีมีห้าสิบสองหรือห้าสิบสามสัปดาห์ และถ้าเราขยันอีกหน่อยละก็ หนึ่งปีอย่างน้อยเราจะทำเงินได้สิบล้านสองแสนเก้าหมื่นหกพัน! ”

“นี่ยังไม่นับวันหยุดฤดูร้อนและฤดูหนาว สมมติว่าวันหยุดฤดูร้อนและฤดูหนาวเรามีเวลา วันหยุดฤดูร้อนและฤดูหนาวทั้งหมดประมาณเก้าสิบวัน วันละงาน งั้นก็จะได้เพิ่มอีกแปดล้านเก้าแสนหนึ่งหมื่น”

“รวมทั้งหมดแล้วก็สิบเก้าล้านกว่า...”

ปัดเศษแล้วก็เท่ากับยี่สิบล้าน

หนึ่งปีทำเงินได้ยี่สิบล้าน ลองถามดูสิว่ามีเด็กคนไหนทำได้บ้าง!

ถ้าขยายธุรกิจเสริมอีก ขายยันต์เอย ดูฮวงจุ้ยเอย เลือกเนินตั้งหลุมศพอะไรต่างๆ เอยนั่นยังได้อีกห้าสิบล้านไม่ใช่เหรอ!

“เหล่าผีเฝ้ายามตอนกลางคืนไม่จำเป็นต้องพักผ่อน ซู่เป่าเธอไปส่งดวงวิญญาณก็แค่สิบกว่านาที...ก็รับผีได้อีกสองสามตน...ถ้าแต่ละสุดสัปดาห์ทำได้สี่งาน บวกกับทำพิธีกรรม ขายยันต์ เลือกเนินฝังศพ...ว้าว ทำเงินหนึ่งพันล้านได้สบายๆ”

“รอกิจการเติบโตเต็มที่แล้ว เรายังพัฒนาสาขาย่อยได้อีก ปีแรกพัฒนาสาขาย่อยก่อนก็พอ ให้พี่ฉันช่วยเธอจัดการ ไม่ต้องให้เงินเขา! แบบนี้ก็ได้สองร้อยล้านแล้ว...”

“เรื่องส่งดวงวิญญาณก็ไม่ต้องรีบทำในทันที เราก็แค่ให้พนักงานเอาเวลาเกิดกับเวลาตายของลูกค้ากลับมา...จากนั้นทุกสุดสัปดาห์เธอก็รวบรวมดวงวิญญาณแล้วไปส่งทีเดียว...”

“ถ้าคำนวณแบบนี้แล้วละก็ ถ้าขยายขนาดแล้วรับสมัครอีกสิบทีม ทีมหนึ่งผีห้าตน...หนึ่งปีทำเงินได้พันล้านก็ไม่ใช่ปัญหา!”

ซู่เป่า “ว้าว มีแรงจูงใจในการจับผีแล้ว!”

เมื่อได้ฟังมุมปากของซูอีเฉินก็กระตุกเป็นเส้นตรง “???”

โครงการนี้ นายทุนได้ยินแล้วน้ำตาจะไหล

แต่ซู่เป่ากลับดีใจเป็นอย่างมาก ราวกับหาทิศทางใหม่ในชีวิตเจอ

แต่ราวกับเธอนึกอะไรขึ้นได้ จึงรีบเบือนหน้าไปพูดกำชับว่า “ลุงใหญ่คะ ต่อไปถ้าหนูตายไปแล้ว จำไว้ว่าห้ามจ้างคนร้องไห้หน้าโลงศพเด็ดขาดนะคะ ไม่ต้องหาคนส่งวิญยาณ ขายยันต์ เลือกเนินฝังศพนะคะ! เรื่องพวกนี้หนูจะเลือกเอาไว้ล่วงหน้าให้เรียบร้อย! ห้ามจ่ายเงินในเรื่องนี้เด็ดขาด!”

ซูอีเฉิน “...”

ซู่เป่า เธอเพิ่งอายุแค่สี่ขวบเองนะ

วางแผนเรื่องในอนาคตของตัวเองเอาไว้เร็วขนาดนี้เลยเหรอ

ไม่เพียงแค่วางแผนให้ตัวเองเอาไว้เรียบร้อยแล้วเท่านั้น ซู่เป่ายังวางแผนให้คนในครอบครัวเอาไว้แล้วเช่นกัน “หลุมฝังศพประจำตระกูลที่หนูเลือกเอาไว้คราวก่อนฮวงจุ้ยดีมากๆ! ต่อไปไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว จะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้!”

“หนูจะบอกพวกผีเรื่องร้องไห้หน้าโลงศพและเฝ้าศพให้ทุกคน ส่วนเงินเรื่องส่งศพก็ไม่ต้องจ่ายนะคะ!”

“เผาแล้วเอาไปฝังเลย ห้ามจ่ายเงินตอนทำพิธีเด็ดขาด พวกเขาไม่ใช่มืออาชีพ หลอกลวงคนทั้งนั้น”

ซู่เป่ากำชับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ขณะจินตนาการว่าทำเงินในส่วนนี้ได้เท่าไรดีใจแค่ไหน ขณะจินตนาการว่าต้องจ่ายเงินในด้านนี้เท่าไรก็ขี้งกเท่านั้น

มุมปากของซูอีเฉินกระตุก เขาพูดขึ้นอย่างกระซิบว่า “ได้ เข้าใจแล้ว”

ซู่อีเฉินนึกว่าถกปัญหากันจบแล้ว

ไม่นึกว่าเมื่อมาถึงห้องทานข้าว เจ้าเด็กน้อยสองคนก็ถกปัญหาเรื่องตกลงป้าสะใภ้ใหญ่อึหรือไม่ขึ้นมาอีกแล้ว เพราะเรื่อง (ป้าสะใภ้ใหญ่จะกินอีกไหม)

เมื่อครู่ตอนที่อยู่ในห้องทำงานพวกเขาคำนวณกันแล้ว เหยาหลิงเยว่มาได้เดือนกว่ากินอาหารไปทั้งหมดสองร้อยกิโลกรัม แต่น้ำหนักเพิ่มขึ้นมาเพียงแค่สิบห้าถึงยี่สิบกิโลกรัมเท่านั้น

เธอไม่อึและไม่อาเจียน...ฉะนั้นตกลงน้ำหนักตรงกลางหายไปไหนกันแน่

“แม่ครับ ลับหลังพวกเราแม่...แอบไปอึหรือเปล่าครับ” นั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหาร ตรงหน้าซูเหอเวิ่นมีสเต๊กเนื้อรสเลิศวางอยู่ชิ้นหนึ่ง แต่เขากลับนึกถึงปัญหานี้ขึ้นมาซะอย่างนั้น

หัวหน้าเชฟที่ยกสเต๊กเนื้อมาเสิร์ฟด้วยตนเอง “???”

ซูเหอเวิ่น “ขอถามหน่อยครับสเต๊กเนื้อชิ้นนี้น้ำหนักเท่าไรเหรอครับ”

หัวหน้าเชฟงงงัน “ประมาณสี่ร้อยกรัม...”

ซูเหอเวิ่นพูดพึมพำกับตัวเอง “สี่ร้อยกรัม...”

ก่อนหน้านี้คุณย่าก็เคยให้แม่กินสเต๊กเนื้อ ครั้งหนึ่งสองชิ้น ก็เกือบๆ ครึ่งกิโลกรัม

นอกจากสเต็กเนื้อแล้วยังมีอาหารอย่างอื่นอีก ถ้าคำนวณแบบนี้ละก็หนึ่งมื้อต้องมากกว่าหนึ่งกิโลกรัมแน่

กินเยอะขนาดนั้น แต่น้ำหนักขึ้นมาแค่สิบห้าถึงยี่สิบกิโลกรัม

นี่มันไม่ยุติธรรมเลย! ซูเหอเวิ่นรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้!

ซู่เป่าพูดตามขึ้นมาว่า “ป้าสะใภ้ใหญ่ทำเหมือนกับที่แสดงในทีวีหรือเปล่า นั่งยองๆ อยู่ในพุ่มหญ้าแล้วแอบอึ”

ทันใดนั้นซูเหอเวิ่นก็นึกถึงบทของเด็กหญิงตัวน้อยในทีวีคนนั้น เธอมาที่นี่เพื่ออึใช่ไหม

กระทั่งจินตนาการถึงภาพที่แม่ของเขานั่งยองๆ อยู่ในพุ่มหญ้า...

เอ่อ!

ใบหน้าของซูอีเฉินเต็มไปด้วยความเหนื่อยใจ เขามองอาหารที่ตั้งอยู่เต็มโต๊ะ...และสีหน้าของพนักงานกับหัวหน้าเชฟ

เขาอิหลักอิเหลื่อเล็กน้อย

เด็กน้อย ไม่มีข้อห้ามใดๆ จริงๆ...

“อะแฮ่ม...”

ลุงใหญ่รักษาความเย็นชาบนใบหน้าเอาไว้ เขาเงยหน้าขึ้นแล้วถามขึ้นชืดๆ ว่า “เสิร์ฟอาหารเสร็จแล้ว?”

หัวหน้าเชฟรีบพูดขึ้นว่าทานให้อร่อยประโยคหนึ่ง แล้วรีบออกไปเลย

หากเป็นคนอื่น มาถกกันเรื่องอึตอนกำลังกินข้าวโดยเฉพาะตอนที่เขาเสิร์ฟอาหาร...เขาจะคิดว่าอีกฝ่ายไม่มีอารยะอย่างแน่นอน

แต่คนตรงหน้าคือประธานซูและคนในครอบครัวของเขา

หัวหน้าเชฟจึงคิดว่านี่ไม่ถือว่าเป็นอะไร...

ฉะนั้นบางครั้ง ในสายตาของคนพวกนี้ อีกฝ่ายจะมีอารยะหรือไม่อันที่จริงขึ้นอยู่กับเงินและฐานะ...

ซูอีเฉินพูดขึ้นอย่างกระซิบ “ซู่เป่า เสี่ยวเวิ่น ในที่สาธารณะโดยเฉพาะร้านอาหาร ห้ามพูดหัวข้อสนทนานี้เชียวนะ”

หากนายหญิงรู้เข้า ตอนนี้อาจสับเขาด้วยมือเปล่าไปแล้วก็ได้

ซู่เป่ากับซูเหอเวิ่นรีบปิดปากทันที

ซู่เป่าพูดขึ้นอย่างกระซิบ “ขอโทษค่ะลุงใหญ่...”

ซูอีเฉินเอาสเต๊กเนื้อที่หั่นเรียบร้อยแล้ววางไว้ตรงหน้าเธอ และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ไม่เป็นไร ซู่เป่าเป็นเด็กที่มีมารยาท ต่อไปก็จะจำได้ใช่ไหม”

ก่อนหน้านี้เธออยู่ในตระกูลซูก็พูดโผงผางออกมาตรงๆ เช่นกัน ตอนนั้นไม่มีใครห้ามปรามเธอ ถึงยังไงก็อยู่บ้านนี่ ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตให้เหนื่อยขนาดนั้น

แต่ออกจากบ้านก็ต้องระวังหน่อย

ซู่เป่าพยักหน้าอย่างตั้งใจ จำเอาไว้แล้วจริงๆ

เธอคือหนูน้อยแสนเชื่อฟังที่มีมารยาทคนหนึ่ง ต่อไปต้องระวังไม่พูดคำไม่สุภาพในที่สาธารณะ ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนอื่นคิดว่าคุณยายกับคุณลุงไม่สั่งสอน

เหยาหลิงเยว่พยักหน้าอย่างหนัก เธอเองก็จดจำไว้แล้วเช่นกัน และเรียนรู้คำใหม่คำหนึ่ง...

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน